บทที่ 5 ตามลำดับ
บทที่ 5 ตามลำดับ
ตอนนี้เองที่รถม้าของหลี่เหยียนกำลังจะแล่นผ่านอุโมงค์ประตูเมืองที่ยาวเหยียด ภายในอุโมงค์ไม่ได้อับชื้น เพราะการออกแบบที่สูงใหญ่และกว้างขวาง ทำให้ภายในอุโมงค์มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก แห้ง และมีแสงสว่างเพียงพอ ขณะหลี่เหยียนและคนอื่นได้ใช้เวลากันสักพัก รถม้าจึงออกพ้นจากประตูเมืองสู่ด้านในเมือง
ตรงข้ามกับอุโมงค์ประตูเมืองมีถนนสามสาย ปูด้วยหินสีเขียวอมเทาและมีขนาดใหญ่ เพราะมันเป็นถนนที่มีทั้งรถม้าและคนเดินสัญจรไปมาพลุกพล่าน พื้นถนนจึงแทบจะเรียบเป็นมันเงา แม้แต่รอยตัดที่ไม่เรียบบนพื้นหิน หรือรอยต่อระหว่างหินสองก้อนยังกลายเป็นกลมมน
ถนนสายกลางกว้างกว่าทั้งสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าเป็นถนนสายหลัก ส่วนถนนทั้งสองข้างคดเคี้ยวไปตามสองฝั่ง ไม่ทราบว่ามันนำไปสู่ที่ใด แต่สองข้างมีบ้านเรือนมากมาย ส่วนใหญ่เป็นอาคารสองถึงสามชั้น หน้าประตูมีผ้าใบและป้ายต่าง ๆ พร้อมกับผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา เสียงตะโกนเรียกลูกค้ายังดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะ ถึงแม้ตอนนี้บ่ายแก่แล้ว แต่ก็ยังดูค่อนข้างคึกคัก
หลี่กั๋วซินขับรถม้าเชื่องช้าท่ามกลางฝูงชน ขณะหลี่เหยียนกับเด็กหนุ่มอีกสองคนนั่งด้านบนรถขณะหันมองไปรอบด้านด้วยความตื่นตาตื่นใจซ้ายขวา หลายสิ่งอย่างพวกเขาไม่เคยเห็น รวมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่างก็ได้เห็นได้ยินที่นี่
“พี่เหยียนดูทางนั้น ในประตูมีลูกกรงกับโต๊ะเหล็ก คนที่อยู่ด้านนอกต้องเขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปคุยกับรูเล็ก ๆ นั่น น่าจะเป็นโรงจำนำกระมัง?” หลี่อวี้พบเห็นโรงจำนำจึงถามขึ้นมา
“เสี่ยวอวี้ เสี่ยวอวี้ ดูร้านอาหารสามชั้นนั่นสิ ใหญ่โตไม่ใช่น้อย กลิ่นก็หอมมาก ไม่เคยได้กลิ่นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ตอนย่างหมูป่า ไขมันหมูป่ายังไม่หอมฉุยเท่านี้ หากเจ้าได้เป็นลูกมือของที่นี่คงเก่งล้ำแล้ว” หลี่ซานเองก็ชี้ไปยังร้านอาหารที่เพิ่งผ่านมา
หลี่กั๋วซินหันมายิ้มรับ “ต่อไปพวกเจ้าจะได้อยู่ที่นี่กันอีกนาน มีเวลาก็ดูเมืองได้ แต่ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน หากไม่แล้วเกิดถูกไล่กลับหมู่บ้านคงได้อับอายแย่ และที่ที่พวกเจ้าจะได้ไปอยู่คือด้านหน้าตรงโน้น”
หลี่เหยียนเองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ หลายสิ่งอย่างไม่เคยพบเห็น บางสิ่งเคยได้ยินพ่อกับคนในหมู่บ้านเล่าให้ฟังมาบ้าง แต่บางอย่างก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าโลกภายนอกช่างกว้างใหญ่ เป็นตัวเขาที่ไร้เดียงสา
ขณะรถม้าแล่นไปด้านหน้าอีกสักพักหนึ่งจึงจอดที่หน้าร้านอาหารสองชั้น ถึงแม้ร้านนี้จะมีแค่สองชั้น แต่หน้าร้านค่อนข้างเรียงยาวราวเจ็ดถึงแปดห้อง และทุกห้องต่างก็เชื่อมถึงกันจนกลายเป็นห้องโถงกว้างขวางสว่างไสว แม้ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาขายอาหาร แต่ก็มีลูกค้าเข้าออกบ้างแล้ว คาดว่าคงมาซื้อหาอาหารที่กินได้ทันที ส่วนป้ายร้านก็พาดผ่านหน้าร้านหลายห้องใหญ่สะดุดตา เขียนไว้ว่า “เรือนสุราธรรมชาติ”
หลี่กั๋วซินเคลื่อนรถม้าไปจอดหน้าร้านริมสุดทางด้านขวาของเรือนสุราธรรมชาติ หาร่มไม้ใหญ่จอดและผูกบังเหียนเอาไว้ ก่อนจะให้หลี่อวี้ลงมา บอกให้หลี่เหยียนและหลี่ซานรออยู่ข้างรถ ส่วนตัวเขาพาหลี่อวี้เข้าไปด้านในร้าน
ทางด้านหลี่เหยียนและหลี่ซานที่ยืนก็มองความคึกคักบนท้องถนน คนทั้งสองเงียบ หลี่อวี้แยกไปแล้ว พวกเขาทราบดีว่าถึงเวลาก็ต้องแยกย้าย ต่อไปนี้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แปลกใหม่แห่งนี้คนเดียว ความตื่นเต้นและความคาดหวังที่เคยมีเลือนหาย เหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวและความรู้สึกเดียวดายไร้ที่พึ่ง คนทั้งสองที่มีเรื่องให้คิดจึงเงียบงันกันไป
ผ่านไปสักพักหนึ่ง หลี่กั๋วซินจึงพาหลี่อวี้เดินกลับมายังรถม้า พร้อมกับชายวัยสามสิบกว่ารูปร่างท้วมคนหนึ่ง สวมชุดคลุมตัวยาวหลวมโคร่งเดินตามหลังมา ทุกคนเดินมาถึงหน้ารถม้า ทางหลี่กั๋วซินจึงเอ่ยกับหลี่อวี้ว่า “นำสัมภาระออกมาสิ” ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มกับชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม “ผู้ดูแลหลี่ ข้าจะเอาสัญญากลับไปให้พ่อแม่เด็ก หลังจากนี้ก็ฝากเด็กคนนี้เอาไว้ที่นี่แล้ว ขอผู้ดูแลหลี่เห็นแก่ที่เป็นญาติกันช่วยดูแลด้วย ข้าขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้” พูดจบเขาจึงโค้งคำนับให้ผู้ดูแลหลี่
ผู้ดูแลหลี่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอ้วนกลม “กั๋วซินเกรงใจกันเกินไปแล้ว บรรพชนของพวกเราต่างก็เป็นญาติกัน ดังนั้นต้องดูแลกันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องเด็กคนนี้ หากเขาขยันย่อมมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน”
หลี่กั๋วซินโบกมือให้กับหลี่อวี้ “ไปกับลุงเขา ต่อไปนี้ต้องขยัน ว่องไว มีอะไรก็ถามและลงมือทำ”
หลี่อวี้นำสัมภาระลงจากรถ ก่อนจะพูดกับหลี่เหยียนและหลี่ซานด้วยเสียงสะอื้น “พี่เหยียน พี่ซาน หากมีเวลาก็มีเยี่ยมข้าด้วย” จบคำแล้วเขาจึงร้องไห้
ทางด้านหลี่เหยียนและหลี่ซานต่างก็ฝืนยิ้มและตอบรับ
“แน่นอน มีเวลาจะไปเยี่ยมเจ้า”
“เสี่ยวอวี้ ตั้งใจทำงานเข้าเล่า พี่ซานจะไปกินอาหารที่เจ้าทำแน่”
ผู้ดูแลหลี่ที่พบเห็นจึงยิ้มก่อนจะเอ่ยปากว่า “ไปเถอะ” ภายหลังโค้งกายให้หลี่กั๋วซินแล้วจึงหันหลังกลับเดินเข้าร้าน ส่วนหลี่อวี้ถือสัมภาระเดินตามหลังไป ทว่ายังหันกลับมองมาเป็นระยะอย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายจึงหายเข้าไปด้านในร้าน
หลี่กั๋วซินเรียกคนทั้งสองขึ้นรถม้า แกะบังเหียนออกจากต้นไม้ที่ผูกเอาไว้ ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับ และหันมาพูดกับคนทั้งสอง “เป็นลูกผู้ชายอย่าได้ทำตัวอ่อนแอเช่นนี้ ออกมาเรียนวิชา สำเร็จวิชาก็รับพ่อแม่มาอยู่ด้วย นั่นต่างหากจึงเป็นลูกผู้ชาย” พูดจบเขาจึงไม่หันมองทั้งคู่อีก ก่อนจะขับรถม้าออกไปด้านหน้าต่อ
รถม้ายังคงแล่นต่อไป เลี้ยวไปอีกหลายโค้ง สุดท้ายจึงจอดหน้าร้านเครื่องเหล็ก และก็เหมือนก่อนหน้า หลี่ซานลงจากรถไปกับหลี่กั๋วซิน เหลือแค่หลี่เหยียนที่ยืนเฝ้ารถม้า ผ่านไปสักพักหนึ่ง คนทั้งสองเดินกลับมา ทว่ารอบนี้มีคนเดินตามหลังมาสองคน
คนหนึ่งสูงลิบ ถอดเสื้อ กล้ามเนื้อที่เผยให้เห็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าหลี่กั๋วซิน ผิวเป็นสีทองมันเงา เพียงขยับแขนทีตัวที กล้ามเนื้อก็ขยับเป็นมัดประหนึ่งลูกหนีวิ่งไปมาบนร่างกาย คนนิ้วหนาตาโต อายุน่าจะราวสี่สิบกว่า ข้างกันคือเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับหลี่ซาน แต่รูปร่างกำยำ มือเท้าใหญ่โต ตัวใหญ่กว่าหลี่ซานเกือบรอบหนึ่งเห็นจะได้
ถัดจากนั้นหลี่เหยียนจึงได้ทราบ ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของร้าน นามว่าหลู่ขุย เก่งและเชี่ยวชาญการตีเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือเครื่องมือทำไร่นา ในเมืองนี้เรียกได้ว่าไม่มีใครเก่งไปกว่าแล้ว และเขามักจะซ่อมแซมอาวุธให้ทหารในค่ายทหารด้วย ส่วนคนที่อยู่ข้างกันคือเหลียงสือ เป็นศิษย์เอกของร้าน ถัดจากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินเหมือนดังหลี่อวี้เมื่อก่อนหน้านี้ ภายหลังสั่งเสียอะไรสักเล็กน้อย หลี่ซานจึงร่ำลาหลี่กั๋วซินและหลี่เหยียนด้วยดวงตาแดงก่ำและไปกับคนทั้งสอง
เด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญการแยกจากหลายครั้งในหนึ่งวัน ตอนนี้อารมณ์จึงค่อนข้างดิ่ง
หลี่กั๋วซินเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะพูดกับหลี่เหยียนว่า “พวกเราต้องรีบไปลานฝึกแล้ว ตอนนี้ประมาณบ่ายสาม ถ้าหากไปช้ากว่านี้คงต้องกลายเป็นพรุ่งนี้แล้ว” หลี่เหยียนรีบปรับอารมณ์และพยักหน้ารับ ตอนนี้เขากำลังรู้สึกสับสนเหมือนดังหลี่อวี้และหลี่ซานก่อนหน้านี้ เป็นความคิดถึงพ่อแม่ พี่ชาย พี่สาว แต่ก็ทราบดีว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วมีแต่ต้องไปต่อ อนาคตเป็นอย่างไรนั้น มันยังขมุกขมัวไม่แน่นอน
หลี่กั๋วซินพาหลี่เหยียนขับรถม้าต่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง หลี่เหยียนมองกำแพงที่โค้งไปทั้งสองข้างแต่ไม่อาจเห็นสุดปลาย คาดว่าคงกว้างใหญ่มหาศาล หลี่กั๋วซินควบคุมรถม้าจอดไว้ไกลและผูกเอาไว้กับเสาผูกม้า ที่ตรงนี้มีม้ากับรถม้าถูกผูกอยู่ก่อนหน้าหลายคันพอสมควร ไม่ช้าเขาจึงพาหลี่เหยียนเดินไปที่ประตูใหญ่
ปัจจุบัน ที่ประตูใหญ่มีทหารกว่าสิบคนยืนถืออาวุธเฝ้าคุ้มกัน หน้าประตูมีชายหนุ่มกับคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนมาส่งยืนเรียงกันอยู่กว่าสิบคน พวกเขาแม้พบเห็นหลี่เหยียนและหลี่กั๋วซินมาก็ไม่ได้แปลกใจ แค่มองมาชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองทางทหารหน้าประตู
เมื่อหลี่เหยียนและหลี่กั๋วซินมาถึงประตู ทหารคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาถาม “มาสมัครเป็นทหารองครักษ์งั้นหรือ?”
หลี่กั๋วซินชี้ไปที่หลี่เหยียนและโค้งคำนับให้ “ใช่แล้วขอรับท่านนายกอง เขามาสมัครขอรับ”
ทหารคนนั้นจึงชี้ไปทางหลี่เหยียน “งั้นก็พอดี เจ้ามาตรงนี้ ไปกับพวกนั้น”
หลี่เหยียนรีบเดินไปต่อแถวหลังชายหนุ่มกว่าสิบคนที่ยืนรออยู่ก่อน
ทหารคนเดิมที่พบเห็นว่ากลุ่มคนเข้าแถวเรียบร้อย เขาจึงหันไปหาหลี่กั๋วซิน “พวกเจ้าไปรอตรงนั้น ผลคงออกประมาณห้าโมงเย็น”
หลี่กั๋วซินเพิ่งสังเกตเห็น ว่าไกล ๆ ของอีกฝั่งประตูใหญ่มีคนมากมายนั่งนอนพลางมองมาทางนี้ คาดว่าคงเป็นกลุ่มคนที่มาก่อน และเป็นคนที่มาส่งเหล่าเด็กหนุ่ม
คาดว่าคงเป็นเพราะมีคนเข้าสมัครเยอะ เนื่องจากหน้าที่ทหารองครักษ์รอบนี้ดึงดูดใจชาวบ้านหลายต่อหลายคน
หลี่กั๋วซินมองหลี่เหยียน ส่วนหลี่เหยียนก็มองตอบกลับมา หลี่กั๋วซินชี้ไปยังที่ทางฝั่งโน้น ก่อนจะชี้ที่ตัวเอง เป็นการบ่งบอกว่าจะรอที่ตรงนั้น หลี่เหยียนพยักหน้าตอบรับเป็นคำตอบว่าเข้าใจ ก่อนที่หลี่กั๋วซินจะเดินไปยังจุดพักรอพร้อมกับคนอื่นอีกกว่าสิบคน