บทที่ 6 แม่ทัพหง
บทที่ 6 แม่ทัพหง
ภายหลังแยกจากกัน ทหารคนเดิมจึงหันหลังเดินเข้าไปทางประตู ไม่นานจึงกลับออกมา และพูดกับพวกหลี่เหยียนกว่าสิบคนว่า “เข้าแถวเช่นนี้ เดินตามข้ามา เข้าไปแล้วห้ามเดินไปไหนมาไหน ห้ามพูดคุยกัน ห้ามกระซิบกระซาบ หากไม่แล้วจะคัดออกโดยทันที หากพวกเจ้าทำท่านแม่ทัพมีโทสะ ระวังจะโดนหวายเฆี่ยน” สิ้นคำจึงมองยังพวกเขาด้วยสายตาที่ทำให้กลุ่มคนหนาวสะท้าน เพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ทหารคนหนึ่ง แต่คงฆ่าคนมาไม่น้อย
จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้น เด็กหนุ่มเช่นพวกเขาไม่อาจต้านทานได้ไหว หลี่เหยียนรู้สึกได้ ว่าสายตาที่มองมายังตนเองนั้นทำขนลุกไปทั้งร่างพร้อมกับคิดในใจว่า ‘เป็นสายตาที่น่ากลัวมาก’ และเขาทราบแค่ว่าสายตานั้นน่ากลัว ไม่ทราบว่ามันคือจิตสังหารของทหารที่ผ่านศึกความเป็นความตายมามากมายแล้ว
ทหารคนนั้นที่ถามจบ พบเห็นกลุ่มเด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยท่าทีหวาดกลัวจึงไม่พูดอะไรต่อ สุดท้ายหันหลังเดินไป ทุกคนจึงรีบเดินตามอย่างว่าง่าย และระมัดระวังว่าพวกตนจะเผลอส่งเสียง
หลี่เหยียนและคนอื่นเดินเข้าไปด้านในประตูใหญ่ ได้เห็นสภาพแวดล้อมภายใน ที่นี่เรียกว่าลาน แต่แท้จริงแล้วเรียกว่าเป็นสนามที่ควบม้าเล่นได้ ตำแหน่งที่พวกเขายืนคือทางเข้าลาน เดินต่อไปจะมีแท่นปะรำยกสูง มีโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่ ขอบแท่นปะรำยังมีธงปักเป็นระยะเรียงกันเป็นแถว พวกมันพลิ้วไหวกับสายลม เสียงสะบัดดัง บนธงปักตัวอักษร “ที่หนึ่ง” “ที่สอง” “ที่สาม” ขณะที่บางผืนก็ปักเป็นรูปเสือและพญานาค
คาดว่ามันคงเป็นลานฝึกที่ผู้คนพูดถึง หลี่เหยียนคิดเช่นนั้น
ตอนนี้ ที่บริเวณลานฝึกมีคนยืนอยู่ประมาณร้อยกว่าคน แบ่งออกเป็นสามแถว แถวละประมาณห้าถึงหกคน และอยู่ทางด้านขวาสุดของลานฝึก ส่วนหลี่เหยียนและคนอื่นที่เดินตามทหารนายนั้นได้ไปต่อท้ายแถว ที่ตอนนี้มีราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดคนแล้ว แถวกลางมีประมาณสี่ถึงห้าสิบคน ส่วนแถวซ้ายสุดมีคนเยอะที่สุด ตอนนี้คาดว่ามีราวเจ็ดถึงแปดสิบคน
หน้าแถวมีทหารไม่กี่คนยืนคุมแถว รอบลานฝึกมีทหารถืออาวุธยืนเรียงรายเป็นระเบียบ พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะดูงามสง่าและมองตรงไปด้านหน้า เป็นการล้อมพวกหลี่เหยียนเอาไว้ คาดว่าเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย
บนแท่นปะรำมีเก้าอี้ตัวใหญ่อยู่หลังโต๊ะ พร้อมกับชายร่างกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ และแม้ว่าจะนั่งอยู่ แต่ก็ยังสูงกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป ใบหน้าค่อนข้างเหลืองเล็กน้อย หัวล้านเลี่ยน แดดส่องลงมาจึงสะท้อนโดดเด่น ใบหน้ากว้าง มีหนวดเคราและรอยแผลเป็นยาวจากขมับขวาลงมาถึงมุมปากขวา กล้ามเนื้อในรอยแผลเป็นบิดเบี้ยวประหนึ่งตะขาบอยู่บนใบหน้า ยามนี้กำลังนั่งตัวตรงนิ่งเงียบดูน่าเกรงขาม
ปัจจุบันสายตาของเขากำลังมองไปยังมุมแท่นปะรำทางด้านซ้าย มันมีกระโจมอยู่หลังหนึ่ง และกระโจมหลังนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแถวที่หลี่เหยียนกำลังยืนอยู่พอดี
หลี่เหยียนแอบมองรอบแท่นปะรำ พบว่าตนเองยืนอยู่ท้ายแถว และแถวที่เขาอยู่เป็นแถวริมสุดของลานฝึกแล้ว ทำให้มองอะไรได้ไม่ค่อยชัดเจน เห็นก็แค่โต๊ะบนแท่นปะรำ กับชายหัวล้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะ
ตอนนี้เอง ทหารที่พาพวกเขาเข้ามาจึงตะโกนเสียงเบาว่า “ระวังด้วย บนแท่นปะรำคือท่านแม่ทัพหง อย่าได้มองไปมา รอคนข้างหน้าออกมาจากกระโจม ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็ค่อยเข้าไปกันทีละคน”
นายทหารคนนั้นหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเผยสีหน้าแปลกและชี้ไปยังแถวกลางที่มีคนสี่ถึงห้าสิบคน “ออกมาแล้วก็ไปต่อท้ายแถวตรงนั้น รอการทดสอบ พอผ่านการทดสอบแล้วไปยืนตรงนั้น” จบคำเขาจึงชี้ไปยังแถวซ้ายสดที่มีคนอยู่ราวเจ็ดถึงแปดสิบคน
“หากทดสอบไม่ผ่านก็ถือว่าตกรอบ ให้ออกทางประตูเล็กด้านหลัง เดี๋ยวจะมีคนมาอธิบายให้ฟังต่อ” พูดจบเขาจึงพยักหน้าให้กับทหารอีกสองสามนายที่หน้าแถว และหันหลังเดินกลับไปยังประตู
หลี่เหยียนยืนอยู่ท้ายแถว ฟังที่ทหารคนนั้นพูดและรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดแปลก ทว่านึกไม่ออก ภายหลังขมวดคิ้วขบคิดอยู่พักหนึ่งจึงนึกขึ้นออก ว่าทหารคนนั้นบอกเอาไว้ว่า “พวกเขาต้องเข้าไปด้านในกระโจมก่อน ออกมาแล้วค่อยไปต่อแถวรอทดสอบ”
หน้าแถวกลางมีรั้วไม้สูงกั้นเอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นด้านใน แต่หากเป็นคนที่อยู่บนแท่นปะรำย่อมมองเห็นได้ทั่ว ดังนั้นคงได้เห็นด้านในรั้วที่เป็นสถานที่ทดสอบอย่างชัดเจน
ส่วนเนื้อหาการทดสอบนั้น หลี่กั๋วซินเคยบอกเล่าให้ฟังระหว่างทางแล้ว คาดว่าคงเป็นการยกตุ้มน้ำหนัก วิ่ง และทักษะการต่อสู้พื้นฐาน ตัวหลี่เหยียนค่อนข้างมีความมั่นใจ ว่าด้วยร่างกายที่แข็งแรงจากการล่าสัตว์ในป่ากับวิทยายุทธ์ที่เรียนจากนายพรานในหมู่บ้าน มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทว่าตอนนี้ หลี่เหยียนไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้น เพราะเขากำลังคิดว่า ‘ทหารคนนั้นบอกให้ไปต่อแถวกลางแล้วจะได้ทดสอบ ถ้าผ่านก็ไปยืนรอแถวซ้ายสุด ถ้าไม่ผ่านก็ออกทางประตูเล็กด้านหลัง
คนที่อยู่แถวซ้ายสุดคงเป็นคนที่ผ่านการทดสอบแล้ว แถวกลางคือรอทดสอบ ส่วนแถวที่เรายืนอยู่นั้นทำอะไร รับสมัครงั้นหรือ แต่ทหารคนนั้นบอกให้เข้าไปด้านในกระโจม ออกมาแล้วให้ไปต่อแถวกลาง และตอนที่พูดถึงก็เหมือนจะทำสีหน้าประหลาด’ ตอนที่ทหารคนนั้นพูดถึงกระบวนการ หลี่เหยียนมองอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าจะพลาดคำอธิบายสำคัญ ตอนนี้นึกทบทวนจึงรู้สึกว่าค่อนข้างแปลก
หลี่เหยียนที่ยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ ตอนนี้เองที่มีเสียงดังขึ้นข้างหู “นี่ เจ้าคนที่ยืนท้ายแถว ยืนนิ่งทำอะไร” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงสะดุ้งตื่น เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าคนที่อยู่ด้านหน้าขยับไปข้างหน้าเยอะพอสมควรแล้ว เพราะมีคนเข้าไปด้านในกระโจมเรื่อย ๆ แต่เขากลับมัวแต่คิดจนลืมเดินตาม และเขาอยู่ท้ายแถว ด้านหลังไม่มีใคร ตอนนี้จึงยืนอยู่คนเดียวห่างจากแถว ทหารที่ยืนด้านหน้าพบเห็นจึงตะโกนใส่
กลุ่มคนหนุ่มที่มาสมัครอยู่หน้าแถว ได้ยินเสียงตะโกนจึงหันกลับมองมา บางคนหัวเราะคิกคัก ทหารองครักษ์รับเพียงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบคน สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่มาร่วมสมัครถือเป็นคู่แข่ง ดังนั้นจึงไม่อาจมีความหวังดีต่อกันได้ แม้ทำร้ายกันไม่ได้ แต่เยาะเย้ยกันนั้นไม่ใช่ปัญหา
หลี่เหยียนรีบยิ้มแห้งให้ทหารคนนั้น ก่อนจะรีบเดินไปสมทบกับแถวโดยไม่สนใจเสียงหัวเราะ ทหารคนนั้นมองมาแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไรอื่น แต่พอเดินผ่านคนที่หัวเราะเมื่อครู่จึงตะคอกใส่ว่า “อยากตกรอบหรือยังไง ทำตัวให้มันเรียบร้อย” พูดจบคนที่หัวเราะเมื่อครู่จึงหน้าซีดและรีบก้มหน้าไม่กล้าสบตาทหารนายนั้น อีกฝ่ายที่พบเห็นก็ไม่ได้สนใจและเดินกลับไปหน้าแถว
หลี่เหยียนที่เดินไปถึงท้ายแถวจึงคิดในใจว่า ‘ที่นี่คงเป็นส่วนรับสมัคร แต่ที่รับสมัครกลับตระหนี่ยิ่งนัก ลานฝึกกว้างขนาดนี้ การจะวางโต๊ะเรียงกันเป็นแถวยาวสักสิบกว่าตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทำแบบนั้นไม่เร็วกว่าหรืออย่างไร?’
แต่ขณะนึกถึงเรื่องพวกนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ ทหารคนนั้นพูดว่า “ท่านแม่ทัพหง” ใช่แล้ว เพราะท่านแม่ทัพหงนั่งอยู่ด้านบนแท่นปะรำ อีกฝ่ายเป็นเสมือนเทพเจ้าของสถานที่แห่งนี้ เป็นผู้เอาชนะข้าศึกจากแคว้นเหมิงได้หลายครั้งคราว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะแค่ได้ยินเรื่องราวบอกเล่าของอีกฝ่าย แต่สำหรับหลี่เหยียน อีกฝ่ายเป็นเสมือนเทพเจ้าในใจไปเสียแล้ว
เขาจึงแอบเงยหน้าขึ้นมองทางบนแท่นปะรำ ตอนนี้เขากำลังเดินเข้าใกล้แท่นมากขึ้น จนมองเห็นคนด้านบนแท่นอย่างชัดเจน สุดท้ายจึงคิดในใจว่า ‘ที่แท้ท่านแม่ทัพหงก็หน้าตาเป็นเช่นนี้ ดูน่าเกรงขามนัก ไม่แปลกใจที่เหล่าข้าศึกจะหวาดกลัว’
คนเรานั้นหากมองคนหรือมองเรื่องราวใดแล้วก็มักเกิดอคติ หากไม่มองในแง่ดีก็เป็นแง่ร้าย หน้าตาเช่นแม่ทัพหง คนทั่วไปมองแล้วคงรู้สึกว่าดุร้ายน่าหวาดกลัว แต่หลี่เหยียนกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูเป็นคนเลว แค่น่าเกรงขามอย่างถึงที่สุดก็เท่านั้นเอง
หลี่เหยียนที่มองบนแท่นปะรำพักหนึ่งจึงพบว่า ท่านแม่ทัพหงค่อนข้างสนใจทางด้านนี้ และไม่ค่อยได้มองคนที่เข้าไปทดสอบด้านในรั้ว แต่จะมองมายังกระโจมที่ตั้งอยู่ ทุกครั้งที่มีคนเข้าออก คิ้วของเขาจะขยับ ราวกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง