ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 ออกเดินทาง

บทที่ 1 หมู่บ้านชายเขา


บทที่ 1 หมู่บ้านชายเขา

ณ ทิศตะวันตกเฉียงใต้สุดขอบแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งทวีปจันทราลัย

บริเวณทิวเขามหามรกตที่ทอดตัวยาวสลับซับซ้อน ราวกับเป็นเส้นสายที่ลากต่อกันไปมาอย่างไร้สิ้นสุด

ยามนี้ตะวันลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุม ที่หมู่บ้านน้อยใกล้เชิงเขา แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันส่องสว่างริบหรี่

ณ ใต้พฤกษาใหญ่ริมหมู่บ้าน ใบไม้กำลังพัดไหวไปตามแรงลมพลางส่งเสียงดังกรอบแกรบ ไกลออกไปมีเสียงเห่าของสุนัขดังให้ได้ยิน มันเป็นชนวนเหตุให้สุนัขตัวอื่นส่งเสียงเห่าขานรับกันระงม แต่ไม่ช้าเสียงเหล่านั้นก็เงียบสงบจางหาย

แสงตะเกียงส่องกระทบผนังดินแตกระแหงภายในบ้าน เงาคนเลือนรางเคลื่อนไหววูบไปมา

“เรื่องราวก็ตกลงตามนี้แล้วกัน ไปเป็นทหารมีข้าวกิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องอดตาย หากโชคดีก็อาจได้ดิบได้ดี อนาคตอาจสดใสก็เป็นได้” ชายชราผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่นผู้หนึ่งนั่งพิงขอบประตู ผิวอันหยาบกร้านที่ตรากตรำทำงานหนักมาช้านาน รวมกับหลังที่ค่อมลงเล็กน้อย ยามนี้มือข้างหนึ่งถือกล้องยาสูบ ปลายกล้องปรากฏถุงยาสีเหลืองคล้ำห้อย เขาสูบยาสูบเสียงดังภายในห้องที่เงียบสงัด เสียงที่เกิดขึ้นจึงยิ่งดังก้องอย่างชัดเจน

“แต่เจ้าห้าเพิ่งอายุแค่สิบสี่ปี เด็กขนาดนี้...” หญิงชราในชุดผ้าอันทรุดโทรมและมีริ้วรอยแห่งวัยกำลังนั่งเก้าอี้เตี้ยพลางตอบรับด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม

ชายชราเอ่ยปากขึ้น “หายนะจากตั๊กแตนสองปีซ้อนเช่นนี้ อย่าว่าแต่บ้านเรา กว่าครึ่งในหมู่บ้านก็ไม่มีเสบียงอาหารแล้ว คนที่เข้าเมืองไปทำงานได้ก็ดีไป คนที่เดินทางไกลได้ก็ไป คนที่เป็นทหารได้ก็ไป

ขาของพี่สามเจ้าเมื่อปีก่อนบาดเจ็บจากการทำงาน สุดท้ายพิการ ออกไปทำงานอะไรไม่ได้ ส่วนเจ้าห้าร่างกายเช่นนี้ แม้จะบอกว่าอายุสิบหกสิบเจ็ด คนอื่นมองมาก็คงไม่มีใครเชื่อ

ตอนนี้ให้ไปเป็นทหาร อย่างน้อยก็ยังพอได้เงินช่วยเหลือมาล่วงหน้าบ้าง ภายหลังเขาตั้งหลักได้แล้ว หากเมื่อนั้นเขายังมีน้ำใจอยู่บ้าง ทุกเดือนก็คงส่งเงินกลับมาบ้านช่วยประทัง” เพียงสิ้นเสียงชายชราจึงก้มหน้าสูบยาสูบต่อไป ขณะที่หญิงชราในบ้านได้แต่ก้มหน้าสะอื้นไห้

ภายนอกประตูมีร่างหนึ่งนั่งพิงกำแพงอยู่ สายตานั้นหันออกไปเบื้องนอก จ้องมองยังทิวเขาที่ทอดตัวยาวไกลห่างในความมืดด้วยท่าทีเหม่อลอย ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออก ยากทราบได้ว่าครุ่นคิดสิ่งใด แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดของทั้งในบ้านและนอกบ้านผันผ่าน เวลาก็ผ่านไป

ภายหลังเงียบงันอยู่ชั่วครู่ ร่างนั้นจึงลุกขึ้นยืนและหันกลับเดินเข้าบ้าน เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ดูแล้วอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ด ทว่าค่อนข้างผอมบาง ใบหน้ามีผิวสีคล้ำ หน้าตาค่อนข้างธรรมดา สวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายหยาบและเก่าที่ปรากฏรูขาดหลายแห่ง

เขาพูดออกมาว่า “พ่อ แม่ พวกท่านไม่ต้องกังวล คนในหมู่บ้านออกไปกันไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ผลผลิตในบ้านก็แค่พอกินประทังไปวันหนึ่ง แม้จะมีผู้ใหญ่บ้านพาคนออกไปล่าสัตว์จากภูเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปลึก ล่ามาได้ก็เพียงพวกไก่และกระต่ายป่า อย่างไรก็ไม่พอให้แบ่งกัน ข้าเองก็อยากออกไปดูภายนอก ที่บ้านมีพี่สามกับพี่สี่คอยดูแลท่านทั้งสองข้าก็วางใจ”

เด็กหนุ่มคนนี้ แท้จริงแล้วอายุเพียงแค่สิบสี่ปีเท่านั้นเอง เพียงแต่เพราะการล่าสัตว์ในภูเขา รวมถึงการทำไร่ไถนาที่เชิงเขามาตลอดจึงโตเร็วกว่าผู้อื่น แต่เพราะขาดสารอาหารจึงค่อนข้างผอมแห้ง เด็กหนุ่มผู้นี้นามว่าหลี่เหยียน ปกติเป็นคนพูดน้อย

ตั้งแต่ยังเด็กหลี่เหยียนได้มีโอกาสเรียนหนังสือกับบัณฑิตเฒ่าชราในหมู่บ้านพร้อมกับเด็กวัยเดียวกันอยู่ราวหกถึงเจ็ดปี ภายหลังบัณฑิตชราเสียชีวิต เวลาได้ร่ำเรียนก็ยิ่งลดน้อยลง และมักจะตามผู้ใหญ่ในหมู่บ้านออกไปล่าสัตว์ที่เชิงเขาอยู่บ่อยครั้ง

ช่วงแรกนั้นก็แค่หลบหนีตามออกไป แต่พอนานวันเข้าจึงถูกจับได้ กลับมาโดนพ่อแม่ต่อว่าตบตี ทว่าเด็กในหมู่บ้านชนบทต่างก็เป็นเช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่เคยถูกพ่อแม่ต่อว่าตบตี

และยิ่งหลี่เหยียนอายุมากขึ้น เขาก็ยิ่งออกไปล่าสัตว์กับกลุ่มนักล่าอย่างเปิดเผย และเริ่มเรียนรู้ลักษณะนิสัยของสัตว์ป่าทีละเล็กละน้อย และยังเริ่มมีส่วนร่วมในการล่าสัตว์ของผู้ใหญ่

เพราะวิ่งเล่นในภูเขาลำธารมาตลอด รูปร่างของเขาจึงสูงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าสองปีที่ผ่านมาเกิดภัยตั๊กแตน ผลผลิตหลักลดจำนวนลงมหาศาล แต่ละมื้อในบ้านจึงไม่เคยได้กินอิ่มท้อง เป็นเหตุให้ไม่แข็งแรงเท่าแต่ก่อน ร่างกายกระทั่งผ่ายผอมลง

หลี่เหยียนมีพี่น้องห้าคน พี่สาวคนโตและคนรองต่างก็แต่งงานไปตั้งแต่เขาอายุสิบสามและสิบสอง หลี่เสี่ยวจูที่เป็นพี่สาวสี่ก็ได้คู่ครองแล้ว แต่เพราะภัยตั๊กแตนตลอดสองปีที่ผ่านมา บ้านฝ่ายชายที่เดิมก็ไม่ได้ร่ำรวยจึงยังไม่อาจหาสินสอดมาสู่ขอ เพียงแต่ฝ่ายนั้นรับปากจะรีบหาสินสอดมาให้ คาดว่าคงได้แต่งงานกันภายในปีหรือสองปีนี้

ส่วนหลี่เหว่ยที่เป็นพี่ชายสาม เมื่อปีก่อนเกิดอุบัติเหตุข้อเท้าถูกเครื่องมือทำเกษตรทำให้บาดเจ็บ และเพราะที่บ้านไม่มีเงินทองมากพอจึงไม่อาจรักษาได้ทัน เป็นเหตุให้ขาพิการ

หลี่เหว่ยที่คุกเข่าพยุงแม่ในบ้าน กำลังมองหลี่เหยียนด้วยสายตาสำนึกผิด “น้องห้า พี่สาม...”

“พี่สามไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต่อไปนี้ฝากท่านดูแลบ้านแทนแล้ว” หลี่เหยียนพูดขัดคำขึ้นพร้อมเผยยิ้มบางให้ผู้เป็นพี่ชาย “บางทีนับจากนี้ข้าอาจได้เป็นถึงแม่ทัพนายกองอะไรทำนองนั้น ถึงเวลาจะรับพวกท่านไปอยู่ด้วยกันอย่างสุขสบาย”

หลี่เหว่ยมองตอบกลับมา สุดท้ายจึงถอนหายใจเสียงเบาและมองกลับไปยังผู้เป็นแม่ที่พี่สาวสี่กำลังลูบหลังปลอบประโลม “ถ้าเช่นนั้น ต่อจากนี้คงต้องฝากความหวังของตระกูลหลี่เอาไว้กับน้องห้าแล้ว”

แท้จริงแล้วหลี่เหว่ยกับหลี่เหยียนเคยได้ยินพ่อและพวกชาวบ้านคนอื่นที่ไปขายเนื้อสัตว์และหนังสัตว์ในเมือง รวมถึงไปซื้อของใช้ในครัวเรือนกลับมาเล่าให้ฟัง ว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่เมืองชายแดน ทางใต้คือแคว้นเหมิง ทำให้มีโอกาสเกิดสงครามชายแดนค่อนข้างสูง

และไม่กี่ปีมานี้ยังเกิดสงครามขึ้นเป็นระยะ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการเกณฑ์ทหารบ่อยครั้ง ขณะที่หากเป็นในอดีต การเกณฑ์ทหารจะต้องให้แต่ละหมู่บ้านทำหนังสือสัญญาค้ำประกัน ยืนยันอายุและตัวตน สืบประวัติทางบ้านและอื่น ๆ อีกหลากประการ

แต่ปัจจุบันแค่ผู้ใหญ่บ้านพาไปก็สามารถเข้าเป็นทหาร ทั้งหมดเป็นเพราะฮ่องเต้ราชวงศ์ปัจจุบันปกครองใต้หล้าด้วยหลักทางวรรณกรรมและคุณธรรม เป็นเหตุให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายบู๊ ส่งผลให้แคว้นเพื่อนบ้านระส่ำระสายก่อกบฏอยู่บ่อยครั้ง

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่เกิดสงครามแค่กับทิศนี้ เพราะชายแดนทิศอื่นต่างก็เกิดสงครามขึ้น ดังนั้นการส่งกำลังทหารจากราชสำนักส่วนกลางจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของกองกำลังป้องกันท้องถิ่น ส่งผลให้กองกำลังป้องกันท้องถิ่นต้องเกณฑ์ทหารในพื้นที่มาเสริมกำลังพล

ชาวบ้านเองก็ทราบดีว่ามีโอกาสต้องเข้าร่วมการรบสูง ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครอยากสมัครเป็นทหาร ส่วนกองกำลังป้องกันท้องถิ่นก็ติดขัดข้อกฎหมายของฮ่องเต้ที่ปกครองใต้หล้าด้วยหลักการทางวรรณกรรมและคุณธรรม ทำให้ไม่สามารถบังคับการเกณฑ์ทหาร

ดังนั้นช่วงไม่กี่ปีมานี้ ใครที่สมัครเป็นทหารจะได้รับเงินก้อนหนึ่งให้แก่ครอบครัว กล่าวกันว่าเป็นค่าทำศพล่วงหน้า เพื่อกระตุ้นให้คนมาสมัครเป็นทหาร ทำให้ยามออกกฎหมายนี้ขึ้นมา จึงมีชาวนามากมายส่งลูกหลานไปเป็นทหาร และแน่นอนว่าส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน เพราะหากเป็นครอบครัวพ่อค้าวาณิชย์ที่ร่ำรวยคงไม่ทำเช่นนั้น

แต่เรื่องราวเหล่านั้นไม่ใช่อะไรที่ผู้หญิงในหมู่บ้านทราบ เนื่องจากอยู่ในยุคที่ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงถูกด้อยค่า ผู้ชายจึงไม่ค่อยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้กับทั้งภรรยาหรือแม่ของตนฟัง

หากจะมีการกล่าวถึงก็คงเป็นหัวข้อสนทนาตามท้องถนน ท้องไร่ หรือท้องนา โดยเฉพาะกับหมู่บ้านบนเขาที่ไกลปืนเที่ยงกว่าสองร้อยลี้ที่มีบ้านเรือนเพียงแค่สิบกว่าครัวเรือน หลายปีมานี้ไม่เคยมีใครถูกส่งตัวไปเป็นทหาร แต่หลี่เหว่ยกับหลี่เหยียนสองพี่น้องเคยได้ยินเรื่องราวจากช่วงที่ออกไปทำไร่ไถนาและตามกลุ่มนักล่าเข้าป่า

ภายในบ้านเงียบสงัด จนกระทั่งผ่านไปนานมาก ผู้เฒ่าหลี่จึงเคาะกล้องยาสูบกับธรณีประตูสองสามครั้ง “งั้นข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านก่อน พวกเจ้าพักผ่อนเสีย” สิ้นคำอีกฝ่ายจึงเดินไปทางกลางหมู่บ้านท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืน และไม่นาน ร่างนั้นจึงหายไปภายใต้แสงจันทร์ย่ำฤดูใบไม้ร่วง

แสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านรูกระดาษหน้าต่างไม้เก่าโทรมตกลงบนเตียงที่ทำขึ้นจากดิน มันมีผ้าห่มเก่าซึ่งปรากฏสำลีโผล่ทะลักออกมาเป็นหย่อมคลุมร่างของคนทั้งสอง เป็นหลี่เหว่ยและหลี่เหยียนกำลังนอนหันหลังชนกัน

“น้องห้า หากเจอเรื่องราวใดในกองทัพก็ต้องใจเย็น อดทนได้ก็ต้องทน อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว”

“อืม”

ภายหลังเงียบไปพักหนึ่ง “ถ้าหาก... ถ้าหากว่าเกิดสงครามขึ้นมา ถ้าหากว่าไม่มีใครพบเห็น อย่าได้วิ่งออกไปด้านหน้า ให้ถอยเท้าออกมาสองสามก้าว”

“อืม”

ภายหลังเงียบไปอีกพักหนึ่ง “เรื่องทางบ้าน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พอได้เงินช่วยเหลือจากการที่เจ้าไปเป็นทหาร ข้าจะดูแลพ่อกับแม่เอง เงินเดือนแต่ละเดือนที่เจ้าได้รับ ก็ซื้อเนื้อให้กินเยอะ ๆ เข้าไว้”

“อืม... พี่สาม งานที่ไร่ก็คงต้องลำบากท่านมากหน่อย พ่อแม่แก่มากแล้ว”

“ได้ มีข้าอยู่ พ่อแม่จะไม่อดอยาก”

“...” ความเงียบกับบทสนทนาสั้น ๆ ดังขึ้นเป็นระยะสลับกันไป

แสงจันทร์เป็นดั่งสายน้ำ ค่ำคืนนี้อากาศเย็นสบาย

ยามเที่ยงคืน ประตูห้องโถงบ้านเปิดดังเอี๊ยดเสียงเบา สองพี่น้องหยุดพูดคุย ถัดจากนั้นจึงได้ยินเสียงพ่อแม่คุยกันเสียงเบา จากห้องข้าง ๆ ที่แทบไม่ได้ยินอะไร ไม่นานก็เริ่มมีเสียงสะอื้นของพี่สาวสี่กับผู้เป็นแม่ดังขึ้น คาดว่าพี่สาวสี่คงต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่เพื่อปลอบอยู่นาน

หลี่เหยียนยังคงหันหลังให้พี่ชาย เขาลืมตาโพลงมองกำแพงในความมืด รอยแตกบนกำแพงภายใต้แสงจันทร์อันเลือนราง มันราวกับเป็นเสียงและอดีตของคนในครอบครัวที่กำลังไหลหลั่งออกจากหัวใจของเขา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด