ตอนที่แล้วบทที่ 9 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 หุบเขานอกเมือง

บทที่ 10 ลองดู


บทที่ 10 ลองดู

หงหลินอิงที่กำลังครุ่นคิด ทันใดนี้เองที่ที่ม่านหน้ากระโจมถูกเปิดออกพร้อมกับคนเดินออกมา หงหลินอิงเพ่งมอง พบว่าไม่ใช่คนที่เข้าไปเมื่อครู่ แต่เป็นจี้เหวินเหอ และภายหลังเขาเดินนำออกมา ยังมีคนเดินตามออกมาอีกคนหนึ่ง

“นี่มัน? หรือว่า?” หงหลินอิงตกใจ นั่งตัวตรง เบิกตากว้าง สุดท้ายจึงเริ่มผ่อนคลายพร้อมสีหน้าท่าทีที่กลับมาสงบอีกครั้ง

จี้กุนซือซึ่งอยู่ด้านล่างเงยหน้ามองแท่นปะรำก่อนจะประสานมือโค้งคำนับให้ “ท่านแม่ทัพหงอยู่ที่นี่นี่เอง คารวะท่านแม่ทัพขอรับ”

หงหลินอิงค่อยลุกขึ้นยืนพลางตอบรับ “โอ้ ข้ามาเยี่ยมชมลานฝึกว่าการเกณฑ์ทหารองครักษ์เป็นอย่างไรบ้าง หากวันนี้ได้คนครบแล้วก็คงให้แม่ทัพไปจัดการเรื่องฝึกทหารใหม่ ท่านกุนซือจะกลับจวนแล้วงั้นหรือ วันนี้ได้อะไรหรือไม่?”

จี้กุนซือได้ยินจึงมองแม่ทัพหงตอบ กระทั่งเผยแววตาเยาะเย้ยวาบผ่าน จากนั้นจึงยิ้มรับและชี้ไปทางหลี่เหยียนซึ่งอยู่ด้านหลัง “ท่านแม่ทัพใส่ใจกันถึงเพียงนี้ แต่ในที่สุดข้าก็พบเจอแล้ว ลำบากไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว” สิ้นคำเขาจึงส่ายศีรษะเล็กน้อย

“โอ้ พบเจอคนที่ตามหาแล้วงั้นหรือ? ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง ที่ผ่านมาแทบไม่ต่างอะไรกับล้างทรายหาทองคำ หากเทียบเปรียบกับคนก่อนหน้านี้แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?” แม่ทัพหงแสดงท่าทียินดี

จี้กุนซือที่ได้ยินจึงชักสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียด เพราะเขาไม่อยากให้หลี่เหยียนทราบเรื่องศิษย์คนก่อน เพราะหากรู้เกินไป หลี่เหยียนอาจลังเลและไม่ยอมฝึกวิทยายุทธ์เอาได้ เพราะเรื่องราวเช่นการฝึกฝนในยุทธภพ หากผู้เล่าเรียนไม่ต้องการก็ไม่อาจบังคับ

หากอีกฝ่ายไม่ยอม ก็ไม่มีผู้ใดไปขืนใจได้ ดังนั้นการที่หงหลินอิงเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้เหมือนจะยินดี แต่จะดูไปแล้วไม่ใช่ เขาจึงต้องนำมือไพล่หลังพลางบอกกล่าว “เด็กคนนี้อ่านตำราสำคัญได้คล่อง คุณสมบัติเหมาะสม คาดว่าคงเป็นพรหมลิขิต ดีกว่าคนก่อนไม่น้อย เหวินเหอต้องขอบคุณท่านแม่ทัพที่เมตตา”

และเขาไม่รอให้แม่ทัพหงตอบรับ โดยการหันไปบอกกับหลี่เหยียนว่า “หลี่เหยียน รีบคารวะท่านแม่ทัพเสียสิ”

นับตั้งแต่ออกจากกระโจม หลี่เหยียนยังตกใจและยินดีไม่หาย เพราะวันนี้ได้พบเจอเรื่องราวน่าเหลือเชื่อจึงยังไม่อาจตั้งสติได้ เพราะวันนี้เขาไม่ได้เป็นแค่ทหาร แต่เป็นถึงศิษย์ของจี้กุนซือ เบี้ยหวัดยังเยอะกว่าที่คิด หากเป็นแบบนี้ ไม่กี่ปีเขาคงกลับบ้านไปดูแลพ่อแม่ได้แล้ว

แต่อีกใจก็คิดขึ้นมา ‘หากอาจารย์ไม่ให้กลับจะทำอย่างไร หรือว่าต้องซื้อบ้านในเมืองแล้วรับพ่อแม่กับพี่สามมาอยู่ด้วยกัน หากได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาคงมีความสุขไม่น้อย และยังต้องไปบอกเล่าให้หลี่อวี้และหลี่ซานได้ทราบ พวกนั้นคงอิจฉากันไม่น้อย แต่ก่อนอื่นต้องไปบอกลุงกั๋วซิน ฝากเขากลับไปบอกให้พ่อกับแม่รู้ ไม่ทราบเลยว่าตอนนั้นทั้งสองจะดีใจแค่ไหน พี่สามและพี่สี่ก็คงดีใจมาก’ เพราะความดีใจท่วมท้น ความคิดฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้นจนหน้าประเดี๋ยวยิ้มประเดี๋ยวเศร้าจนสับสนกันไปหมด

ขณะเขากำลังคิดอะไรไปเรื่อยกลับได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู เขารู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้น พบเห็นอาจารย์มองมายังตนเอง เขาจึงต้องเผยสีหน้างุนงงตอบรับ อันที่จริงเขาได้ยินเสียงที่แม่ทัพหงพูดคุยกับจี้กุนซือ แต่เพราะมัวแต่คิดเรื่องของตนเอง สมองจึงไม่ได้ให้ความสนใจ ยามนี้พบเห็นอาจารย์มองมา จึงรีบนึกขึ้นว่าเป็นเพราะอะไร เหมือนเมื่อครู่อาจารย์จะพูดว่า “ท่านแม่ทัพ” แล้วแม่ทัพหงจะตอบรับว่า “คนที่รับเป็นศิษย์ครั้งก่อน เปรียบเทียบ...”

“หลี่เหยียน ยังไม่รีบคารวะท่านแม่ทัพอีกหรือ” เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเริ่มแสดงออกว่าไม่พอใจ จี้กุนซือบอกให้หลี่เหยียนมาคารวะก็แล้ว แต่หลี่เหยียนกลับยืนเหม่อราวกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เขาจึงร้อนใจ

‘หรือเขาจะคิดมากกับคำพูดของหงหลินอิง น่าโมโหยิ่งนัก กลับไปแล้วคงต้องปลอบขวัญ หงหลินอิงช่างทำตัวได้น่าโมโหจนเกินไปแล้ว’ สิ้นความคิดเขาจึงเผยแววตาเปี่ยมโทสะและตะโกนใส่หลี่เหยียนอีกครั้ง แต่หลี่เหยียน ทหารข้างกัน และแม่ทัพหงที่อยู่ด้านบนแท่นปะรำต่างคิด ว่าจี้กุนซือกำลังโกรธหลี่เหยียนที่ไม่เชื่อฟัง

หลี่เหยียนได้เห็นท่าทีไม่พอใจของผู้เป็นอาจารย์จึงรีบวิ่งไปด้านหน้า ยืนด้านหน้าอาจารย์และคุกเข่าคารวะหงหลินอิง “ข้าน้อยคารวะท่านแม่ทัพหง เมื่อครู่เสียมารยาทไปแล้ว ขอท่านแม่ทัพลงโทษขอรับ” หลี่เหยียนได้รับโอกาสคารวะขุนนางใหญ่โตของเมืองสองคนในหนึ่งวัน มันไม่ใช่เรื่องที่ชาวบ้านทั่วไปจะมีโอกาส เขาจึงรีบร้อนขออภัย

แม่ทัพหงพบเห็นหลี่เหยียนที่กำลังคุกเข่าคารวะจึงคิดอยู่ในใจว่า ‘เด็กคนนี้ท่าทีโง่งมนัก’ แต่เขาหาได้ทราบไม่ ว่าหลี่เหยียนไม่ได้โง่ แค่กำลังตกใจและยินดี เพราะหนึ่งวันนี้เขาประสบเรื่องราวดี ๆ หลายเรื่อง ไม่ว่าเป็นใครก็ตั้งตัวไม่ทัน กระทั่งเผลอคิดว่ากำลังฝัน แม้แต่ผู้ใหญ่ยังเป็นเช่นนั้น เด็กบ้านนอกเช่นเขาจะเหลืออะไร ไม่แปลกหากตั้งสติไม่ได้ แต่พอได้เห็นท่าที เขาจึงโบกมือตอบ “ลุกขึ้นเสีย เจ้านามว่าอะไร”

หลี่เหยียนลุกขึ้นยืนและตอบรับด้วยความสุภาพ “ข้าน้อยหลี่เหยียนขอรับ เป็นคนจากหมู่บ้านหลี่แห่งขุนเขามรกตขอรับ”

“โอ้? บ้านเจ้าไม่ได้อยู่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่ จี้กุนซือของเราตามหามาเนิ่นนาน ที่แท้ก็อยู่ใกล้เพียงเท่านี้เอง ฮ่า ๆ” หงหลินอิงยิ้มรับพลางมองหลี่เหยียนที่ลุกขึ้นยืนแล้ว พบว่าเด็กคนนี้ผิวคล้ำ หน้าตาธรรมดา ตัวผอม ดูไปแล้วไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ข้อกำหนดในการเลือกศิษย์ของจี้กุนซือกลายเป็นเรื่องเดาใจได้ยาก แต่ตอนนี้เองที่เขาใช้ปลายเท้าดีดพื้นหินเพื่อลอยตัวขึ้นไปในอากาศ

หลี่เหยียนที่กำลังนึกถึงคำพูดของแม่ทัพหงพลันรู้สึกว่ามีลมแรงพุ่งเข้าหาจนต้องรีบเงยหน้า แต่ภาพที่เห็นกลับพร่ามัว สุดท้ายรู้สึกว่าข้อมือซ้ายถูกคนคว้าจับเอาไว้แน่น พร้อมกับพลังร้อนจากข้อมือไหลบ่าเข้าสู่ร่างกาย มันทำให้เขาตื่นตระหนกและพยายามจะดึงข้อมือกลับ ทว่าแขนไม่อาจขยับ ราวกับโดนเหล็กหนีบรั้งเอาไว้ สีหน้าพลันต้องแปรเปลี่ยน

แต่ขณะกำลังจะออกแรงดึงอีกครั้ง กลับได้พบว่าอีกฝ่ายปล่อยมือเสียแล้ว ส่วนพลังร้อนเมื่อครู่ก็เลือนหาย พบเห็นเช่นนี้เขาค่อยหายใจโล่งมากขึ้น สุดท้ายสำรวจมอง พบว่าเป็นแม่ทัพหงมาถึงด้านหน้าของตน ไม่ทราบว่าใช้วิชาตัวเบาอะไร แต่คนที่จับข้อมือของเขาเมื่อครู่คือแม่ทัพหงไม่ผิดแน่

หลี่เหยียนมองแม่ทัพหง ก่อนจะหันมองผู้เป็นอาจารย์ ในใจรู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่ทราบว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

สถานการณ์เมื่อครู่นี้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทว่าจี้กุนซือที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่เหยียนไม่ไกลกลับมีสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งไม่พบเห็น ตอนนี้แม่ทัพหงที่ปล่อยมือแล้วจึงหัวเราะออกมา “ท่านกุนซืออย่าได้ถือสา ข้าก็เพียงแค่สงสัย ท่านคัดเลือกศิษย์มายาวนานหลายปี คนที่เลือกมีเพียงแค่สอง จนทำเอาข้าอยากทราบว่าคนเช่นไรจึงมีโชคดีเช่นนั้น สุดท้ายอดใจไม่ไหว ขอท่านกุนซืออย่าได้ถือสา”

จี้กุนซือยิ้มรับ “แล้วท่านแม่ทัพดูออกหรือไม่ว่าศิษย์ข้ามีส่วนใดที่พิเศษ?”

แม่ทัพหงจึงเผยสีหน้าจริงจัง ภายหลังครุ่นคิดชั่วครู่จึงตอบรับ “สำนักของท่านกุนซือลึกลับโดยแท้จริง บอกตามตรงว่าแม้ข้าตรวจดูเส้นชีพจรของเด็กคนนี้แล้ว ก็ไม่ได้พบว่ากว้างกว่าเด็กคนอื่นในกองทัพ บางคนยังดีกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ส่วนโครงสร้างร่างกายนั้น อืม ก็คงอยู่ระดับปานกลางค่อนไปทางดี แต่ไม่ได้ดีมากมาย และนี่ก็แค่มุมมองของข้า ในเมื่อท่านกุนซือเลือกเด็กคนนี้ เช่นนั้นก็คงมีอะไรพิเศษ เพียงแต่ข้าไม่อาจดูออก”

จี้กุนซือยิ้มรับ “ท่านแม่ทัพกล่าวไม่ผิด วิธีการฝึกในสำนักของข้านั้น นอกจากจะต้องมีเส้นชีพจรที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมีเส้นชีพจรบางจุดที่พิเศษกว่าคนอื่น เช่นนี้จึงสามารถใช้ประโยชน์จากวิทยายุทธ์ของสำนักได้ แต่เพราะเป็นเรื่องเคล็ดวิชาภายในสำนัก ต้องขออภัยที่ข้าไม่อาจบอกกล่าวให้ทราบได้”

แม่ทัพหงที่ได้ยินจึงไม่ได้ถามต่อ “แล้วท่านกุนซือคิดทำอย่างไรต่อไป?”

จี้กุนซือโค้งคำนับให้แม่ทัพหง “ศิษย์ข้าจะกลับไปฝึกวิชาที่จวนกับข้า ท่านแม่ทัพเองก็ทราบว่าทุกวันที่ผ่านไปร่างกายข้าจะยิ่งย่ำแย่ลง ดังนั้นจึงต้องรีบหาคนมาสืบทอดวิชา เป็นเหตุให้ส่วนใหญ่เขาคงต้องใช้เวลาฝึกวิชาอยู่ที่นั่น แต่บางครั้งก็จะออกมาช่วยข้าทำงานเล็กน้อยในกองทัพบ้าง ถือเป็นการฝึกฝนและผ่อนคลายไปในตัว ส่วนเบี้ยหวัดของเขานั้น เอาเป็นว่าหักจากเบี้ยหวัดของข้า ให้เทียบเท่ากับหัวหน้าทหารก็แล้วกัน”

แม่ทัพหงครุ่นคิดไปครู่หนึ่งจึงตอบรับ “เป็นเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อศิษย์ของท่านจะช่วยงานในกองทัพ หากไม่มีตำแหน่งก็คงไม่เหมาะสม เช่นนั้นให้เขาเป็นนายทหารชั้นรองปราบศัตรูไปก็แล้วกัน เงินเดือนจะจ่ายออกจากกองทัพ ข้าจะให้คนนำบัตรประจำตัวไปส่งให้ถึงจวนของท่านกุนซือ ส่วนเงินช่วยเหลือจากการสมัครเป็นทหาร ไม่กี่วันจะมีคนจากกรมสรรพาวุธจดบันทึกบัญชีรายชื่อและนำส่งไปยังหมู่บ้าน เพื่อมอบให้กับครอบครัวของเขา”

เบี้ยหวัดเล็กน้อย แม่ทัพหงไม่คิดเสียดาย และยังสมทบเงินช่วยเหลือไปด้วย

จี้กุนซือที่ได้ยินจึงไม่เกรงใจ “เช่นนั้นก็ให้เป็นตามที่ท่านแม่ทัพบอกกล่าว หลี่เหยียน ยังไม่รีบขอบคุณท่านแม่ทัพอีกหรือ”

นับตั้งแต่หลี่เหยียนโดนจับข้อมือและปล่อยมือ ก็ทำได้เพียงแค่ยืนดูคนทั้งสองพูดคุยขณะใจเริ่มสงบลง และจากคำพูดของขุนนางทั้งสอง ทำให้เขาได้ทราบ ว่าการที่ตนเองได้เป็นศิษย์ของกุนซือนั้นไม่ง่าย อาจารย์ของเขาคัดเลือกคนในกองทัพมานานหลายปีแล้ว ทั้งที่คนในกองทัพมีมากมาย อาจารย์กลับเลือกศิษย์ได้เพียงแค่สองคนโดยรวมตัวเขาด้วย แม่ทัพหงจะมีความสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเหตุให้นำไปสู่การทดสอบเมื่อครู่นี้

ยามได้ยินตำแหน่งที่แม่ทัพหงมอบให้ เขารู้สึกงุนงง เพราะไม่ทราบว่าตำแหน่งนายทหารชั้นรองปราบศัตรูคืออะไรและมีหน้าที่อะไร แต่แม่ทัพหงบอกว่าจะส่งเงินช่วยเหลือไปให้พ่อแม่ที่หมู่บ้านในอีกไม่กี่วัน เรื่องนี้เขาเข้าใจและยินดี ดังนั้นจึงรีบคารวะเอ่ยคำขอบคุณอีกครั้ง

หากเขาทราบว่าตอนนี้ตอนเองได้เป็นขุนนางรองระดับแปดขั้นล่างแล้วคงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะต้องทราบว่าทหารธรรมดานั้นต้องผ่านศึกเป็นตายมาหลายต่อหลายครั้ง ถึงจะได้เลื่อนขั้นจากทหารธรรมดาเป็นขุนนางรองระดับเก้าขั้นล่าง เป็นขุนนางรองระดับเก้าขั้นบน ก่อนจะขึ้นไปต่อเป็นขุนนางหลักระดับเก้าขั้นล่าง และขุนนางหลักระดับเก้าขึ้นบน ถึงจะไต่ไปถึงตำแหน่งขุนนางรองระดับแปดขั้นล่าง

แต่เขากลับได้เป็นเพราะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองคนพูดคุยกันแค่ไม่กี่คำ แต่ถึงกระนั้น ต่อให้ทราบว่าตนเองเป็นขุนนางรองระดับแปดขั้นล่างแล้ว เขาก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าตำแหน่งนี้ใหญ่โตเช่นไร เพราะที่เขาสนใจมีเพียงแค่เงินทอง

พบเห็นหลี่เหยียนกล่าวคำขอบคุณแล้ว จี้กุนซือจึงโค้งคำนับให้แม่ทัพหง “หากท่านแม่ทัพไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว”

“เชิญท่านกุนซือตามสบาย ท่าทางท่านคงไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ส่วนข้าคงต้องไปดูการเกณฑ์ทหารองครักษ์และจัดการเรื่องฝึกทหารใหม่เสียก่อน คงไม่ได้ไปส่งท่านกุนซือ” แม่ทัพหงหัวเราะตอบ

จี้กุนซือจึงเดินนำไปทางประตู เหล่าทหารต่างมองส่งเขาด้วยท่าทีเคารพ ส่วนหลี่เหยียนผู้รีบเดินตามอาจารย์ ยามนี้จึงได้รับสายตาอิจฉาของเหล่าทหารอย่างท่วมท้น

ภายหลังมองแผ่นหลังของจี้กุนซือและหลี่เหยียนเดินไปไกลมากขึ้น แม่ทัพหงจึงไปยืนหน้ากระโจมพลางลูบคางและพึมพำกับตนเอง “ร่างกายของเด็กคนนั้น มันมีอะไรพิเศษจริงงั้นหรือ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด