ตอนที่แล้วบทที่ 7 จี้กุนซือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (2)

บทที่ 8 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (1)


บทที่ 8 แม่ทัพหงและจี้กุนซือ (1)

จี้กุนซือที่เดินนำหน้าไปสองถึงสามก้าวแล้วต้องหยุด เพราะเหมือนจะเห็นว่าหลี่เหยียนไม่ได้ตามมา เขาจึงต้องหันกลับมามอง “ในเมื่อตัดสินใจเข้าสำนักของข้าแล้ว เช่นนั้นก็หยุดใช้คำเรียกใต้เท้าอะไรนั่น

ให้เรียกหาเป็นอาจารย์ จะว่าไปแล้ว ท่าทีเจ้าคล้ายกังวลเรื่องการทดสอบของทหารองครักษ์กระมัง เอาเป็นว่าไม่ต้องห่วง นับแต่นี้เจ้าเป็นศิษย์ข้าแล้ว อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็เป็นคนของกุนซือ ดีกว่าทหารองครักษ์เป็นไหน” สิ้นคำเขายังเผยท่าทีภาคภูมิออกมา

หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงคิดในใจ ‘ที่แท้อยู่กับอาจารย์ดีกว่าเป็นทหารองครักษ์ตั้งเยอะ ข้าช่างโชคดี’ แต่ไม่ช้าท่าทีของเขาก็แสดงออกว่าลังเล ราวกับอยากจะถามอะไรบางอย่าง

จี้กุนซือย่อมพบเห็น ยามนี้จึงเอ่ยถาม “มีอะไรอีกหรือ?”

“อะ... อาจารย์ เบี้ยหวัดของแต่ละเดือนนั้น... คือ... ที่บ้านข้ายังมีพ่อแม่...” หลี่เหยียนพูดจาตะกุกตะกัก

“อ้อ ก็นึกว่าเรื่องอะไร เจ้าเป็นลูกกตัญญู นับจากนี้เบี้ยหวัดของเจ้าจะเท่ากับหัวหน้าทหาร กล่าวคือมากกว่าทหารองครักษ์ถึงสี่ส่วน” จี้กุนซือมองหลี่เหยียนพลางยิ้มตอบ

“ขอบคุณอาจารย์ขอรับ” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงยินดี กระทั่งรู้สึกเสมือนได้ก้าวขึ้นไปบนฟ้า ทุกสิ่งอย่างราวกับฝันไป นับจากนี้แต่ละเดือนเขาจะได้ส่งเงินให้พ่อแม่ได้มากขึ้น และคำเรียก “อาจารย์” ก็ดูคล่องขึ้นมากเช่นเดียวกัน

ที่แท่นปะรำภายนอกกระโจม แม่ทัพหงยังคงนั่งพิงพนักพิง ข้อศอกขวาวางบนที่พักแขน มือกำค้ำยันขมับเอาไว้ ท่าทีดูง่วงหาว สายตานั้นหรี่ลงเผยท่าทางสบาย ๆ นานครั้งจะหันมองไปยังการทดสอบในรั้ว ภายหลังมองชั่วครู่หนึ่งจึงหันกลับมามองทางกระโจม ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

แม่ทัพหงมีนามเต็มว่าหงหลินอิง เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ ประจำการอยู่ทาตะวันตกเฉียงใต้ ควบคุมทหารกว่าสองแสนนาย รับหน้าที่คุ้มกันชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ เดิมทีเคยเป็นเด็กไร้บ้าน ครั้งอายุสิบเอ็ดสิบสองปีได้มีโอกาสเป็นศิษย์วัดธรรมะที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ

วัดธรรมะถือเป็นสำนักอันดับต้นในยุทธภพ วิทยายุทธ์ในวัดประกอบด้วยเคล็ดวิชาลับมากมาย และแท้จริงแล้ว หงหลินอิงเป็นแค่ศิษย์ฆราวาส โอกาสของเขาไม่น่าจะได้เข้าถึงวิทยายุทธ์ขั้นสูงของวัด แต่เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและเด็ดเดี่ยว กระทั่งเคยทำร้ายตัวเองด้วยการฝึกวิทยายุทธ์จนบาดเจ็บสาหัส

ภายหลังอยู่ที่วัดได้ห้าปี เขาฝึกวิทยายุทธ์จนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับสองในยุทธภพ เหตุการณ์เช่นนี้นับว่าหาได้ยาก และวิทยายุทธ์ที่เขาร่ำเรียนมา ยังเป็นแค่วิชาพื้นฐานกับทักษะการต่อสู้เบื้องต้นสำหรับศิษย์ฆราวาส กระนั้นเขากลับฝึกฝนจนเก่งกาจเพียงนั้น นับว่าไม่ใช่ธรรมดา

ระดับวิทยายุทธ์ในยุทธภพเรียงจากสูงไปต่ำ ได้แก่ ยอดฝีมือผสานสรรพสิ่ง ยอดฝีมือสูงสุด ยอดฝีมือระดับหนึ่ง ยอดฝีมือระดับสอง ยอดฝีมือระดับสาม ส่วนที่ต่ำกว่านั้น นับว่าเป็นกลุ่มที่ฝึกวิทยายุทธ์แบบผิวเผิน

ในอดีต ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก็ใช้วิชาหมัดยาวปฐมฮ่องเต้เข้าปราบปรามและก่อตั้งราชวงศ์อันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา มีคนเล่าขาน ว่าทุกครั้งที่ปฐมฮ่องเต้พบเจอข้าศึก เพียงใช้หมัดยาวปฐมฮ่องเต้ออกมา ก็มักทำให้ศัตรูบาดเจ็บล้มตาย มันไม่ใช่ว่าวิชานี้เก่งกาจ แต่เป็นปฐมฮ่องเต้ฝึกฝนจนชำนาญและรวดเร็ว ดังคำกล่าวว่า “วิทยายุทธ์ใต้หล้าวัดกันที่ความเร็ว” ถึงแม้ทราบว่าอีกฝ่ายใช้งานวิชาอะไร แต่หากอีกฝ่ายบรรลุจนถึงขั้นผสานสรรพสิ่ง ด้วยระดับที่แตกต่างกัน ก็เป็นอะไรที่ยากหลบเลี่ยง

หงหลินอิงนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ฝึกวิชาจนรวดเร็วไร้เทียมทาน แต่ก็ฝึกฝนจนสำเร็จ ต่อมาพอพระในวัดทราบเรื่องจึงรู้สึก ว่าเด็กคนนี้อาจประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็ทราบเช่นกันว่าด้วยนิสัยเช่นนี้คงไม่อาจเป็นพระ แต่อีกใจก็รู้สึกเสียดาย และทราบดีว่าสุดท้ายหากยังฝึกเช่นนี้ต่อไป จุดจบหากไม่ตายก็พิการ

ทำให้พระในวัดต้องใช้วิธีแช่น้ำสมุนไพรของวัดรักษาอาการบาดเจ็บ ภายหลังจึงช่วยทะลวงเส้นชีพจร ถัดมาจึงถ่ายทอดเคล็ดวิชา “กายทองคำเปล่งประกาย” รวมถึงวิชากังฟูเช่นกระบอง แม้ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่สืบทอดเฉพาะศิษย์ของวัด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ฆราวาสจะได้มีโอกาสร่ำเรียน

หงหลินอิงฝึกวิทยายุทธ์ที่วัดธรรมถึงสี่ปี ตอนนี้ไม่ว่าจะการฝึกฝนพลังภายนอกและพลังภายใน รวมกับพรสวรรค์และความขยันหมั่นเพียร และการที่มีพระในวัดคอยชี้แนะ ทำให้เขาได้กลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพได้

ครั้งนั้นหงหลินอิงคิดลงจากเขาไปสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ก่อนลงจากเขา พระในวัดได้กล่าวเตือนเอาไว้ว่า “หลินอิงเอ๋ย จดจำเอาไว้ วิทยายุทธ์ที่เจ้าร่ำเรียนไม่ใช่ธรรมดา อย่าใช้ฆ่าคนบริสุทธิ์ อย่าใช้ขืนใจผู้อื่น อย่าใช้ปล้นสะดม เพราะหากเจ้าทำเช่นนั้น วัดจะส่งคนไปตัดหัวเจ้า ถึงแม้เจ้าจะเป็นขุนนางใหญ่โตหรือมหาเศรษฐีก็มีชะตาต้องตาย จดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ” และหงหลินอิงก็รับปาก

ภายหลังลงจากเขาแล้ว เขาก็ทำตามหลักคำสอน และหากคิดอยากใช้ประโยชน์จากวิทยายุทธ์ก็ต้องผ่านการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงสมัครเข้าเป็นทหาร เริ่มจากทหารชั้นเลว ผ่านการต่อสู้เล็กใหญ่มานับร้อยครั้ง

เพราะเขาต่อสู้กับข้าศึกอย่างดุเดือดไม่กลัวตายจึงได้เลื่อนขั้นในกองทัพ จนกระทั่งได้ขั้นเป็นแม่ทัพ ช่วงเวลานั้นเองที่เขาคิดอยากลาออกกลับบ้านไปฝึกฝนวิทยายุทธ์ แต่พอเกิดสงครามชายแดน เขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ จนมาประจำการอยู่ที่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้แห่งนี้

ด่านขุนเขามรกตเป็นเมืองหน้าด่าน ในเมืองมีทหารประมาณสี่ถึงห้าหมื่นนาย และแท้จริงแล้ว เขาควรจะได้ประจำการอยู่ที่ค่ายทหารใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปทางเหนือประมาณสามสิบลี้ แต่เพราะเขาชอบต่อสู้จึงอยากมาอยู่แนวหน้า เพื่อนำเหล่าทหารสู้รบกับข้าศึก ทางด้านแม่ทัพผู้อื่นก็ทราบนิสัยของเขาดี สุดท้ายไม่มีใครกล้าขัด ทำได้แค่ให้รองแม่ทัพประจำการอยู่ที่ค่ายใหญ่ เพื่อคอยส่งกำลังบำรุงและสนับสนุน

จี้เหวินเหอ หรือก็คือจี้กุนซือเดินทางมาที่นี่เมื่อหกปีก่อน ครั้งนั้นหงหลินอิงเพิ่งประจำการที่ด่านขุนเขามรกตได้ไม่นาน วันนั้นจี้เหวินเหอเข้าเมืองมาก็ตรงไปยังจวนแม่ทัพ บอกว่าจะขอพบแม่ทัพหง ทหารเฝ้าประตูหรือจะยอมให้เข้าไปได้โดยง่าย กระทั่งคิดรีดไถเงินก่อนเข้าไปรายงาน

คุยกันไปมา จี้เหวินเหอทราบว่าทหารเฝ้าประตูคิดอะไรจึงไม่พูดพร่ำ กระทั่งไม่ได้เห็นว่าเขาทำอะไรด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ทหารเฝ้าประตูก็ไม่อาจขยับร่างกาย เขาจึงเดินเข้าไปด้านในจวน ระหว่างทางยังพบเจอทหารลาดตระเวนที่พยายามเข้ามาปิดล้อมจับกุม แต่ก็แค่ปะทะกันเล็กน้อย ทหารเหล่านั้นทำได้แค่ยืนทื่อไม่อาจขยับไปไหนต่อ

หงหลินอิงที่กำลังพักผ่อนในห้องโถงของจวน ด้วยพลังภายในของเขาจึงได้ยินเสียงโหวกเหวกภายในจวน ขณะกำลังจะลุกขึ้นไปตรวจสอบ กลับได้เห็นเงาคนวาบผ่านที่ประตู เป็นบัณฑิตชุดดำก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและเงียบงัน

ถึงแม้หงหลินอิงจะผ่านความเป็นความตายมามากมาย แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็ยังทำให้เขาต้องตื่นตระหนก ด้วยวิทยายุทธ์ รวมกับการต่อสู้และการฝึกฝนอย่างหนัก เขาจึงกลายเป็นยอดฝีมือสูงสุดคนหนึ่ง แต่กลับไม่อาจมองเห็นว่าชายชุดดำเข้ามาได้อย่างไร

และที่ทำให้เขาหวาดกลัวยิ่งกว่า คือวิชาตัวเบาของอีกฝ่าย เขาไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน มันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้เสียงเสื้อผ้าเสียดสีด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่เขาไม่เคยพบเจอ เพราะตอนที่คนเราใช้วิชาตัวเบา เสียงเสื้อผ้าเสียดสีมักเกิดขึ้นตามการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจปิดซ่อน แต่วิทยายุทธ์ของอีกฝ่ายสูงล้ำ จนตัวเขาไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย

ยามเมื่อชายชุดดำหยุดการเคลื่อนไหว หงหลินอิงจึงได้เห็นว่าเป็นบัณฑิตในชุดดำ อายุราวสามสิบกว่า สวมหมวกบัณฑิต สูงราวเจ็ดฉื่อ หน้ายาว ผอม ผิวสีซีดและแดงผิดปกติ มีหนวดเคราเส้นยาวปรกหน้าอกให้พบเห็น

*ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาว มีค่าประมาณ 0.3 เมตร หรือ 33 เซนติเมตร

ชายชุดดำแนะนำตัวว่าตนเองคือจี้เหวินเหอ เป็นคนจากสำนักลับในยุทธภพ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่า แต่พลาดโดนแมลงมีพิษกัด รักษามาแล้วหลายเดือน ไปพบเจอมิตรสหายและหมอที่เก่งกาจหลากหลายคน ด้วยระดับวิทยายุทธ์ของเขานั้นย่อมรู้จักยอดฝีมือมากมาย แต่กลับไม่มีใครรักษาพิษที่เขาโดนกัดเล่นงาน จนกระทั่งพิษลุกลามไปทั่วทั้งร่างกาย

ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้นั้นประกอบด้วยภูเขามากมายทอดยาวสุดสายตา มีสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษมากมายนับไม่ถ้วน อย่างน้อยเจ็ดส่วนถือเป็นสัตว์ที่ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน หงหลินอิงไม่แปลกใจกับคำอธิบายของอีกฝ่าย เพราะเขาเองก็เคยเข้าไปในป่าลึก ที่แห่งนั้นมีสัตว์ร้ายและแมลงมีพิษมากมาย ส่วนใหญ่แทบไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อน

จี้เหวินเหอกล่าวต่อว่า เขาสามารถมาเป็นที่ปรึกษาในจวนได้ ขอแค่ให้เขามีโอกาสเลือกคนในกองทัพมาเป็นศิษย์สักคนหนึ่ง สำนักของเขาสืบทอดวิชามาแบบรุ่นสู่รุ่น และเขายังไม่เคยรับศิษย์ ตอนนี้กลับโดนพิษที่หาทางรักษาไม่เจอเล่นงาน หากใช้พลังภายในกดเอาไว้ ก็น่าจะยืดอายุได้ราวเจ็ดถึงแปดปี เขาขอแค่ความหวังให้สำนักของตนสืบทอดต่อไป

หงหลินอิงรู้สึกประหลาดใจ เพราะตอนแรกคิดว่าด้วยวิทยายุทธ์ของอีกฝ่าย คงมาขอเอาผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ หรือไม่ก็เป็นคนของข้าศึกมาลอบสังหาร แต่ยามนี้สิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอ มันเหนือความคาดหมายของเขาไปไกล

ภายหลังหงหลินอิงทบทวนแล้วจึงตอบตกลง ประการแรกคือเขามองคนผู้นี้ออก หากใช้กำลัง ผลลัพธ์ย่อมไม่ดี ส่วนประการที่สองนั้น ในจวนมีที่ปรึกษาเยอะพอสมควร สำคัญแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา หากไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสำคัญในกองทัพก็คงไม่มีใครติฉินนินทา

ส่วนเรื่องการเลือกคนในกองทัพมาสืบทอดวิชา มันถือเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างไรกองทัพก็มีทหารหลายแสน หากอยากเลือกสักคนหนึ่งก็แค่ปล่อยให้เลือกไป

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังกลับยิ่งทำให้หงหลินอิงตกใจมากขึ้น เรื่องแรกคือ ไม่นานภายหลังจากนั้น ข้าศึกบุกเข้ามาถึงสองสามครั้ง ครั้งหนึ่ง ภายหลังได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนม หงหลินอิงเข้าปรึกษากับกุนซือและแม่ทัพในกองทัพเพื่อวางแผนรับมือข้าศึก ถัดจากนั้นจึงกลับไปที่จวน

หาได้คาดคิดไม่ว่าจี้เหวินเหอจะมาพบเขาที่จวนกลางดึก บอกกล่าวแผนการและกำลังพลของข้าศึก สิ่งที่อีกฝ่ายบอกกล่าว หลายส่วนเป็นสิ่งที่หงหลินอิงทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ทราบ หรือบางทีหน่วยสอดแนมไม่ได้รายงานมา

และถึงแม้จะให้จี้เหวินเหอเป็นที่ปรึกษา แต่หงหลินอิงหรือจะเชื่อใจผู้ที่เพิ่งพบเจอโดยง่าย เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดส่วนใหญ่เหมือนดังที่เขารู้ แต่ด้วยวิทยายุทธ์ของจี้เหวินเหอ หากออกไปนอกเมืองเพื่อสะกดรอยตามข้าศึกก็คงได้ข่าวคราวมาบ้าง หงหลินอิงจึงแค่ขอบคุณเป็นการตอบรับ กล่าวว่าจะปรึกษากับคนในกองทัพอีกทีหนึ่ง จี้เหวินเหอที่ได้รับคำตอบจึงแค่ยิ้มและจากไป

ยามถึงรุ่งสาง กองทัพข้าศึกบุกเข้าโจมตีอย่างกะทันหัน หงหลินอิงจึงนำทหารออกจากเมืองไปรับมือข้าศึกอย่างใจเย็น เพราะมันเป็นการโจมตีที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายนอกเมือง จนกระทั่งฟ้าสาง ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างอ่อนล้าและเริ่มถอยทัพอย่างพร้อมเพรียง หงหลินอิงก็สั่งให้ทหารถอยทัพกลับเข้าเมืองเช่นกัน

นอกจากรับมือการโจมตีหลักแล้ว เขายังส่งทหารออกไปซุ่มโจมตีบนภูเขาทั้งสองฟากฝั่งด้วย เพราะพวกเขาทราบแผนการที่ข้าศึกจะใช้ป่าบนเขาทำการโจมตีจากด้านข้าง ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน แต่หาได้คาดคิดไม่ ว่าช่วงเวลาที่พวกเขากำลังถอยทัพกลับมาถึงหน้าประตูเมือง มันกลับเกิดแผ่นดินไหว

เสียงดังสนั่นประหนึ่งฟ้าร้องคำรามดังมาแต่ไกล ทหารข้าศึกที่กำลังถอยทัพอย่างอ่อนล้าโซเซพลันแยกออกเป็นสองฝั่ง เผยให้เห็นเป็นถนนโล่งกว้างฝุ่นฟุ้งตลบ ทหารม้าเกราะหนักหน่วยหนึ่งปรากฏตัว แค่ไม่กี่อึดใจจึงมาถึงหน้ากองทหารของราชสำนักที่กำลังถอยทัพ เป็นเหตุให้ทหารของราชสำนักไม่ทันตั้งรับ

เสียงฆ่าฟันดังขึ้น เลือดสาดกระเซ็น หงหลินอิงพบเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบตัดสินใจควบม้าเข้าเมืองและสั่งปิดประตูเมือง น่าเวทนาที่ภายนอกยังมีทหารอีกหมื่นที่ยังไม่ทันเข้าเมือง พวกเขาทำได้แค่ต่อสู้อย่างสิ้นหวัง และเพราะไม่มีชุดเกราะหนักจะไปต่อสู้กับทหารม้าเกราะหนัก ม้าที่หนักอึ้งพุ่งเข้ามาเช่นนั้นหรือจะต้านรับเอาไว้

แค่ประมาณครึ่งชั่วยาม ทหารในราชสำนักภายนอกเมืองถูกฆ่าตายหมดสิ้น แต่ระยะเวลาครึ่งชั่วยามนี้ หงหลินอิงก็จัดทัพทหารที่เหลือในเมืองประมาณสองหมื่นนาย เพื่อทำการต้านรับเหนือกำแพงเมือง รวมถึงส่งทหารม้าเร็วถือธนูออกไปทางประตูเมืองทิศเหนือ เพื่อขอความช่วยเหลือจากค่ายทหารใหญ่

แต่ก่อนกำลังเสริมจะทันมาถึง ข้าศึกก็เริ่มแสดงความคลุ้มคลั่งบุกเมือง หลายครั้งที่บุกขึ้นกำแพงเมืองได้ หงหลินอิงต้องขึ้นไปเหนือกำแพงเมืองคุมทหารสู้รบกับข้าศึก ทหารล้มตายเป็นระลอก ผู้ที่ตายถูกขนย้าย ทหารใหม่ขึ้นมา เพื่อยื้อเวลาเอาไว้จนกระทั่งกำลังเสริมมาถึง

ยามเมื่อกำลังเสริมจากประตูเมืองทิศเหนือเข้ามาสนับสนุนไม่หยุด ข้าศึกที่พบเห็นว่าสู้ไม่ไหวจึงสั่งให้ถอยทัพ

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด