ตอนที่แล้วบทที่ 1 หมู่บ้านชายเขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 ด่านขุนเขามรกต

บทที่ 2 ออกเดินทาง


บทที่ 2 ออกเดินทาง

ในภวังค์แห่งความงัวเงีย หลี่เหยียนถูกปลุกให้ตื่น ยามเมื่อลืมตาจึงได้เห็นหลี่เสี่ยวจู หรือก็คือพี่สาวสี่ ข้างกันนั้นไม่มีพี่ชายสามอีกแล้ว ขณะที่พี่สาวสี่เผยดวงตาแดงก่ำมองเขาพร้อมกับพูดว่า “น้องห้า ผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว พ่อให้เจ้าลุกไปหา”

เมื่อคืนหลี่เหยียนแทบไม่ได้นอน จนกระทั่งไก่ขันหลายครั้งเขาจึงผล็อยหลับไป ตอนนี้จึงลุกขึ้นนั่งแล้วพูดกับพี่สาวสี่ว่า “พี่สี่ เดี๋ยวข้าตามไป”

หลี่เสี่ยวจูยังไม่ขยับไปไหน กระทั่งมองมาด้วยแววตาอาวรณ์

หลี่เหยียนยิ้มรับ “พี่สี่ อย่าเป็นแบบนี้สิ ปีใหม่หน้าข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน เพียงแค่ตอนนั้นไม่ทราบว่าท่านจะอยู่บ้านหรือเปล่า”

หลี่เสี่ยวจูอึ้งไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงหน้าแดงก่ำและบ่นพึมพำว่า “ปากเจ้านี่นะ” ก่อนจะหันกลับเดินออกไป

หลี่เหยียนมองตามแผ่นหลังของพี่สาวสี่ สุดท้ายอดถอนหายใจเสียงเบาไม่ได้ เพราะแม้จะพูดออกมาเอง เขาก็ยังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ ปีใหม่หน้าจะกลับมางั้นหรือ ตอนนี้ก็ปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อนาคตเช่นครึ่งปีถัดจากนั้นจะเป็นอย่างไรนั้น ตัวเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

ภายหลังล้างหน้าล้างตาเสร็จ หลี่เหยียนจึงเดินมายังโถงบ้าน ตอนนี้ด้านในโถงมีคนนั่งอยู่ห้าคน พ่อ แม่ พี่สาม พี่สี่ และชายร่างกำยำวัยสี่สิบกว่า อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงและใหญ่กว่า ใบหน้าเหลี่ยมนั้นเต็มไปด้วยหนวดเครา ทั้งยังสวมชุดแขนสั้น ในยามเช้าตรู่ของต้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ แม้เป็นหมู่บ้านบนเขาก็ไม่ได้หนาวเย็นมากนัก ชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่จึงเผยกล้ามเนื้อเป็นมัดแกร่งให้พบเห็นอย่างสง่างาม

พบเห็นหลี่เหยียนเข้ามา ชายร่างกำยำจึงยิ้มรับ “หลี่เหยียน ตื่นสายเอาเรื่องเลยนี่”

หลี่เหยียนก้าวเดินออกไปด้านหน้าชายร่างกำยำ ก่อนจะก้มคำนับและตอบรับ “ลุงกั๋วซิน อรุณสวัสดิ์ขอรับ!”

ชายร่างกำยำนามว่าหลี่กั๋วซิน เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน นอกจากทำไร่ไถนาแล้ว เขายังเป็นนักล่าฝีมือดี ที่มักพาชายหนุ่มในหมู่บ้านออกไปล่าสัตว์ที่เชิงเขา จากภัยตั๊กแตนสองปีที่ผ่านมานี้ เพราะเขาจึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ดีกว่าที่อื่น เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีใครอดตาย

หลี่กั๋วซินมองหลี่เหยียน ก่อนจะหันมองแม่ของหลี่เหยียน หลี่เหว่ย และหลี่เสี่ยวจู จากนั้นจึงเอ่ยปาก “อันที่จริงอีกสองวันข้าจะเข้าเมือง ลูกชายคนที่สองของบ้านลุงซานกับลูกชายคนโตของบ้านหลี่เทียนจะไปเป็นลูกมือที่โรงครัวกับโรงตีเหล็กในเมือง พวกเขาขอให้ข้าพาไปและออกหนังสือรับรองให้ เมื่อคืนลุงชางมาบอกเรื่องหลี่เหยียนที่บ้านข้าพอดี ดังนั้นเลยตัดสินใจออกเดินทางเสียวันนี้เลย”

บิดาของหลี่เหยียนนามว่าหลี่ชาง คนในหมู่บ้านเรียกหาเป็นลุงชาง ตอนนี้เองที่หลี่กั๋วซินมองทุกคนอีกครั้งและพูดต่อ “อันที่จริงเมื่อวานข้าก็บอกลุงชางไปแล้ว ว่าให้หลี่เหยียนไปทำงานในเมืองเหมือนลูกหลานบ้านอื่นก็ได้ เพราะการงานมั่นคงกว่า

แต่ก็ต้องบอกเอาไว้ก่อนว่างานเช่นนี้ เด็กอย่างพวกเจ้าที่ไม่มีประสบการณ์จำเป็นต้องเริ่มจากการเป็นลูกมือ และการเป็นลูกมือจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกเรื่องคือลูกมือต้องทำงานแทบทุกอย่าง ทั้งยังต้องลงนามทำสัญญา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างเป็นลูกมือ นายจ้างมีสิทธิ์ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น แต่ถึงแบบนั้นลุงชางก็ยังตัดสินใจให้หลี่เหยียนไปเป็นทหาร”

แท้จริงแล้ว สาเหตุหลักมันก็เป็นเพราะเรื่องเงิน บ้านของหลี่เหยียนไม่มีเงิน ค่าใช้จ่ายแรกเข้าในการเป็นลูกมือ แม้จะแค่ห้าร้อยเหรียญ แต่มันก็แทบจะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งบ้านที่มีสมาชิกถึงห้าคนประมาณหนึ่งปีเลยทีเดียว พวกเขาไม่อาจจ่ายได้ไหว

และยังมีเหตุผลอีกประการ นั่นคือลูกมือเป็นงานที่ลำบาก ไม่มีอิสรภาพ ก่อนจะเรียนรู้วิชาจนสำเร็จคือไร้ซึ่งศักดิ์ศรี การที่จะถูกนายจ้างทุบตีลูกมือจนบาดเจ็บล้มตายก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย

ลุงชางมองหลี่เหยียนชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ตกลงตามนั้น”

สุดท้ายเขาจึงยิ้มให้กับผู้ใหญ่บ้าน “เรื่องนี้ต้องรบกวนกั๋วซินแล้ว”

แม่ของหลี่เหยียนที่ดวงตาแดงก่ำ เพียงได้ยินคำพูดนี้จึงรีบร้อนพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “จะไปวันนี้เลยหรือ?”

ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับ “ใช่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีการเกณฑ์ทหารบ่อยครั้ง แต่เมื่อวานมีคนในหมู่บ้านที่กลับจากเมืองมาบอก ว่าเมื่อเช้าท่านแม่ทัพหงเริ่มเกณฑ์ทหารแล้ว ทหารรอบนี้คาดว่าจะได้หน้าที่เป็นองครักษ์ประจำเมือง ทหารองครักษ์เช่นนี้ส่วนใหญ่จะได้รับหน้าที่คุ้มครองครอบครัวขุนนางในเมือง หรือไม่ก็เฝ้าโกดังเสบียง โกดังอาวุธยุทโธปกรณ์หรืออื่น ๆ กล่าวคือไม่ค่อยได้ออกรบ หากช้าสักสองหรือสามวันอาจรับคนครบแล้วก็เป็นได้”

แม่ของหลี่เหยียนได้ยินจึงตกใจ “ว่าอะไร ต้องออกรบด้วยหรือ?” หลี่เสี่ยวจูที่ได้ยินเช่นกันถึงกับต้องมองหลี่กั๋วซินด้วยความร้อนรน

ลุงชางได้ยินคำของภรรยา พร้อมกับได้เห็นลูกสาวคนที่สี่ร้อนใจ ยามนี้จึงตบโต๊ะด้วยความรุนแรง “กั๋วซินบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นทหารองครักษ์ เฝ้าเมืองไม่ใช่ออกรบ พวกเจ้าคิดไปถึงไหนกันแล้ว”

หลี่เสี่ยวจูและแม่ของหลี่เหยียนทำได้แค่มองหลี่กั๋วซินด้วยความหวาดกลัว ขณะที่หลี่กั๋วซินมองทางลุงชาง พยักหน้าให้ ก่อนจะพยายามปลอบโยนให้คนทั้งสองสบายใจโดยไม่ถามอะไรอีก

ส่วนหลี่เหยียน นับตั้งแต่เข้ามาทักทายก็เงียบมาโดยตลอด ยามได้เห็นแม่กับพี่สาวสี่เป็นแบบนี้ ความรู้สึกเศร้าและเสียใจจึงยิ่งพลุ่งพล่าน มันเป็นความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก ดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำขณะคิดในใจว่า ถ้าหากหาเงินได้แล้วจะกลับบ้านมาดูแลพ่อแม่ญาติพี่น้อง และจะไม่ขอจากไปไหนไกลอีก เพราะเขาอยากได้เห็นรอยยิ้มมีความสุขของคนในบ้าน เป็นความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว

เพราะแม้จะบอกว่าทหารองครักษ์ไม่จำเป็นต้องออกรบ แต่นั่นคือยามปกติ หากว่าเมื่อใดเกิดศึกสงครามบ้านเมือง เมื่อกำลังพลไม่เพียงพอ ถึงเวลาจะไม่มีการสนแล้วว่าเป็นทหารองครักษ์หรือไม่ อย่างน้อยก็จำเป็นต้องขึ้นไปบนกำแพงเมือง

และอาวุธไม่มีตา ข้าศึกย่อมไม่สนว่าใครเป็นทหารองครักษ์และใครเป็นแม่ทัพ ถึงเวลาสารพัดอาวุธจะสาดซัดเข้าหา นอกจากนี้บางทีอาจต้องออกไปรบกับข้าศึกนอกเมือง ตอนนั้นก็เป็นการสู้รบของจริงแล้ว

แต่หากมองภาพรวม ทหารองครักษ์ค่อนข้างดีกว่าทหารเกณฑ์ในช่วงเวลาปกติ หลี่เหว่ยที่อยู่ข้างกันยังมองหลี่เหยียนด้วยความเป็นห่วง เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายดังเช่นที่ผู้ใหญ่บ้านบอกกล่าว

หลี่กั๋วซินพบเห็นหลี่เหยียนเงียบมาตลอด ตอนนี้จึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากถามอะไรไหม?”

หลี่เหยียนจึงพูดขึ้นมา “ลุงกั๋วซินบอกแล้วว่าทหารองครักษ์ที่ท่านแม่ทัพหงรับสมัครนั้น มีหน้าที่เฝ้าโกดังเสบียงหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ หรือบางทีอาจเป็นการคุ้มกันบ้านขุนนาง งานเช่นนี้ถือว่าดีและหาได้ยาก ข้าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดขอรับ”

หลี่กั๋วซินที่ได้ยินถึงขั้นต้องขมวดคิ้ว เพราะคิดว่าหลี่เหยียนเชื่อทุกคำพูดของตนอย่าสนิทใน สุดท้ายเขาจึงต้องคิดอยู่ในใจว่า ‘ระหว่างทางคงต้องบอกเจ้าหนูนี่ให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ปล่อยให้คิดว่าเป็นงานไร้ความเสี่ยง’

ภายหลังจากนั้นหลี่กั๋วซินจึงบอกลาครอบครัวของหลี่เหยียนเป็นการชั่วคราว “อีกครึ่งชั่วยามพวกเราจะออกเดินทาง ครั้งนี้มีข้ากับเด็กหนุ่มรวมสามคน แต่ละบ้านไม่มีใครไปส่ง ทางขึ้นเขาก็ไกลสองร้อยกว่าลี้ หากให้แต่ละบ้านไปส่งหนึ่งคนหนึ่งบ้านรวมสัมภาระแล้วจะทำให้รถม้าวิ่งได้ช้า ถึงเวลาหนึ่งวันก็คงไม่ถึงที่หมาย”

เพราะในหมู่บ้านมีม้าดีอยู่เพียงแค่สองตัว พอเทียมรถแล้ว รวมน้ำหนักคนสี่คนและสิ่งของ การจะไปให้ถึงเมืองก่อนพระอาทิตย์ตกดินก็ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว

ไม่นานภายหลังพระอาทิตย์ขึ้น รถม้าจึงวิ่งออกจากหมู่บ้าน หมู่บ้านที่เคยอยู่มาทั้งชีวิตเริ่มเลือนรางไปทางด้านหลัง บริเวณทางออกของหมู่บ้าน มีคนในครอบครัวที่มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือนยืนอยู่ ผู้หญิงหลายคนในกลุ่มคนเหล่านั้นร้องไห้ ขณะที่เด็กอีกสองคนซึ่งอายุสิบสามสิบสี่ปีบนรถม้าก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเช็ดน้ำตาไม่หยุดเช่นกัน

หลี่เหยียนมองพี่สาวสี่กับแม่ที่ร้องไห้ในฝูงชน รวมถึงพี่ชายสามผู้เดินกะเผลกพลางพยุงพ่ออยู่อย่างเงียบงันโดยไม่พูดอะไร

จนกระทั่งหลี่เหยียนขึ้นรถม้าแล้ว พ่อและพี่ชายสามก็ไม่ได้พูดอะไรอื่น เพียงแค่ยิ้มส่งมา ส่วนพี่สาวสี่และแม่ต่างก็ดึงชายเสื้อผ้าฝ้ายหยาบตัวใหม่ครึ่งตัวของเขาไม่หยุด ราวกับกลัวว่าเสื้อผ้าจะไม่เรียบร้อย ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร่ำไห้สั่งเสียหลากหลายเรื่อง บอกให้เขาหาเวลากลับมาเยี่ยม รวมถึงในห่อผ้ามีเสบียงกับผักดอง หากหิวก็ให้กิน...

หลี่เหยียนไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่เป็นการกลั้นน้ำตาเอาไว้ แม้ความโศกเศร้าเสียใจถาโถมเข้าใส่ เขาก็ยังฝืนยิ้มพลางโบกมือให้ “พ่อ แม่ พี่สาม พี่สี่ ดูแลตัวเองด้วย ไว้ข้ากลับมาเมื่อไหร่จะซื้อของฝากจากในเมืองมากเยอะ ๆ เลย พี่สาม ฝากดูแลบ้านด้วย”

“น้องห้า พี่จำได้แล้ว ไปเถอะ ไปเถอะ...”

“พี่สี่ รอข้าตั้งหลักได้จะซื้อเครื่องสำอางในเมืองมาฝากนะ”

“น้องห้า พี่จะรอนะ ฮือ...”

“เจ้าห้า...” เสียงร้องเรียกที่เศร้าหมองจากแม่ของหลี่เหยียนดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ล้มลงในอ้อมกอดของพี่สาวสี่...

อีกสองครอบครัวข้างเคียงต่างก็มีเสียงร้องไห้ดังระงม ขณะที่เสียงร้องไห้บนรถม้าเองก็ยิ่งดังขึ้น หลี่เหยียนที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ สุดท้ายกลั้นไม่อยู่จนต้องหลั่งเป็นสายอาบแก้ม

ท้ายที่สุด รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวไกลห่างจากบ้านเกิด ไกลห่างจากเชิงเขาทั้งหลาย ไกลห่างจากต้นไม้ใบหญ้าที่คุ้นเคย ยามเมื่อเลี้ยวผ่านมุมเขา หมู่บ้านจึงยิ่งเล็กลงและเลือนราง สุดท้ายมองไม่เห็น เหลือไว้เพียงแค่เสียงร่ำไห้จากหมู่บ้านที่ลอยมาตามสายลม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด