ตอนที่แล้วบทที่ 2 ออกเดินทาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 เข้าเมือง

บทที่ 3 ด่านขุนเขามรกต


บทที่ 3 ด่านขุนเขามรกต

เด็กหนุ่มอีกสองคนบนรถม้า คนหนึ่งนามหลี่อวี้ ส่วนอีกคนคือหลี่ซาน ทั้งสองอายุแค่สิบเอ็ดสิบสองปี การที่สามารถไปเป็นลูกมือในเมืองได้ ก็เพราะฐานะทางบ้านดีกว่าบ้านของหลี่เหยียน ในหมู่บ้านที่มีเพียงแค่สิบสองถึงสิบสามครัวเรือน เด็กหนุ่มทั้งสามคนถือว่าสนิทกันไม่น้อย

ยามเมื่อวิวทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นิสัยของแต่ละคนจึงเผยออกมา จากความเศร้าโศกเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกแปลกใหม่จากทิวทัศน์ที่เวียนผ่าน คนทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน หลี่อวี้กับหลี่ซานเริ่มตื่นเต้นมากขึ้น ประหนึ่งแสงอรุณรุ่งที่กำลังเบิกบานและอบอุ่น กระทั่งเริ่มวาดฝันต่ออนาคตพลางพูดคุยกันเสียงดัง

ส่วนหลี่เหยียนยังคงเงียบ นานครั้งจะตอบหรือพูดคุยกับพวกเขา เพราะในใจกำลังว้าวุ่น ความคิดสารพัดประดังเข้ามา ประเดี๋ยวคิดถึงอนาคต ประเดี๋ยวคิดถึงครอบครัว สุดท้ายจึงตัดสินใจว่า

‘นับจากนี้ต้องตั้งใจทำงาน หาเงินให้มาก วันหลังกลับหมู่บ้านจะได้สร้างบ้านหลังใหญ่สองหลัง หลังหนึ่งให้พี่สาม เพื่อให้พี่สามพร้อมแต่งงานมีภรรยา ส่วนอีกหลังหนึ่งให้ตนเองอยู่กับพ่อแม่ ให้ทั้งสองมีชีวิตที่ดี ช่วงเทศกาลจะได้ไปรับพี่สาวทั้งสามคนกลับบ้านมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ไม่ต้องแยกจากกันอีก’

มันแสดงให้เห็นถึงความคิดของเด็กหนุ่ม ว่าเขาเพียงแค่คิดเรื่องให้พี่ชายแต่งงานมีภรรยา ส่วนตนเองจะอยู่กับพ่อแม่คอยดูแล ไม่ได้คิดว่าหากถึงเวลาตนเองก็อาจต้องแยกบ้านมีครอบครัวเช่นเดียวกัน เห็นได้ว่าในใจของเขายังคงมีความสับสนว้าวุ่น

ระหว่างทาง หลี่กั๋วซินหาโอกาสพูดคุยกับหลี่เหยียนด้วยเสียงเบา กล่าวว่าภายหลังเข้าเป็นทหารแล้วต้องวางตัวให้ดี พยายามทำให้เจ้านายในกองทัพชื่นชม ถึงเวลาจะได้อยู่ในส่วนค่ายทหารที่ดี และทหารองครักษ์ก็มีโอกาสต้องเข้าป้องกันเมืองด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเป็นการบอกเผื่อเอาไว้ เพราะโดยทั่วไปแล้วมักไม่ต้องไป และที่บอกแค่นี้ก็เพราะกลัวว่าหากพูดมากไปกว่านี้อาจทำให้หลี่เหยียนกลัวเอาได้

หลี่เหยียนที่ถูกหลี่กั๋วซินพูดขัดจังหวะ เวลานี้จึงตื่นขึ้นจากความงุนงง เขาพยักหน้ารับเสียงเบา ได้เห็นเช่นนี้หลี่กั๋วซินค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง

ภายหลังบอกข้อควรระวังทั้งหลายแก่หลี่เหยียน หลี่กั๋วซินจึงพูดต่อ “หลี่เหยียน หากเจ้าได้เป็นทหารองครักษ์แล้ว ช่วงแรกคงไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน เว้นแต่จะสร้างผลงานได้สำเร็จ แต่เพราะเพิ่งเข้าเป็นทหาร โอกาสสร้างผลงานมีน้อยนิด

หากว่ามีเรื่องอะไรหรือจะฝากจดหมายกลับบ้าน เช่นนั้นก็ฝากเอาไว้กับหลี่อวี้หรือหลี่ซานได้ คนในหมู่บ้านที่เดินทางเข้าเมืองจะแวะเวียนหาพวกเขาให้บ่อยครั้ง หากว่ามีจดหมายอะไร ชาวบ้านจะได้นำไปให้พ่อแม่เจ้าอีกทีหนึ่ง

แม้ว่าจะมีคนอื่นในหมู่บ้านมาทำงานเป็นลูกมือในเมือง แต่วันนี้คงไม่มีเวลาพาเจ้าไปพบเจอได้ แต่เจ้าไปยังที่ที่หลี่อวี้กับหลี่ซานจะไปฝากตัวเป็นลูกมือก่อนได้ เพราะเรื่องของพวกเขา พอไปถึงแค่จ่ายเงินให้นายจ้าง ทำสัญญาก็ถือว่าเสร็จแล้ว เรียกได้ว่ารวดเร็ว ส่วนของเจ้านั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะเรียบร้อย”

หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงตอบรับ “ลุงกั๋วซิน หากคนในหมู่บ้านมา พวกเขาก็แวะมาหาข้าได้นี่ขอรับ ค่ายทหารไม่น่าหายาก”

“เจ้าเด็กคนนี้ คิดอะไรง่ายเกินไปแล้ว แต่จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ ลองนึกดูว่าแม้ค่ายทหารตั้งอยู่ตรงนั้น แต่คนนอกหรือจะเข้าออกได้โดยง่าย หากเข้าไปก็คงต้องถูกซักถาม ทำอะไรมีพิรุธอาจถูกจับเข้าคุกข้อหาไส้ศึกจะแย่เอาได้”

“อ้อ เรื่องนี้ข้าไม่เคยนึกมาก่อนเลยขอรับ” หลี่เหยียนที่ได้ยินจึงต้องเกาศีรษะด้วยความเขินอาย

“เพียงแต่ หากเจ้าได้เป็นทหารสักสองสามปี หรือมีโอกาสได้เป็นขุนนางใหญ่โต พวกเราอาจมีโอกาสได้ไปหาเจ้าอย่างผ่าเผย เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าคงต้องจำลุงกั๋วซินคนนี้ให้ได้ก่อน” หลี่กั๋วซินพูดจาหยอกล้อ

ตอนนี้เองที่หลี่อวี้พูดแทรกขึ้นมาก่อนหลี่เหยียนจะทันตอบ “ลุงกั๋วซิน รอข้าเรียนทำอาหารเก่งเสียก่อน ทุกครั้งที่ลุงแวะมา ข้าจะทำให้กินโดยไม่คิดค่าตอบแทน ถึงเวลาจะเป็นอาหารที่ทั้งอร่อยและหอมชวนน้ำลายสอ”

หลี่ซานเองก็รีบพูดแทรกขึ้นมา “ลุงกั๋วซิน ถึงตอนนั้นข้าจะตีเคียวและจอบที่ดีที่สุดให้บ้านลุงเอง อ้อ แล้วยังมีมีดและหอกสำหรับทุกบ้านเอาไว้ใช้ล่าสัตว์ด้วย”

“ฮ่า ๆ ดียิ่งนัก ดียิ่งนัก ต่อจากนี้หมู่บ้านหลี่ของเราคงต้องฝากเอาไว้กับคนรุ่นพวกเจ้าแล้ว มีพวกเจ้า พวกเราคนเฒ่าคนแก่จะได้อุ่นเหล้ากินเนื้อสัตว์ป่าพลางชมพระอาทิตย์ตกดินที่ขุนเขามรกต เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างสงบสุขกันแล้ว” หลี่กั๋วซินหัวเราะตอบรับเสียงดัง

เมื่อบทสนทนาเริ่มต้น บนรถม้าจึงคึกคักขึ้นมาทันตา หลี่เหยียนเองก็ร่วมพูดคุยพลางวาดฝันไปกับพวกเขา

เมืองนั้นตั้งอยู่ทางใต้ของหมู่บ้านหลี่ ภายหลังเลี้ยวออกจากเชิงเขามรกต รถม้าจึงมุ่งหน้าลงใต้ต่อเนื่อง และแท้จริงแล้ว หมู่บ้านหลี่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับยอดเขาหลักของขุนเขามรกต แต่เทือกเขากลับทอดตัวยาวไปทางใต้และเหนือสุดสายตา

ถึงช่วงเที่ยง รถม้าจอดพักบริเวณร่มไม้ข้างทาง หลี่กั๋วซินนำอาหารออกมา เรียกพวกเขามาพักทานข้าว หลี่เหยียนกับคนอื่นจึงเอาเสบียงที่ได้รับออกจากห่อผ้า ภายหลังปูลงกับพื้นแล้วจึงกินร่วมกัน ถึงแม้จะเป็นอาหารแห้งเช่นผักดองและเนื้อสัตว์ป่าตากแห้งจากที่บ้าน แต่พวกเขาก็ยังได้กินไปคุยไปอย่างมีความสุข

ในที่สุด ประมาณช่วงบ่ายสาม พวกเขาจึงมาถึงบริเวณนอกเมือง ยามเมื่อมองจากระยะไกลห่าง เมืองนั้นตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่โล่งกว้าง กำแพงเมืองทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกสร้างชิดติดภูเขา

เมื่อเข้าใกล้มากยิ่งขึ้น จึงได้เห็นว่าประตูเมืองและกำแพงเมืองนั้นสูงกว่าสามสิบจ้าง หากมองขึ้นไปด้านบนกำแพงเมือง จะพบเห็นเงาตะคุ่มเดินไปมา คาดว่าเป็นทหารลาดตระเวน นอกจากนี้ยังมีธงสีเหลืองปักตัวอักษรคำว่า “ฮ่องเต้” พลิ้วไหวตามสายลม เหนือประตูเมืองยังสลักอักษรตัวใหญ่ว่า ด่านขุนเขามรกต

*จ้าง เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 จ้าง = 3.33 เมตร*

หลี่เหยียนกับเด็กหนุ่มอีกสองคนบนรถม้าต่างหยุดชะงักและอ้าปากค้าง พวกเขามองประตูเมืองสูงตระหง่านด้วยความตะลึงงัน เพราะพวกเขาไม่เคยมาที่นี่เหมือนดังผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน เนื่องจากโตมาแต่ในหมู่บ้าน ที่เคยออกมาไกลสุดก็แค่เดินเล่นรอบหมู่บ้าน หาได้เคยเห็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนไม่ ดังนั้นเพียงได้เห็นครั้งแรกจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดี

ยามนี้ประตูเมืองมีผู้คนสัญจรไม่มาก คาดว่าเพราะเป็นช่วงบ่ายแล้ว หลี่กั๋วซินจึงดึงบังเหียนเบาให้รถม้าชะลอความเร็ว ก่อนจะหันไปบอกกับเด็กหนุ่มทั้งสามคนว่า “เมืองนี้สร้างขึ้นโดยเชื่อมต่อกับเทือกเขาทางตะวันออกและตะวันตกเอาไว้ ทำให้มีประตูเมืองแค่ทิศเหนือและทิศใต้ ประตูเมืองทางเหนือมีการตรวจสอบไม่เข้มงวดเท่าไหร่

ขณะที่ทางทิศใต้นั้นเพราะติดกับแคว้นเหมิง ทำให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ประตูเมืองทางทิศใต้ยังเปิดแค่วันละสามชั่วยาม ถึงแม้ว่ากว่าจะถึงชายแดนแคว้นเหมิงต้องออกไปทางทิศใต้กว่าสิบลี้ แต่สำหรับทหารม้า มันเป็นระยะที่เดินทางแค่ชั่วครู่ก็ถึง

โชคดีที่ด่านขุนเขามรกตแห่งนี้เชื่อมต่อกับภูเขาสูงทั้งทางตะวันออกและตะวันตก ทำให้ข้าศึกบุกมาได้เพียงแค่จากทิศใต้ เป็นเหตุให้เมืองตั้งรับง่าย เพราะภูเขาทั้งสองฝั่งมีความลาดชันสูง สันเขายังแคบ ทหารม้าขึ้นไปพร้อมกันไม่ได้ และถึงแม้จะขึ้นไปได้ ตอนจะบุกลงมายังเป็นปัญหา และกว่าจะลงมาได้ก็คงถูกพบตัวเข้า หรือไม่ก็ถูกหน้าไม้บนกำแพงเมืองยิงตายไปเสียก่อน”

หลี่เหยียนกับคนอื่นต่างมองไปยังกำแพงเมืองสูงตระหง่านตามคำบอก ทว่ามันสูงเกินไป และเพราะพวกเราอยู่ทิศเหนือของเมือง หากมองจากมุมนี้จึงได้เห็นแค่เงาดำเรียงเป็นแถวหันหน้าขึ้นฟ้าชี้ไปยังยอดเขาทั้งสองฝั่งที่เลือนราง

หลี่เหยียนครุ่นคิดในใจ ‘ที่ลุงกั๋วซินบอกว่าประตูเมืองทางเหนือตรวจสอบไม่เข้มงวด คงเพราะคนที่เข้าทางนี้เป็นคนในประเทศ ส่วนเงาดำบนกำแพงเมืองคงเป็นหน้าไม้ ดูจากสันเขาที่ตั้งตรงลาดชันขนาดนั้น ดูอย่างไรก็คงขึ้นไปพร้อมกันหลายคนไม่ได้

ภูเขาเช่นนี้แม้แต่เราก็ขึ้นไปไม่ได้ ในหมู่บ้านคงมีแค่ลุงกั๋วซินกับคนอื่นอีกสองสามคนที่พอจะขึ้นไปได้ แต่อย่างไรก็ลำบาก เพราะหากเหยียบพลาดขึ้นมาคงกลิ้งตกเขากระดูกแตกไม่เหลือ

และแม้จะขึ้นไปได้ แต่ถ้าคิดจะบุกตีกำแพงเมืองทั้งสองฝั่งจากบนยอดเขา แค่ขยับตัวแรงหน่อย เสียงหินที่เท้าเหยียบแตกก็คงดังให้ได้ยิน ทหารยามป้องกันกำแพงเมืองด้านล่างอย่างไรก็ต้องรู้สึกตัว ถึงเวลาแค่ยิงหน้าไม้ขึ้นไปชุดหนึ่ง คนบนเขาคงได้กลายเป็นเม่น นับว่าเป็นชัยภูมิที่ได้เปรียบดีเสียจริง’

หลี่อวี้กับหลี่ซานที่ได้สติจากภาพอันชวนตกตะลึง เพราะได้ยินที่หลี่กั๋วซินพูด หลี่อวี้จึงเอ่ยถามออกมา “ลุงกั๋วซิน กำแพงเมืองแข็งแรงขนาดนี้ ทั้งยังมีทหารคอยเฝ้า คนของแคว้นเหมิงคงบุกเข้ามาไม่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลี่กั๋วซินทำสีหน้าท่าทีจริงจังตอบรับ “เรื่องนี้พูดยาก ได้ยินว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทหารกองโจรแคว้นเหมิงบุกเข้ามาได้หลายครั้ง มีครั้งหนึ่งทหารข้าศึกบุกขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ โชคดีที่ท่านแม่ทัพหงขึ้นไปสู้รบด้วยตนเอง จึงตีทหารข้าศึกล่าถอย

ต่อมาได้ยินคนในเมืองบอกเล่า ว่ามีเลือดไหลหลั่งจากกำแพงเมืองเข้ามาในเมืองเต็มไปหมด บนถนนยังมีแต่ชิ้นเนื้อและเลือดกระจายทั่ว เหนือกำแพงเมืองกับนอกเมืองมีแต่ศพกองเท่าภูเขา แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นศพของทหารข้าศึกที่บุกมา แต่ก็มีศพคนของฝั่งเราอยู่บ้าง"

หลี่อวี้และหลี่ซานที่ได้ยินยิ่งหน้าซีด ในใจคิดว่านับแต่นี้ที่พวกตนต้องมาเป็นลูกมือภายในเมืองคงต้องหวาดผวาทุกค่ำคืน สุดท้ายจึงมองหลี่เหยียนด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่า ‘พี่เหยียนที่เป็นแนวหน้าต้องออกรบคงอันตรายยิ่งกว่า’

หลี่กั๋วซินที่พูดจนถึงตรงนี้เกิดรู้สึกว่าสถานการณ์ชักไม่ดี เขาจึงหัวเราะเบาก่อนจะบอกต่อ “เรื่องพวกนี้ก็แค่ได้ยินคำบอกเล่าต่อกันมา อาจไม่จริงก็ได้ หากไม่เมืองแห่งนี้คงไม่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้”

แต่แท้จริงแล้วเขาทราบดีแก่ใจ เพราะสงครามเกิดขึ้นตามชายแดนหลายครั้งคราว ราชสำนักจึงออกกฎหมายห้ามประชาชนในพื้นที่ชายแดนอพยพ เพื่อเป็นการแสดงถึงความรักชาติของประชาชนและความเชื่อมั่นในแผ่นดิน ว่าถึงแม้จะมีข้าศึกที่แข็งแกร่งจากภายนอก ประชาชนก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้

แม้หลี่กั๋วซินไม่ทราบสถานการณ์ของชายแดนแห่งอื่น แต่อย่างน้อยด่านขุนเขามรกตก็ยังต้านรับข้าศึกได้ดี ทำให้หมู่บ้านต่าง ๆ ภายหลังด่านชายแดนแห่งนี้ได้รับความสงบสุข

1 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด