บทที่ 7 จี้กุนซือ
บทที่ 7 จี้กุนซือ
หลี่เหยียนเดินตามแถวไปด้านหน้าพลางครุ่นคิด ‘ดูจากท่าทางของท่านแม่ทัพหงบนแท่นปะรำที่สนใจทางด้านนี้ ในกระโจมคงไม่ได้มีแค่การสมัคร แต่อาจมีการทดสอบอะไรบางอย่าง แต่ตัวกระโจมก็ไม่ได้ใหญ่มาก จะใช้กำลังก็คงคับแคบเกินไป หรือจะเป็นการทดสอบความรู้กันแน่’
เขาก้มหน้าพลางเดิมไปและครุ่นคิด ทันใดนี้เองที่รู้สึกว่าด้านหน้าสว่างขึ้น เพราะที่แท้คนสุดท้ายด้านหน้าของเขาก็เข้าไปด้านในกระโจมตีเสียแล้ว ดังนั้นมันจึงโล่ง แต่พอเงยหน้าขึ้น เพียงคนก่อนหน้าเข้าไป ม่านก็ปิดตัวลง เขาจึงไม่อาจมองเห็นด้านใน แต่หลี่เหยียนก็ไม่ได้คิดมากและยืนรออย่างใจเย็น
ทว่าผ่านไปได้ไม่นานกลับมีคนเปิดม่านออกมา เป็นคนที่เพิ่งเข้าไปเมื่อครู่ อีกฝ่ายกำลังดึงแขนเสื้อขึ้น ทว่ามีสีหน้าท่าทีสับสนงุนงง สุดท้ายจึงเดินไปต่อท้ายแถวกลางภายใต้การเร่งเร้าของทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเคียง และไม่ช้าทหารนายนั้นจึงชี้หลี่เหยียน “เจ้าเข้าไป” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงเดินไปยังกระโจม
เพียงเปิดม่านเข้าไปด้านใน หลี่เหยียนรู้สึกว่าค่อนข้างมืด ภายหลังหลับตาลงครู่หนึ่งให้ปรับตัวเข้ากับแสง เขาจึงลืมตาขึ้น ตอนนี้ได้เห็นว่าด้านในกระโจมมีแค่โต๊ะเตี้ย ๆ ตัวหนึ่ง พร้อมกับคนที่นั่งขัดสมาธิบนพรมผืนเล็กหลังโต๊ะ อีกฝ่ายอายุราวสี่สิบกว่า สวมหมวกบัณฑิต สวมใส่ชุดคลุมสีดำตัวหลวม ชายชุดคลุมลู่ไปกับพื้นบดบังช่วงล่างทั้งหมด และแม้ว่าจะนั่งอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้เตี้ยกว่าหลี่เหยียนมากนัก กล่าวคือเป็นคนตัวสูง
ด้วยใบหน้าที่ยาวผอมและผิวซีด พร้อมกับหนวดเคราเส้นยาวปรกหน้าอก มือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายซ่อนอยู่ด้านในแขนเสื้อและกอดอกเอาไว้หลังโต๊ะที่บดบังอยู่ ยามนี้กำลังเผยดวงตาคู่เล็กที่เป็นประกายและมองหลี่เหยียน ยามพบเห็นคนใหม่เข้ามา เขาจึงยื่นนิ้วยาวขาวออกมาจากแขนเสื้อ และชี้ไปยังพรมผืนเล็กหน้าโต๊ะนั่งโดยไม่พูดอะไรอื่นอีก
หลี่เหยียนเดินไปหน้าโต๊ะ ตอนนี้เองที่ได้เห็นว่าบนโต๊ะมีถุงผ้าใบ บนถุงปรากฏช่องขนาดเล็กเย็บเรียงกันเป็นแถว ปากถุงหงายขึ้น ในแต่ละช่องมีเข็มเล็ก ๆ ที่ปลายเข็มโผล่สีเงินออกมาให้เห็นเป็นประกาย
หลี่เหยียนมองเข็มเงินที่แวววาวบนโต๊ะพลางใจเต้นและคิดในใจ ‘ไม่มีพู่กัน หมึก และกระดาษ เช่นนั้นจะให้ลงทะเบียนอย่างไร ของแบบนี้วางเอาไว้ทำอะไรกันแน่’ ในใจของเขากำลังสับสนเพราะไม่ทราบควรทำอย่างไรต่อ
ชายชุดดำที่พบเห็นหลี่เหยียนมายืนหน้าโต๊ะแล้วจ้องมองเข็มไม่ยอมนั่งลงจึงเอ่ยปาก “วางใจ ก็แค่การทดสอบเส้นชีพจรของเจ้า หากว่าเส้นชีพจรดี เจ้าก็อาจมีโชคดี”
หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาจึงนั่งขัดสมาธิเหมือนดังชายชุดดำ เพราะในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว อย่างไรก็ต้องผ่านไปให้ได้ หากไม่แล้วก็คงไม่อาจไปทดสอบที่ลานฝึก และคิดมากไปก็เท่านั้น
ชายชุดดำที่พบเห็นหลี่เหยียนยอมทำตามแต่โดยดีจึงยิ้มรับ “นำข้อมือซ้ายวางบนโต๊ะ ชั่วครู่ก็เสร็จแล้ว” หลี่เหยียนไม่คิดอะไรให้มากความ เขายื่นมือขวาไปถลกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้น และวางมือลงข้างถุงผ้า
ชายชุดดำพบเห็นหลี่เหยียนทำตาม เขายื่นมือขวาออกมา และใช้นิ้วยางสองนิ้วหยิบเข็มเงินออกจากถุงผ้าอย่างรวดเร็ว หลี่เหยียนพลันรู้สึกว่าข้อมือด้านชา แต่พอมองดูกลับได้เห็น ว่าเข็มเงินปักลงบนข้อมือของตนเรียบร้อยแล้ว ชายชุดดำที่ลงมือเสร็จจึงเก็บมือกลับเข้าแขนเสื้อ กอดอก และมองหน้าหลี่เหยียน
หลี่เหยียนรู้สึกว่าข้อมือชา แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอาการอื่นใด แต่ในใจกำลังสงสัย จนกระทั่งผ่านไปแค่สองถึงสามชั่วลมหายใจ เขารู้สึกได้ว่ามันปรากฏลมเย็นจากช่องท้องพุ่งขึ้นยังศีรษะ เป็นเหตุทำให้หัวเย็นวาบและรู้สึกสบายตัวอย่างประหลาด
ชายชุดดำหรี่สายตา ยามพบเห็นว่าหลี่เหยียนไม่มีอาการใดจึงเกิดรู้สึกเสียดาย เนื่องจากเขาได้เห็นสถานการณ์เดียวกันมาหลายครั้งแล้ว แต่กระนั้น ทุกครั้งที่ปักเข็มลงไปก็ยังมีความหวัง เพราะหลายปีมานี้ มีเพียงหนึ่งครั้งที่ทำให้เขายินดี แต่ก็น่าเสียดายที่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับทำให้เขาต้องโกรธ
ขณะเขากำลังจะดึงเข็มออกจากข้อมือของหลี่เหยียน กลับได้เห็นว่าบนใบหน้าของหลี่เหยียนปรากฏสีดำขึ้น ชายชุดดำตกใจ สุดท้ายจึงแสดงท่าทียินดี ทว่าพยายามเก็บอาการเอาไว้ ถัดจากนั้นจึงยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งผีเสื้อที่บินวน ทำการปักเข็มสีเงินอีกสี่เล่มลงบนข้อมือของหลี่เหยียน ครั้งนี้ผ่านไปราวหนึ่งชั่วลมหายใจ หลี่เหยียนรู้สึกได้ถึงพลังที่ร้อน แห้ง หนัก และอุ่นทั้งสี่สายพุ่งมาจากตรงท้องขึ้นไปยังศีรษะ
ครั้งนี้เขารู้สึกประหนึ่งถูกจับทอดในกระทำน้ำมันเดือด ศีรษะราวกับโดนกระแทกจนครวญครางออกมา ใบหน้าแสดงออกถึงอาการเจ็บปวดและบิดเบี้ยวภายใต้พลังทั้งหลาย
ชายชุดดำที่ปักเข็มสี่เล่มเรียบร้อยก็เอาแต่จ้องหลี่เหยียนตาไม่กะพริบ ราวกับกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดสำคัญใดไป ยามพบเห็นสีเขียวแสดงบนใบหน้าของหลี่เหยียน เขาเริ่มกังวล แต่ต่อมาก็ปรากฏสีดำ เขาถึงขั้นกำหมัดแน่น แต่ยามได้เห็นสีเหลืองและสีขาว เขากลับรู้สึกผิดหวัง คลายหมัด สีหน้าแสดงออกราวกับไม่แน่ใจและขมวดคิ้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ตอนนี้หลี่เหยียนกำลังทรมาน พลังหลายสายในท้องของเขากำลังปะทะกันเองจนเจ็บปวดอย่างหนักหนา จากที่นั่งขัดสมาธิอยู่ถึงกับล้มร่างลงตัวงอเป็นกุ้ง โชคดีที่ตัวเขาไม่ได้งอถึงขนาดโดนเข็มเงินห้าเล่มที่ข้อมือ หากไม่แล้วคงไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร
ปัจจุบัน หากว่ามีใครเข้ามาพบเห็น ย่อมได้เห็นสีสันต่าง ๆ แสดงสลับไปมาบนสีหน้าของเขา เริ่มด้วยสีดำเข้มสุด รองลงมาคือสีเขียว แดง เหลือง และขาว ขณะที่สีขาวค่อนข้างจางมาก ทุกครั้งจะแสดงเป็นสีดำ เขียว แดง เหลือง และขาวสลับกันไปเช่นนี้ ขณะความเจ็บปวดทรมานเพิ่มมากขึ้น ถึงขนาดทำให้หลี่เหยียนร้องครวญครางออกมาหลายครั้ง
เสียงคร่ำครวญทำให้ชายชุดดำได้สติ สายตาคู่นั้นมองหลี่เหยียน ลังเล และสุดท้ายก็ราวกับตัดสินใจได้ เขาลุกขึ้นยืน แต่ไม่เห็นว่าขยับตัวอย่างไร ชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้าหลี่เหยียนแล้ว ทั้งยังไม่พูดพร่ำ ทำตัวประหนึ่งภูตผี เพียงโบกสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินจึงวาบผ่านขึ้นที่มือซ้ายของหลี่เหยียน พร้อมกับเสียงฟึ่บดังเบา ๆ บนโต๊ะ
เป็นเข็มเงินปักเรียงกันเป็นแถว ปลายเข็มยังสั่นให้เห็นอยู่ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าโต๊ะตัวนี้จะไม่ได้ทำจากไม้เนื้อดี แต่ของที่ใช้ในกองทัพถือว่าเน้นในด้านคุณภาพ ไม่เน้นรูปลักษณ์ภายนอก โต๊ะตัวนี้ทำจากไม้พุทรา มันค่อนข้างแข็งแรงมาก วิชาตัวเบาเช่นนี้ คาดว่าคงต้องเป็นยอดฝีมือในยุทธภพจึงจะสามารถทำได้
ชายชุดดำมองเข็มเงินบนโต๊ะ ถัดจากนั้นจึงมองหน้าหลี่เหยียนที่กำลังกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว สุดท้ายอดไม่ได้จึงถอนหายใจออก “เฮ้อ ข้ายังอ่อนหัดนักที่ไม่กล้าเข้าไปยังที่เช่นนั้น ทำได้แค่ใช้วิธีพื้น ๆ เช่นนี้ในการทดสอบ
ผลลัพธ์คือทำให้คนที่ถูกทดสอบแบกรับความเจ็บปวด โชคดีที่ไม่มีผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ เป็นแค่ความเจ็บปวดชั่วคราว หากว่ามีหินทดสอบหรือว่าเสาทดสอบละก็...” เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะของเหล่านั้นเป็นอะไรที่ตัวเขาในปัจจุบันไม่อาจเข้าถึง แต่บางทีภายหลังจากนี้อาจจะ...
แค่คิดเขาก็รู้สึกตื่นเต้น แต่พอได้เห็นหลี่เหยียนที่นอนอยู่บนพื้นจึงพึมพำกับตนเองว่า “ครั้งก่อนเป็นรากวิญญาณลึกล้ำ พรสวรรค์ดีกว่าข้าด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่อ่านหนังสือไม่ออก แม้แต่เคล็ดวิชาพื้นฐานก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ เสียดายพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้ สุดท้ายจึงกลายเป็นเช่นนั้น”
ภายหลังคิดแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เฮ้อ แม้คนนี้เป็นรากวิญญาณผสม แต่อย่างไรก็ดีกว่าไม่มี เวลาก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ช่วงสองปีมานี้ปรากฏตัวแค่สองคน มันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราทดสอบคนไปเกือบแสนคนแล้ว ใช้วิธีนี้ทดสอบทั้งทหารเก่าและทหารใหม่ในค่ายทหาร หลายปีได้มาแค่สองคน วาสนาคงมีเท่านี้ เพราะเวลาของเราที่เหลือแค่ปีสองปี แม้อนาคตโชคดีได้พบเจอคนที่เหมาะสมอีก แต่คงไม่มีเวลาแล้ว”
“แม้เป็นรากวิญญาณผสม แต่หากใช้ให้ดีก็ยังพอมีความหวัง” เขาคิดแล้วก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง สุดท้ายจึงมองหลี่เหยียนที่นอนอยู่บนพื้น ซึ่งเวลานี้เริ่มกลับมาอาการปกติแล้ว
หลี่เหยียนรู้สึกเหมือนโดนทรมานอย่างหนัก แต่เป็นการทรมานทางจิตวิญญาณ มันเจ็บปวดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่จะร้องเสียงดังออกมาก็ไม่ได้เช่นกัน ที่ทำได้ก็แค่ครวญครางเสียงเบา เวลาที่ผ่านไปแม้สั้นแต่สุดแสนจะยาวนาน เขาทนทุกข์ทรมาน สุดท้ายหลี่เหยียนจึงรู้สึกว่าเส้นชีพจรที่มือชา ความเจ็บปวดเริ่มหายไปประหนึ่งคลื่นที่ซัดมาและหายไป มันราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อครู่คล้ายจะเป็นแค่เรื่องคิดไปเอง
หลี่เหยียนใช้มือยันโต๊ะ ลุกขึ้นยืน และมองเข็มเงินแวววาวบนโต๊ะ สุดท้ายจึงมองชายชุดดำด้วยความหวาดกลัวประหนึ่งพบเห็นภูตผี เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา ความเจ็บปวดนั้นเหมือนจะแทรกเข้าไปถึงกระดูก หากไม่แล้วเรื่องเข็มเงินบนโต๊ะจะอธิบายได้อย่างไร ชายชุดดำที่พบเห็นหลี่เหยียนแสดงความกลัวจึงยิ้มรับด้วยท่าทีอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ข้าสกุลจี้ นามเต็มจี้เหวินเหอ คนอื่นเรียกข้าจี้กุนซือ หรือไม่ก็ใต้เท้าจี้”
หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงตกใจ ‘เขาคือจี้กุนซือที่ผู้คนนับถือ เป็นผู้ดูแลด่านขุนเขามรกตเคียงคู่ท่านแม่ทัพหง? ทั้งที่เป็นใต้เท้าผู้มากด้วยชื่อเสียงและความดีงาม เหตุใดทำเช่นนี้กัน?’
จี้กุนซือพบเห็นหลี่เหยียนไม่ตอบจึงยิ้มรับและพูดต่อเสียเอง “ถึงแม้เมื่อครู่จะทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่มันก็คุ้มค่า หลายปีมานี้ มีคนมากมายเข้ารับการทดสอบเดียวกัน แต่ไม่เคยได้ผลลัพธ์เช่นนี้
เดิมทีข้าเป็นคนของยุทธภพ แต่ไม่กี่ปีมานี้ได้รับบาดเจ็บอย่างที่ไม่อาจรักษาให้หายจึงต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อหาอะไรทำ รวมถึงตามหาคนที่มีวาสนา
เพราะข้าไม่มีลูกหลานจึงอยากหาคนมาสืบทอดวิชา หากไม่แล้วพอข้าตายไป วิชาของสำนักก็คงหายไปด้วย ถึงตอนนั้นข้าคงไม่มีหน้ากล้าเข้าพบบรรพชน
เคล็ดวิชาที่ใช้งานกับเจ้าเมื่อครู่ มันคือวิธีคัดเลือกศิษย์ของสำนักข้า และเพราะเป็นวิทยายุทธ์ของสำนักข้าจึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรง เส้นชีพจร รวมถึงอวัยวะภายในที่แข็งแกร่งจึงสามารถฝึกฝน
หากไม่แล้วถึงฝึกไปก็ไร้ค่า รวมถึงอาจทำให้พลังปราณแตกซ่านเสียชีวิต เจ้าอยากเป็นศิษย์ข้าเพื่อสืบทอดวิชาหรือไม่?” จี้กุนซือยิ่งอธิบายก็ยิ่งแสดงน้ำเสียงจริงจัง สายตาคู่นั้นจ้องหลี่เหยียนไม่กะพริบ
หลี่เหยียนครุ่นคิดในใจว่า ‘วิธีรับศิษย์โหดเหี้ยมเพียงนี้ ทำให้คนเจ็บปวดทรมาน วิทยายุทธ์อะไรนั่นคงร่ำเรียนได้ยาก แล้วเรื่องที่เขาพูด เราจะเชื่อได้อย่างไร’ ขณะคิดและกำลังจะปฏิเสธ เขากลับนึกถึงคำพูดของหลิวเฉิงหย่ง หัวหน้าทหารที่พบเจอบริเวณประตูเมืองครั้งเข้าเมืองมา
“ทหารกองโจรแคว้นเหมิงยกทัพใหญ่บุกมาสี่ห้าครั้งก็ยังบุกไม่สำเร็จ กระทั่งถูกจี้กุนซือตัดหัวรองแม่ทัพข้าศึก” การที่ได้รับคำชื่นชมเช่นนั้น หมายความว่าจี้กุนซือเก่งกาย และจากคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะบาดเจ็บ มันย้อนไปได้ว่าก่อนบาดเจ็บคงเป็นยอดคนผู้หนึ่ง
ยามเมื่อมองเข็มเงินบนโต๊ะ ภายหลังความเจ็บปวดเลือนหาย เขารู้สึกอ่อนแรง ตอนลุกขึ้นยืนต้องใช้มือยันโต๊ะเอาไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตัวใหญ่ แต่หากโต๊ะตัวนี้เป็นไม้ธรรมดา ยามน้ำหนักตัวส่วนใหญ่กดลงไปคงเกิดเสียง ทว่าโต๊ะตัวเล็กแค่นี้กลับไม่ส่งเสียง แสดงออกว่ามันแข็งแรงมากแค่ไหน
หลี่เหยียนมองเข็มเงินเหล่านั้น ในใจยิ่งตระหนก เพราะหมอในหมู่บ้านก็มีเข็มเงินเช่นกัน เขาเคยได้เห็น ว่าเพียงแค่ใช้นิ้วดีดก็งอแล้ว เข็มเช่นนั้นหรือจะปักลงโต๊ะไม้ที่แข็งแรงขนาดนี้ได้? เขาไม่ใช่คนโง่ที่คิดวิเคราะห์ไม่เป็น
เด็กหนุ่มมักชื่นชมวีรชน และไม่ว่าใครต่างก็มีความฝันอยากเป็นวีรชนเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือผู้คน เพื่อช่วยเหลือคนที่ตนเองรักจากภัยอันตราย หลี่เหยียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถึงแม้เขาจะเป็นคนคิดมาก แต่หากเทียบเปรียบกับเด็กวัยเดียวกัน โดยรวมแล้วเขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แค่คิดนั่นนี่ ใจก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปมาแล้ว
ภายหลังครุ่นคิด หลี่เหยียนเริ่มรู้สึกฮึกเหิมและลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่เสียจนสิ้น กระทั่งรู้สึกว่าหากได้ติดตามบุคคลตรงหน้า เขาก็คงได้เรียนวิชาใต้หล้าไร้พ่าย สุดท้ายเขาจึงเงยหน้ามองจี้กุนซือและตอบรับด้วยท่าทีจริงจัง “หากท่านเมตตา ข้าน้อยจะขัดได้อย่างไรเล่าขอรับ”
จี้กุนซือที่ได้ยินไม่ได้แสดงอาการยินดี เพราะมันอยู่ในสิ่งที่คาดหมาย แต่หากหลี่เหยียนปฏิเสธ เช่นนั้นเขาคงแปลกใจ ยามนี้จี้กุนซือจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้านามว่าอะไร?”
“ข้าน้อยหลี่เหยียนขอรับ เป็นคนของขุนเขามรกต” หลี่เหยียนตอบกลับ
“เจ้าเคยเรียนหนังสือหรือ?” จี้กุนซือถามต่อ
“ข้าน้อยเคยได้เรียนหนังสือในหมู่บ้านอยู่สองสามปีขอรับ แม้ไม่มีความสามารถขนาดสอบเป็นบัณฑิต แต่ก็อ่านตำราสำคัญจนคล่องแล้วขอรับ” หลี่เหยียนตอบรับ และมันไม่ใช่การคุยโว
เพราะตอนยังเรียนหนังสือที่หมู่บ้าน บัณฑิตชราค่อนข้างโปรดปรานเขากว่าคนอื่น กระทั่งหวังให้เขาไปสอบเป็นขุนนาง แต่ด้วยฐานะทางบ้านของหลี่เหยียน หากคิดเรียนต่อ เกรงว่าจะไม่มีเงินมากพอ เรื่องราวทำเอาบัณฑิตชราเสียดาย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ให้หลี่เหยียนอ่านหนังสือเกือบร้อยเล่ม และหากมีอะไรไม่เข้าใจก็พร้อมเข้าสอน
“เจ้าเคยเรียนวิทยายุทธ์หรือวิธีการฝึกพลังภายในหรือไม่?” จี้กุนซือที่ได้ยินว่าหลี่เหยียนสามารถอ่านตำราสำคัญได้คล่องจึงเกิดมีความหวังขึ้นมา
“ข้าน้อยเคยได้เรียนแค่ทักษะการต่อสู้พื้นฐานในหมู่บ้านขอรับ ไม่เคยได้เล่าเรียนวิทยายุทธ์ที่ซับซ้อน รวมถึงไม่เคยเรียนรู้วิธีการฝึกพลังภายในด้วยขอรับ” หลี่เหยียนตอบรับ
จี้กุนซือที่ได้ยินจึงยิ้มรับ “ดีแล้ว เส้นชีพจรของเจ้าเหมาะสมกับเคล็ดวิชาของสำนักข้าค่อนข้างมาก กฎของสำนักนั้น กลับไปแล้วจะบอกให้เจ้าทราบ ส่วนประวัติครอบครัวของเจ้า ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ หวังว่าจะไม่มีการปิดบัง และเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่สมัครในวันนี้ เช่นนั้นไปกับข้าเลยก็แล้วกัน” พูดจบเขาจึงสะบัดแขนเสื้อ เข็มเงินกับถุงผ้าขนโต๊ะจึงหายวับไป
หลี่เหยียนที่ได้เห็นก็ยิ่งตกใจ สุดท้ายจึงโค้งคำนับ “ข้อรับใต้เท้า” ทว่าเขายังมีสีหน้าลังเลไม่ได้เดินตามไปในทันทีทันใด