ตอนที่แล้วบทที่ 8 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10 ลองดู

บทที่ 9 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (2)


บทที่ 9 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (2)

การบุกโจมตีของแคว้นเหมิงครั้งดังกล่าว มันคืออันตรายต่อเหล่าทหารที่ป้องกันด่านขุนเขามรกตอย่างใหญ่หลวง หากว่าหงหลินอิงไม่โหดเหี้ยมและเด็ดขาดพอ ที่จะใช้ทหารกว่าหมื่นนายยื้อเวลาข้าศึกเอาไว้ ก็คงไม่อาจเกิดโอกาสทันตั้งรับเหนือกำแพงเมือง จนอาจนำไปสู่การถูกยึดเมือง

การต่อสู้ครั้งดังกล่าวเป็นเหตุให้ชาวเมืองต่างเกิดความหวาดกลัว ยามได้เห็นหน้าตาอันน่าสะพรึงของข้าศึกโผล่ขึ้นมาเหนือกำแพงเมืองไม่หยุดหย่อนและใกล้แค่เอื้อม มันคือเรื่องราวที่พวกเขาแทบจำไปจนวันตาย

ภายหลังการต่อสู้ครั้งนั้น เลือดจึงไหลนองท่วมพื้นที่เหนือกำแพงเมือง กระทั่งไหลย้อยลงสู่เบื้องล่าง ทั้งในเมืองและนอกเมือง ในระยะครึ่งลี้ มันแทบจะกลายเป็นทะเลเลือด ถนนที่เคยสะอาดสะอ้าน ครั้งนั้นหากเดินไป รองเท้าก็คงย่ำลงบนของเหลวข้นหนืดสีแดงที่เรียกว่าเลือด

ทุกครั้งที่หงหลินอิงนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น แม้ว่าจะเป็นคนใจเย็นขนาดไหน แต่เขาก็ตระหนักทราบดีถึงอันตรายที่ใกล้เพียงเอื้อม พร้อมกับนึกถึงคำพูดของจี้เหวินเหอเมื่อคืน ที่กล่าวว่าในกองทัพข้าศึกอาจมีทหารซ่อนตัวเพื่อรอคอยโอกาสโจมตี มันทำให้เขาอดไม่ได้จนต้องถอนหายใจ

ภายหลังจากนั้น ในอีกไม่กี่เดือน จี้เหวินเหอแวะเวียนมาพบเขาตอนกลางดึกอีกสองครั้ง เพื่อบอกแผนการและกำลังพลของข้าศึก สองครั้งดังกล่าว หงหลินอิงตัดสินใจเชื่อใจ และวางแผนเพื่อรับมือตามข้อมูลที่ทราบจากจี้เหวินเหอ สุดท้ายจึงคว้าชัยชนะมาไว้ในกำมือ พร้อมกับอัตราการเสียชีวิตที่ลดน้อยลงมาก

อีกทางหนึ่ง จี้เหวินเหอก็เริ่มตามหาคนในกองทัพมาสืบทอดวิชาของตน เพียงแต่การทดสอบเป็นไปอย่างแปลกประหลาด เพราะเขาไม่ได้ดูโครงสร้างร่างกาย ไม่ใช้พลังภายในตรวจสอบ

แต่ใช้เข็มเงินตรวจชีพจร จี้เหวินเหอกล่าวว่า เคล็ดวิชาพลังภายในของสำนักเขานั้นค่อนข้างพิเศษ หากทดสอบด้วยวิธีการนี้ไม่ผ่าน การฝึกเคล็ดวิชาของสำนักจะทำให้พลังปราณแตกซ่านจนถึงแก่ชีวิตเอาได้

หงหลินอิงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ เพราะในกองทัพมีคนร่างกายแข็งแรงมากมาย แต่จี้เหวินเหอเข้ากองทัพมาหนึ่งปีแล้วก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

และจี้เหวินเหอยังช่วยให้กองทัพได้รับชัยชนะครั้งสำคัญหลายครั้งครา หนึ่งปีให้หลัง หงหลินอิงจึงให้กุนซือคนเดิมลาออกจากตำแหน่งไปเป็นรองกุนซือ และให้จี้เหวินเหอขึ้นเป็นกุนซือแทน ส่วนเรื่องที่จี้เหวินเหอทราบข่าวของข้าศึกได้อย่างไรนั้น เขาไม่ได้สนใจ เพราะด้วยวิทยายุทธ์ของอีกฝ่าย คาดว่าวิธีการคงมีมากมาย

และอีกประการ ข่าวคราวของข้าศึกที่แจ้งมาหลายครั้งนั้นมีอัตราถูกต้องค่อนข้างสูง หากว่าจี้เหวินเหอเป็นสายลับ เกรงว่ามันจะแลกมาด้วยชีวิตของทหารเจ็ดถึงแปดหมื่นชีวิต การเสียสละเช่นนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นเพื่อแผนการที่ไม่แน่ไม่นอนในอนาคต

การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้แม่ทัพหลายคนในกองทัพแสดงความไม่พอใจกันออกมา แต่ภายหลังผ่านการต่อสู้น้อยใหญ่หลายครั้ง แผนการทั้งหมดที่จี้เหวินเหอเป็นคนวางแผน เกือบทุกครั้งจะเป็นเหตุทำให้ข้าศึกแตกพ่ายย่อยยับ จนสุดท้ายจี้เหวินเหอจึงได้รับสถานะที่มั่นคงในกองทัพ และมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากยิ่งขึ้น

และสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจนถึงขีดสุด มันคือการต่อสู้เมื่อสองปีครึ่งที่ผ่านมา ก่อนการต่อสู้ครั้งนั้น จี้เหวินเหอไปยังค่ายทหารใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองไปทางเหนือราวสามสิบลี้ เพื่อเฟ้นหาตัวศิษย์ที่ยังไม่ทราบว่าพบเจอหรือไม่

แต่ที่แห่งนั้นมีทหารประจำการอยู่หลายแสนนาย ต่อให้จี้เหวินเหอเก่งกาจแค่ไหน และวันนั้นไม่มีกิจธุระอื่น ด้วยกำลังของเขา มากสุดวันหนึ่งก็ทดสอบได้ไม่กี่ร้อยคน ดังนั้นสามปีที่ล่วงเลย นอกจากทดสอบทหารในด่าขุนเขามรกตจนเกือบหมดแล้ว เขายังแวะเวียนไปค้นหาศิษย์จากค่ายทหารใหญ่อยู่บ่อยครั้ง

ส่วนเรื่องราวเหล่านี้ ตอนแรกเหล่าทหารก็รู้สึกว่าแปลก แต่ภายหลัง นายทหารทุกระดับชั้นเริ่มคุ้นชิน ทว่าคนนอกไม่ค่อยมีใครทราบเรื่องราว เพราะจี้เหวินเหอเป็นคนที่เก็บตัวเงียบและวางตัวไม่โดดเด่น กระทั่งไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด

จนกระทั่งบ่ายวันที่จี้เหวินเหอไปเยือนค่ายทหารใหญ่ แคว้นเหมิงส่งคนมาบุกโจมตีอย่างกะทันหัน หงหลินอิงนำทหารออกไปต้านรับข้าศึก ภายหลังต่อสู้กัน กองทัพข้าศึกกลับเริ่มขนส่งกำลังพลมาเสริมอย่างต่อเนื่องราวกับน้ำมันตะเกียงที่เติมไม่มีวันหมด

เป็นเหตุให้หงหลินอิงไม่อาจถอนทัพ สุดท้ายเริ่มโดนปิดล้อม ตอนนั้นเองที่จี้เหวินเหอซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปสามสิบลี้ได้รับรายงานจากม้าเร็ว เขาจึงนำทหารจากค่ายใหญ่มาสมทบช่วยเหลือ แต่ครั้งมาถึง หงหลินอิงและเหล่าทหารแนวหน้ากำลังย่ำแย่

จี้เหวินเหอจึงสั่งให้กองทัพบุกจากวงนอกโดยใช้วิชาปิดล้อมแปดทิศค่อย ๆ บุกเข้าไป ส่วนตัวเขาได้แสดงวิทยายุทธ์อันน่าสะพรึงเป็นครั้งแรก โดยการที่หนึ่งคนหนึ่งกระบี่กระทำประหนึ่งเทพเซียนพุ่งเข้าหากองทัพข้าศึกประหนึ่งตรงนั้นไร้ซึ่งศัตรู นอกจากจะปัดอาวุธข้าศึกพ้นทาง คนที่ขวางทางเขายังโดนสังหารตกตาย

สุดท้ายเขาจึงบุกไปถึงจุดที่แม่ทัพข้าศึกอยู่ บินทะยานลงจากฟากฟ้าประหนึ่งเหยียบโฉบล่ากระต่ายป่า ก่อนทหารองครักษ์ของข้าศึกจะทันตั้งตัว เขาก็มาถึงตรงหน้าเป้าหมายพร้อมใช้กระบี่ตัดหัวรองแม่ทัพข้าศึก ก่อนจะปัดอาวุธที่พุ่งเข้าหาและกระโดดขึ้นฟ้า เพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถไปยืนเหนือยอดธงแม่ทัพข้าศึกที่สูงกว่าสิบเมตร มือหนึ่งถือกระบี่ มือหนึ่งถือหัวรองแม่ทัพข้าศึกอย่างโดดเด่นเป็นสง่า

ข้าศึกที่พบเห็นจึงเสียขวัญกำลังใจไม่อาจสู้รบต่อ กระทั่งยอมรับความพ่ายแพ้และถอยทัพไป ทำให้หงหลินอิงนำทหารฝ่าออกจากวงล้อมมาได้

ภายหลังการต่อสู้ครั้งนั้น ชื่อเสียงของจี้กุนซือจึงโด่งดัง เป็นความดังที่มากยิ่งกว่าแม่ทัพหง และทำให้ผู้คนได้ทราบ ว่ากุนซือผู้นี้ไม่ใช่แค่เก่งเรื่องวางแผนบนกระดาษ แต่ยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง กองทัพในราชสำนักเองก็ไม่ได้ทำแค่ตั้งรับอย่างเดียว แต่เริ่มบุกโจมตีชายแดนข้าศึก กระทั่งยกทัพใหญ่ไป

ไม่กี่ปีภายหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงผลัดกันรุกและรับสลับกันไป และเพราะมีกำลังพลใกล้เคียงกัน แม้ว่าจะมีจี้เหวินเหอ แต่ในการต่อสู้ คนเพียงหนึ่งไม่อาจแปรเปลี่ยนผลตัดสิแพ้ชนะขั้นเด็ดขาด อีกทั้ง แคว้นเหมิงทราบแล้วว่าที่ด่านขุนเขามรกตมียอดฝีมือที่เก่งกาจขนาดตัดหัวรองแม่ทัพข้าศึกได้ ฝั่งนั้นจึงเริ่มส่งยอดฝีมือระดับหนึ่ง และยอดฝีมือสูงสุดหลายคนจากในแคว้นออกมา

หงหลินอิงที่ผ่านการต่อสู้ครั้งดังกล่าวมาได้ จึงมั่นใจว่าจี้เหวินเหอเป็นยอดฝีมือผสานสรรพสิ่งแล้ว หรือบางทีอาจเหนือยิ่งไปกว่านั้น เป็นขอบเขตที่เขาไม่รู้จักมาก่อน และในฐานะคนคลั่งไคล้วิทยายุทธ์ เขาทราบดีว่าความสำเร็จดังกล่าวมาจากวิทยายุทธ์ของสำนักที่จี้เหวินสังกัด

ก่อนหน้านี้ เขาก็พอคาดเดาได้ว่าจี้เหวินเหอจะต้องเก่งกาจ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะถึงขั้นนี้ ภายหลังการต่อสู้ครั้งดังกล่าว เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย แต่ไม่ว่าจะสืบเช่นไร ก็ไม่อาจสืบพบว่าสำนักนั้นมาจากไหน

และพอได้ประลองฝีมือกับจี้เหวินเหอเป็นครั้งคราว เขายิ่งรู้สึกได้ ว่าวิทยายุทธ์ของจี้เหวินเหอ โดยเฉพาะพลังภายในนั้นถือเป็นสุดยอด ท่วงท่าธรรมดา แต่พอจี้เหวินเหอใช้พลังภายใน หงหลินอิงได้ตระหนักประหนึ่งสายน้ำที่ไหลบ่าไม่หยุดหย่อน บางครั้งยังเป็นประหนึ่งขุนเขาที่ถล่มร่วงหล่นจนไม่อาจต้านทาน ทำให้เขาอยากได้เคล็ดวิชาพลังภายในของจี้เหวินเหอ เกิดซึ่งความโลภ จนพยายามค้นหาวิธีการ

เพียงแต่เรื่องที่จี้เหวินเหอต้องการรับศิษย์ยังไม่คืบหน้า ขณะที่ตัวจี้เหวินเหอนั้นเป็นดังที่เขาเคยบอกเอาไว้ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร่างกายของเขายิ่งแย่ลง หน้าตาแก่เฒ่าลงอย่างเห็นได้ชัด หงหลินอิงจึงพูดโดยอ้อมว่าอยากสืบทอดวิชา วันหนึ่ง ภายหลังเลี้ยงอาหารเสร็จเขาจึงถามกับจี้เหวินเหอโดยตรงว่า “ท่านกุนซือ ท่านจะเลือกคนเช่นไรมาสืบทอดวิชากัน หลายปีแล้วก็ยังไม่พบ ต้องเป็นคนเช่นไรกันแน่?”

จี้เหวินเหอยิ้มรับเล็กน้อย “ที่สำนักข้าสืบทอดวิชาแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่ใช่ว่าไม่รับศิษย์ แต่เป็นเพราะวิธีการฝึกมีข้อกำหนดที่พิเศษมาก กล่าวว่าหาได้ยากยิ่งก็ไม่ผิด นั่นคือต้องใช้เคล็ดวิชาและเข็มเงินตรวจชีพจร หากว่ามีอาการพิเศษตอบสนอง เช่นนั้นจึงมีหวัง”

“คงเรียกว่าหาได้ยากยิ่งไม่ได้แล้ว ในกองทัพข้า ไม่ว่าจะเป็นทหารเก่าหรือทหารใหม่ ท่านก็ทดสอบไปเยอะแล้ว ข้าว่าแสนคนยังหาไม่ได้สักคน” หงหลินอิงส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ

สุดท้ายจึงถามต่อ “การปักเข็มเงินลงไป ต้องมีอาการพิเศษเช่นไรจึงเรียกว่ามีหวัง?”

จี้เหวินเหอพูดตอบ “ไม่แน่ไม่นอนนัก บางทีก็มีสีหน้าผิดปกติ บางทีก็มีพลังปราณผิดปกติ ตอนนั้นข้าต้องใช้เข็มเงินนำทาง เพื่อใช้พลังภายในตรวจสอบจึงจะทราบได้ และถ้าเข้ากับพลังภายในของข้าได้ ก็ถือว่าใช้ได้”

ทุกครั้งที่จี้เหวินเหอทำการทดสอบ หากไม่อยู่ในห้องก็มักเป็นด้านในกระโจม นอกจากคนที่ถูกทดสอบแล้วจะไม่ให้ผู้อื่นเข้าไป ดังนั้นหงหลินอิงจึงไม่ค่อยเชื่อคำอธิบายสักเท่าไหร่

หงหลินอิงแสร้งทำเป็นเมามายพลางพูดกล่าว “เช่นนั้นท่านกุนซือลองดูหน่อย ว่าร่างกายข้านั้นเป็นเช่นไร” อีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าถ้าเหมาะสมจะเป็นอย่างไร และไม่เหมาะสมเป็นอย่างไร คำพูดนี้แม้ฟังดูเหมือนพูดเล่นตอนเมา แต่ก็มีความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม

จี้เหวินเหอได้เพียงแค่ยิ้มรับ ทำประหนึ่งเรื่องที่พูดขึ้นมาลอย ๆ ในระหว่างวงสนทนา เขาพยักหน้า “ในเมื่อว่างแล้วก็ลองดูได้ บางทีท่านแม่ทัพอาจมีวาสนา” พูดจบ เขาจึงนำถุงผ้าออกมาเปิดออกและหยิบเข็มเงินออกมาใช้ตรวจสอบชีพจรให้

กล่าวกันว่าจี้เหวินเหอพกถุงผ้าติดตัวเอาไว้ตลอด เพราะหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ เขาจะไปหาทหารมาเข้ารับการทดสอบ และพอถูกเข็มเงินปักลงไป หงหลินอิงรู้สึกแค่ข้อมือชา นอกเหนือจากนั้นไม่มีอาการอื่น และไม่รู้สึกว่ามีพลังภายในไหลเข้ามา

จี้เหวินเหอเผยสีหน้าผิดหวัง ส่ายศีรษะ และเก็บเข็มเงิน “เหมือนว่าท่านแม่ทัพจะไม่มีวาสนา ไม่ต้องใช้พลังภายในตรวจสอบแล้ว”

มันคือคำตอบ ว่าหงหลินอิงไม่สามารถฝึกวิชาของเขา แต่คำพูดแค่นี้มีหรือจะทำให้หงหลินอิงยอมรับความจริงได้ เขาฝึกฝนวิทยายุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก ปัญหาที่เคยประสบล้วนแก้ไข ไม่มีวิชาใดที่เรียนแล้วไม่สำเร็จ มีก็แต่เขาอยากจะเรียนหรือเปล่าก็นั้นเอง

ทว่าเขาไม่อาจใช้กำลังกับจี้เหวินเหอ และรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ดังนั้นแม้ไม่กี่ปีมานี้ จี้เหวินเหอจะดูย่ำแย่ลงทุกปี แต่ถ้าแค่จัดการกับคนเช่นเขา เกรงว่าไม่กี่กระบวนท่าก็มากพอ หรือบางทีแค่ขยับตัวก็คงเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้เขาจะเป็นยอดฝีมือสูงสุดแห่งยุทธภพ แต่มันก็ต้องดูด้วยว่าคิดเทียบเปรียบกับใคร

จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมา จี้เหวินเหอพบเจอศิษย์ที่ตามหาจากค่ายทหารใหญ่ หงหลินอิงจึงหาเรื่องไปพบศิษย์ที่จี้เหวินเหอตามหาประหนึ่งงมเข็มในมหาสมุทร และแอบใช้พลังภายในตรวจสอบเส้นชีพจรของเด็กคนนั้น แต่เขาไม่อาจจำแนกออกว่าเส้นชีพจรของเด็กคนดังกล่าวมีอะไรพิเศษ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าจี้เหวินเหอจะต้องปิดบังอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่อาจนึกออกเช่นกัน

แต่ภายหลังจี้เหวินเหอพบเจอตัวศิษย์ได้หนึ่งเดือน ศิษย์คนนั้นกลับเสียชีวิตอย่างกะทันหัน จี้เหวินเหอแสดงความเสียใจออกมา กล่าวว่าศิษย์คนนั้นอ่านหนังสือไม่ออก จึงเข้าใจวิทยายุทธ์ของสำนักผิดเพี้ยน ฝึกผิดทาง ทำให้พลังปราณแตกซ่านเสียชีวิต

หงหลินอิงได้เห็นสภาพศพที่ตายอย่างอนาถ เป็นสภาพที่ผิวตัวดำและบวม เป็นการตายที่ผิดกับคนฝึกวิทยายุทธ์ส่วนใหญ่ เพราะมันคล้ายกับโดนพิษร้ายแรงเล่นงาน จนเป็นเหตุให้เขาสันนิษฐานได้สองข้อ

หนึ่งคือจี้เหวินเหอใช้เด็กคนนั้นเป็นภาชนะ เพื่อถ่ายพิษในร่างตนเองไปยังเด็กคนนั้นสำหรับการรักษาตนเอง โดยที่เด็กคนนั้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องลับใดกับวิทยายุทธ์ของสำนักหรือตัวพิษจึงทำได้ หากไม่แล้วคงหาคนอื่นมาเป็นภาชนะแทนได้เนิ่นนานแล้ว แต่จากท่าทีตอบรับของจี้เหวินเหอ สภาพนั้นไม่ได้ดูดีขึ้นแม้แต่น้อย ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือไม่

ส่วนประการที่สองคือ เคล็ดวิชาของจี้เหวินเหอสมควรร้ายกาจอย่างมหาศาล และศิษย์คนนั้นอาจเข้าใจผิดจนฝึกผิดพลาดไปจริง จนเป็นเหตุทำให้ลมปราณปะทะเส้นเลือดแตก อวัยวะภายในเสียหาย ร่างกายเกิดความผิดปกติ

แต่คนเช่นจี้เหวินเหอ ในเมื่อทราบว่าศิษย์อ่านหนังสือไม่ออกมันก็น่าจะมีวิธีการอื่น หรือไม่ก็ค่อย ๆ สอนสั่ง หรือว่าเพราะใกล้ตายแล้วเลยทำไม่ไหว มันยังมีอะไรบางอย่างที่หงหลินอิงนึกไม่ออก แต่ถ้าอยากรู้ มันก็ต้องเริ่มจากการตรวจสอบชีพจร บางทีอาจทำให้พบเจอร่องรอยอะไรบางอย่างเข้า

ภายหลังจากนั้น จี้เหวินเหอยังคงไปทดสอบเหล่าทหารภายในค่าย แต่หงหลินอิงมี่เหตุผลอะไรที่จะตามไป เพราะหากไปดูครั้งสองครั้งก็พอจะอ้างว่าสนใจได้ แต่หากไปบ่อย แสดงออกแล้วว่ามีแผนการอะไรบางอย่าง และมันยังเป็นเรื่องภายในของสำนักแห่งยุทธภพ การจะสืบเรื่องภายในของสำนักอื่นถือเป็นข้อห้าม หากสืบพบจะฆ่าปิดปากก็ไม่มีผู้ใดกล่าวโทษ แต่ทุกครั้งที่เกณฑ์ทหารใหม่ เขาจะมีเหตุผลให้มาเยี่ยมชม นั่นคือการตรวจสอบทหารใหม่เข้าประจำการด้วยตนเอง

แท้จริงแล้วหงหลินอิงก็คาดเดาได้ ว่าจี้เหวินเหอย่อมมองออกว่าเขามาดูการเกณฑ์ทหารใหม่ด้วยเหตุผลอะไร เพราะคนเช่นจี้เหวินเหอไม่ใช่คนโง่ แต่หงหลินอิงไม่มีทางเลือกอะไรมากมาย เขาได้แค่อาศัยจากตรงนี้เพื่อค้นหาเบาะแส และค่อยวางแผนขั้นต่อไป ทั้งหมดก็เพื่อเข้าถึงเคล็ดวิชาที่เขาใฝ่ฝัน แต่น่าเสียดาย จี้เหวินเหอดำเนินการทดสอบในกระโจมเสียทุกครั้ง เขาไม่อาจเข้าไปสอดส่องได้

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังอยากได้เห็นศิษย์คนที่จี้เหวินเหอเลือก ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนเช่นไร มีอะไรผิดแปลกจากคนอื่น เพราะเรื่องราวเช่นนี้ต้องได้เห็นกับตาและลงมือทำเอง หากอาศัยฝากคนอื่นเฝ้ามองและบอกเล่า มันไม่ชัดเจนเท่ามาด้วยตนเอง

หงหลินอิงนั่งพิงเก้าอี้และมองยังกระโจม สายตาเริ่มหรี่ลงเป็นประกาย ภายในกำลังครุ่นคิดไม่หยุดหย่อน “เรื่องราวช่างยากเย็นยิ่งนัก ไม่กี่ปีมานี้ วิธีไหนก็ใช้ไม่ได้ผล หากเป็นตามที่เขาบอก คาดว่าคงเหลือเวลาอีกแค่ปีหรือสองปี แต่มันจะจริงหรือไม่ หากว่าเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นหากเขายอมปล่อยให้วิชาหายไปไม่บอกเล่าหรือสืบทอดแก่ผู้ใดจะทำอย่างไร?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด