ตอนที่แล้วบทที่ 3 ด่านขุนเขามรกต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 ตามลำดับ

บทที่ 4 เข้าเมือง


บทที่ 4 เข้าเมือง

หลี่เหยียนที่ได้ฟังจึงมองหลี่อวี้และหลี่ซานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่เห็นเป็นไร อย่างที่ลุงกั๋วซินบอกเอาไว้ แม้ข้าศึกบุกมาก็ต้านทานเอาไว้ได้หลายครั้งแล้ว แม้จะเกิดสงครามขึ้นอีก แต่ระยะสั้นคงไม่เป็นสงครามครั้งใหญ่

เพราะภายหลังผ่านการบุกเมืองหลายครั้งแต่ยังยึดไม่ได้ กระทั่งบาดเจ็บล้มตายกันมากมาย ข้าศึกคงเกรงกลัวท่านแม่ทัพหงระดับหนึ่งแล้ว อย่างไรก็คงต้องคิด ว่าหากแม่ทัพยังคงเป็นคนเดิมคงไม่มีโอกาสบุกสำเร็จ

หรือต่อให้เกิดภัยพิบัติและฉวยโอกาสบุกเมืองนั่นก็เป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องราวแบบนั้นท่านแม่ทัพหงกับกุนซือคงคิดอ่านเอาไว้แล้ว พวกนั้นที่ผ่านศึกมาหลายครั้ง คงยากที่จะยกทัพใหญ่บุกมา”

หลี่กั๋วซินที่ได้ยินจึงมองหลี่เหยียนด้วยความประหลาดใจ เพราะเรื่องราวเป็นดังที่หลี่เหยียนพูดจริง ช่วงประมาณหนึ่งปีมานี้ แคว้นเหมิงไม่ได้ยกทุกใหญ่มาบุกด่านขุนเขามรกตแม้สักครั้ง หากมีก็แค่เป็นทหารม้าจำนวนเล็กน้อยมาก่อกวนเป็นครั้งคราว แต่การที่หลี่เหยียนสันนิษฐานออกมาได้ แสดงว่าต้องคิดอ่านได้ไกล ไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่คิดแค่ระยะอันใกล้

“น้องชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ท่านแม่ทัพหงกับจี้กุนซือของเราเป็นขุนพลและบุคคลมากพรสวรรค์แห่งยุคสมัย ทหารกองโจรของแคว้นเหมิงยกทัพใหญ่บุกมาสี่ห้าครั้งยังบุกไม่สำเร็จ กระทั่งว่าโดนจี้กุนซือตัดหัวรองแม่ทัพข้าศึกไปครั้งหนึ่งจนขวัญหนีดีฝ่อ ตอนนี้กองทัพเรายังบุกพวกนั้นอยู่บ่อยครั้ง เป็นการทุบตีจนพวกมันต้องร้องโอดครวญ”

ตอนนี้เองที่มีเสียงดังมาจากทางด้านหน้า ที่แท้พวกเขาก็มาถึงประตูเมืองกันแล้ว ทหารสิบกว่าคนที่สวมใส่ชุดเกราะต่างยืนเรียงกันอยู่สองฝั่งของประตูเมือง คนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้า ดาบสะพายหลัง สวมใส่ชุดเกราะ บนหมวกมีพู่สีแดง รูปร่างปานกลาง หน้าดำคล้ำไร้หนวดเครา จมูกโด่งเป็นสัน ทว่าปลายจมูกงุ้มลงเล็กสาย สายตาคู่นั้นมองพวกเขาด้วยความเฉียบคม เพราะยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่มทหารทั้งสองแถวบังประตูเข้าเมือง คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าทหาร

เจ้าของเสียงเมื่อครู่คืออีกฝ่าย ตอนนี้เขากำลังมองหลี่เหยียนด้วยความประหลาดใจ เพราะหากดูจากรูปร่างแล้วอายุคงแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปี เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเป็นฝ้ายหยาบ

แค่เห็นก็ทราบว่าไม่ใช่คุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวย เพราะหากเป็นคุณชายเหล่านั้น เขาก็คงไม่ประหลาดใจ เพราะกลุ่มคนดังกล่าวคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวจากผู้ใหญ่ในบ้านอยู่บ่อยครั้ง หากได้ยินและนำมาพูดต่อคงไม่ใช่เรื่องแปลก

และวันนี้พวกเขามาเฝ้าประตูเมืองทิศเหนือพอดี คนที่สัญจรไปมาส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในเขตปกครอง หรือไม่ก็พ่อค้าของทางการ ช่วงเวลาเช่นตอนนี้คุณชายในราชสำนักคงไม่เดินทางมาที่นี่ เพราะมันอาจเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ

และจากการแต่งกายของหลี่เหยียน เขาไม่มีทางมองได้เลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นคุณชายในราชสำนักมาเล่นละครปลอมตัว ดังนั้นการที่เด็กบ้านนอกเช่นนี้มีความคิดเห็นเช่นที่ได้ยิน มันทำให้เขาเกิดความสนใจจนต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา

หลี่เหยียนพบเห็นอีกฝ่ายมองมาที่ตนเอง เป็นเหตุให้เขาต้องรีบกระโดดลงจากรถม้าและโค้งกายคำนับ “เมื่อครู่เป็นข้าน้อยพูดพล่อยไป ขออภัยท่านด้วยขอรับ” เรื่องราวเช่นมารยาท บัณฑิตชราในหมู่บ้านเคยสอนพวกเขามาไม่น้อย โดยย้ำเตือนให้จำขึ้นใจว่าอย่าได้เป็นคนนอกรีตนอกรอย ต้องคอยฝึกฝนและจดจำ และแท้จริงแล้ว ในหมู่บ้านที่มีแต่คนรู้จักกระทั่งว่าสนิทสนม รวมกับชาวบ้านที่มักพูดจาหยาบคายต่อกัน แต่บัณฑิตชราก็ยังเน้นย้ำเรื่องนี้กับพวกเขาอย่างเข้มงวด มันถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่อีกฝ่ายภาคภูมิใจได้ก่อนล่วงลับ

หัวหน้าทหารเพียงแค่สงสัยเล็กน้อย แต่ยามได้ยินหลี่เหยียนตอบรับจึงไม่พูดอะไรต่อ ทว่าหันไปถามทางหลี่กั๋วซิน “พวกเจ้าเข้าเมืองมาด้วยจุดประสงค์ใด”

ตอนนี้หลี่กั๋วซินจูงรถม้าให้หยุดลง ก่อนจะเดินมาหาหัวหน้าทหารผู้นั้นด้วยความนอบน้อม “เรียนท่านนายกอง ข้าเป็นผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านหลี่ที่ขุนเขามรกต นี่คือใบผ่านทางขอรับ”

เพียงพูดจบ หลี่กั๋วซินจึงยื่นใบผ่านทางที่เตรียมไว้ออกมา “ข้าพาเด็กหนุ่มในหมู่บ้านมาเป็นลูกมือกับสมัครเป็นทหารในเมืองขอรับ”

หัวหน้าทหารรับใบผ่านทางไปตรวจสอบก่อนจะพยักหน้ารับ “เอกสารถูกต้อง”

และพอได้ยินว่ามาสมัครเป็นทหาร เขาจึงยิ้มรับและถามออกมา “สมัครเป็นทหารองครักษ์งั้นหรือ?”

หลี่กั๋วซินรีบตอบรับ “ใช่แล้วขอรับ”

อีกฝ่ายยังคงถามต่อ “ในนี้คนที่สมัครเป็นทหารเป็นใครบ้าง”

หลี่กั๋วซินจึงชี้ไปทางหลี่เหยียน “ท่านนายกอง ผู้สมัครเป็นทหารมีเพียงเขาคนเดียวขอรับ ส่วนอีกสองคนนั้นมาเป็นลูกมือของกิจการในเมืองขอรับ”

อีกฝ่ายที่ได้ยินจึงหันมองหลี่เหยียนตามที่หลี่กั๋วซินชี้ พอพบเห็นว่าเป็นใคร เขาจึงพูดกับหลี่เหยียน “อ้อ เจ้าเองหรอกหรือ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่มีเหตุผล สมัครเป็นทหารก็เหมาะสมดี ท่านแม่ทัพหงกำลังต้องการคนมีไหวพริบ เพราะทหารที่มีแต่กำลังมีมากแล้ว”

หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงรีบโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบคุณท่านนายกองที่ชี้แนะขอรับ”

อีกฝ่ายโบกมือตอบ “พวกเจ้ารีบเข้าเมืองเสีย ทหารองครักษ์รับสมัครเพียงแค่ร้อยห้าสิบคน วันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้ว ค่ายทหารส่วนนั้นรับคนเต็มเร็วมาก วันนี้คงครบแล้ว และทหารองครักษ์เป็นหน่วยที่ไม่ค่อยได้ออกรบ ดังนั้นเบี้ยหวัดจึงน้อยกว่าพวกเราที่อยู่แนวหน้าสักส่วนหนึ่ง”

ภายหลังจากนั้นอีกฝ่ายหยุดไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงเอ่ยกับหลี่เหยียนต่อ “นามข้าหลิวเฉิงหย่ง เป็นหัวหน้าหน่วยที่สามแห่งกองรบที่สาม ถัดจากนี้อาจมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”

หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจ ว่าทหารในค่ายส่วนใหญ่พูดจาด้วยดีเช่นนี้หมดเลยหรือ ทว่าก็ได้แต่สงสัยโดยไม่กล้าถาม สุดท้ายจึงตอบรับ “หัวหน้าหลิว หากข้าน้อยได้เข้าค่ายทหาร มีอะไรให้รับใช้ก็บอกกล่าวมาได้เลยขอรับ”

หลิวเฉิงหย่งที่ได้ยินจึงหัวเราะตอบ “ดี ดีมาก” ถัดจากนั้นเขาจึงส่งใบผ่านทางคืนให้หลี่กั๋วซิน หลบทางให้ และโบกมือเป็นสัญญาณให้พวกเขาเข้าเมืองได้

หลี่กั๋วซินรับใบผ่านทางเก็บใส่อกเสื้อ กล่าวคำขอบคุณ เรียกหลี่เหยียนขึ้นรถ ก่อนจะควบคุมม้าเดินทางเข้าประตูเมืองอย่างเชื่องช้า ทว่าในใจยังคงประหลาดใจกับคำพูดของหัวหน้าหน่วยหลิวเมื่อครู่นี้ เขาทราบดีว่าทหารเหล่านี้ผ่านสมรภูมิมาโชกโชน

นอกจากจะได้เห็นท่าทีอ่อนน้อมต่อขุนนาง ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาสุภาพกับคนเช่นตนเองมาก่อน หากดีหน่อยแค่ตอบ “อ้อ” ก็ถือว่าดีมากแล้วด้วยซ้ำ หากแย่หน่อยหรือโชคร้ายอาจโดนตรวจค้นและคุมขังสักสองสามวัน และหากไม่ยอมจ่ายส่วยก็อย่าคาดหวังจะได้ออกไปโดยง่าย แต่เพราะตอนนี้มีธุระเร่งด่วนต้องทำ เขาจึงไม่คิดอะไรมากและขับรถม้าเข้าเมืองไป

เมื่อเห็นกลุ่มคนเข้าเมืองไปแล้ว ทหารคนหนึ่งข้างกันจึงเอ่ยถามหลิวเฉิงหย่งด้วยความสงสัย “หัวหน้าหลิว เหตุใดท่านสุภาพกับเด็กบ้านนอกเช่นนั้นกันเล่าขอรับ?”

หลิวเฉิงหย่งมองตอบและพูดอย่างใจเย็น “สถานการณ์ในกองทัพตอนนี้ จะรบหรือไม่นั้น ผู้ตัดสินใจคือท่านแม่ทัพหง ทว่าตั้งแต่ครั้งก่อนที่จี้กุนซือช่วยเหลือท่านแม่ทัพหงออกมาจากวงล้อมข้าศึก ทั้งยังตัดหัวรองแม่ทัพของข้าศึกท่ามกลางกองทัพศัตรูประหนึ่งเทพสังหาร

ตอนนี้แม่ทัพหงให้จี้กุนซือตัดสินใจในหลากหลายเรื่องราว ส่วนทางด้านจี้กุนซือ สองปีมานี้ ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ทหาร ท่านมักจะไปยังลานฝึกเพื่อทดสอบทหารที่สมัครเข้ามาทีละคน โดยเฉพาะกับคนที่เคยเรียนหนังสือ” สิ้นคำเขาก็เผยท่าทีสงสัย

เพราะทุกครั้งที่เกณฑ์ทหาร ถึงแม้ว่าคนสมัครจะมีน้อย ทว่าตั้งแต่มีการให้เงินช่วยเหลือครอบครัวล่วงหน้า ทุกครั้งจึงมีคนมาสมัครเป็นสิบเป็นร้อย แต่ถึงกระนั้น จี้กุนซือก็ยังคอยทดสอบร่างกายของทุกคนที่เข้ามาสมัคร แม้ว่าสุดท้ายทุกคนจะทราบเหตุผล แต่ทุกครั้งที่คิดว่าต้องทดสอบร่างกายรายบุคคล งานที่เยอะมากมายเช่นนั้นก็ยังทำให้ต้องประหลาดใจ

ตอนนี้เองที่ทหารข้างกายพูดต่อ “จริงด้วยขอรับ ได้ยินมาว่าท่านจี้กุนซือจะเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นศิษย์ กล่าวไปแล้วก็น่าอิจฉา วิทยายุทธ์ของท่านจี้กุนซือนั้นค่อนข้างสุดยอด อย่างน้อยในยุทธภพก็คงเป็นยอดฝีมือ

หากไม่แล้วครั้งก่อนคงไม่สามารถตัดหัวรองแม่ทัพข้าศึกท่ามกลางวงล้อม ทั้งยังพาท่านแม่ทัพหงกับทหารส่วนหนึ่งหนีออกมา หากว่ามีใครได้เรียนวิทยายุทธ์ดังกล่าวคงได้ออกเดินทางไปทั่วหล้า น่าเสียดายที่พวกเราในค่ายทหารต่างก็ถูกจี้กุนซือทดสอบกันหมดแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาใครเข้าตาท่านไม่ได้

แต่ก็ได้ยินมาว่าต้นปีที่แล้ว ท่านจี้กุนซือเลือกศิษย์ได้หนึ่งคนจากหน่วยเล็กในค่ายทหารใหญ่ แต่คนที่รู้จักคน ๆ นั้นกลับมีน้อย ทหารเลวเช่นนั้นที่อยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ซึ่งมีทหารหลายแสน ปกติไม่ได้โดดเด่น นอกจากคนรอบข้างไม่กี่คน ก็มีแค่หัวหน้าหน่วยที่รู้จัก

แต่ต่อมาจี้กุนซือกลับพาไปฝึกฝนวิทยายุทธ์เป็นการส่วนตัว ได้ยินมาว่าเขาไม่เคยเรียนหนังสือ ทำให้อาจจะไม่เข้าใจเรื่องเส้นชีพจร ตอนฝึกพลังภายในจึงเกิดความผิดพลาด เป็นพลังปราณแตกซ่านและเสียชีวิต กล่าวกันว่าในที่เกิดเหตุนั้นตัวบวมดำคล้ำอย่างน่าสะพรึง แสดงให้เห็นว่าวิทยายุทธ์ของท่านจี้กุนซือนั้นร้ายกาจเพียงใด” ยามได้ยินเรื่องราว ทหารคนอื่นต่างก็เข้าร่วมวงเพื่อบอกกล่าวว่าพวกตนเองก็เคยได้ยิน

ตอนนี้เองที่หลิวเฉิงหย่งมองทหารกลุ่มนี้ด้วยความไม่พอใจ “หุบปากพวกเจ้าเสีย เบื้องบนสั่งห้ามพูดเรื่องของจี้กุนซือภายนอกค่ายทหาร”

กลุ่มทหารที่ได้ยินจึงรีบหดคอและพยักหน้ารับคำ “ขอรับ ขอรับ” และการสนทนาจึงจบลงเช่นนี้

แต่ผ่านไปไม่นาน ทหารอีกคนจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “หัวหน้าหลิว เหตุใดเมื่อครู่ท่านดูใส่ใจเด็กคนนั้นเล่าขอรับ หรือเขาจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของท่านจี้กุนซือ?”

หลิวเฉิงหย่งยิ้มรับ “ไม่แน่ไม่นอน แต่ข้ารู้สึกว่าเด็กคนนั้นมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ไม่ใช่คนโง่เขลา และจากที่พูดคุย น่าจะเคยเรียนหนังสือมาบ้าง ดังนั้นผูกมิตรเอาไว้สร้างโอกาสกับอนาคตที่ไม่แน่ไม่นอนก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถัดจากนี้หากเจอคนเช่นนั้นอีกและมองว่าใช้ได้ ข้าก็คงทำเหมือนกัน เอาเถอะ ตั้งใจทำงานกันเสีย”

กลุ่มทหารที่ได้ยินจึงรีบกลับไปประจำตำแหน่ง ขณะที่ในใจก็คิด ว่าที่แท้ก็เป็นการหว่านแหหวังผลเอาไว้ก่อนนี่เอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด