ตอนที่แล้วบทที่ 51 ประตูของแม่หม้าย วิญญาณที่ยั่วยวน!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 53 ใครเหนือกว่าใคร?

บทที่ 52 ส่งกลับชนบท!


เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เว่ยตง สือจวี้เหมือนจะอยากพูดอะไรต่ออีกเล็กน้อยเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย

หรืออาจเป็นเพราะในมุมมองของเขา เรื่องนี้แทบจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย

ในลานแห่งนี้ บ้านในส่วนหน้ากับส่วนกลางก็แค่มีทางเดินเชื่อมกัน

เพื่อนบ้านด้วยกัน ไม่น่าจะต้องถึงกับเป็นเรื่องใหญ่โต

แต่ในตอนนั้นเอง มีมือข้างหนึ่งยื่นมาและดึงเขาออกไปอย่างแรง

“มันเกี่ยวอะไรกับนาย?”

อี้จ้งไห่มองสือจวี้ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปพูดกับหลี่เว่ยตง

“เว่ยตง นายไม่รังเกียจถ้าฉันจะพูดอะไรบ้างใช่ไหม?”

“ท่านปู่อี้ เชิญพูดครับ”

สำหรับหลี่เว่ยตง เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่อี้จ้งไห่ออกหน้า

เขาเคยดูในละครโทรทัศน์ฉากหนึ่งที่อี้จ้งไห่แอบนำแป้งขาว 10 จินไปให้ฉินหวยหยูในยามค่ำคืน

แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอีกสองปีให้หลัง ตอนที่สถานการณ์ข้าวยังไม่คับแคบเท่าปัจจุบัน แต่แป้งขาวก็ยังถือว่าเป็นสิ่งล้ำค่า

ยิ่งไปกว่านั้น การช่วยเหลือเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สอง

เขายังสงสัยว่าหลังจากเจี่ยตงซวี่เสียชีวิต อี้จ้งไห่อาจช่วยเหลือครอบครัวเจี่ยอยู่เป็นระยะ

ส่วนเหตุผลคงมีแต่อี้จ้งไห่เท่านั้นที่รู้

แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เขามีใจเอนเอียงไปทางครอบครัวเจี่ย

“เรื่องราวทั้งหมด ฉันก็พอจะเข้าใจบ้าง

ประการแรก นายไม่ต้องกังวลเลยว่าแม่ของนายจะถูกเข้าใจผิด ชื่อเสียงของเธอในลานนี้ ทุกคนรู้ดีว่าเธอเป็นคนอย่างไร

คำพูดของเจ้าปังเกิ่ง ไม่ว่าฟังจากใคร ก็จะถูกมองว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น

กลับไปให้ฉินหวยหยูตบปังเกิ่งสองฉาด ให้มันเข็ดหลาบ จะได้ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีก

อีกอย่าง ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้มาจากเจี่ยจางซื่อ

ปากของเธอไม่รู้ว่าก่อเรื่องกับใครมามากแค่ไหน แต่พวกเราก็แค่เห็นว่าเธอน่าสงสาร เลยไม่ถือสา  แต่คราวนี้ เธอทำเกินไปจริง ๆ

ฉันจะเป็นคนกลาง ให้เธอไปขอโทษแม่ของนาย ตกลงไหม?”

คำพูดของอี้จ้งไห่ดูเหมือนจะฟังขึ้น มีเหตุผลทั้งในเชิงสั่งสอนเด็กและแสดงความจริงใจ

จากผู้ใหญ่ ครอบคลุมทุกแง่มุม  แต่ความจริงแล้ว อคติของเขาเห็นได้ชัด

แค่ขอโทษแล้วเรื่องจะจบ?  เจี่ยจางซื่อมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับการยกเว้นขนาดนี้?

หรืออี้จ้งไห่คิดว่าเขามีสิทธิ์มากพอที่จะตัดสินเรื่องนี้?

บางคนอาจมองว่าหลี่เว่ยตงทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่แม่ของเขาถูกพูดถึงไม่กี่คำ

จำเป็นต้องยึดติดกับมันขนาดนี้ไหม?  เมื่ออีกฝ่ายอุตส่าห์มาขอโทษถึงที่แล้ว

ยังจะไม่พอใจอีกหรือ?  นายใจแข็งเกินไปหรือเปล่า?

หรือว่านายไม่มีเลือดเนื้ออุ่น?นายยังจะเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม?

สำหรับคนที่คิดแบบนั้น หลี่เว่ยตงทำได้แค่ยิ้มเยาะ

ง่ายที่จะพูด เมื่อคนที่ถูกด่าคือแม่ของคนอื่น

ในยุคห้าสิบหกสิบ แนวคิดของผู้คนยังไม่เปิดกว้างเหมือนในภายหลัง

สำหรับหลาย ๆ คน ชื่อเสียงสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

แม้จะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นตามประเพณีเก่า แต่ถ้าชื่อเสียงพังทลาย ชีวิตก็เหมือนถูกทำลายไปทั้งชีวิต

บางคนที่มีนิสัยรุนแรงถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์

แม้ว่าจางซิ่วเจินจะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่การที่เธอระมัดระวังเรื่องหลี่เว่ยตงเป็นพิเศษก็แสดง

ให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่แคร์สายตาคนรอบข้างมาก

หากเธอถูกตราหน้าว่าเป็นแม่เลี้ยงที่ใจร้าย แม้จะไม่ร้องไห้ทุกวัน แต่ก็อาจจะหม่นหมอง

ตลอดชีวิต

เธอที่สุขภาพไม่ดี ต้องดื่มยามานาน หากเพิ่มความทุกข์ใจเข้าไปอีก คงไม่ต้องพูดถึงว่าจะ

เป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ แต่อายุของเธอก็อาจสั้นลง

เพราะเหตุนี้ หลี่เว่ยตงจึงต้องยืนหยัดเพื่อล้างแค้นให้แม่เลี้ยงของเขา เพื่อปลดปล่อยปมใน

ใจของเธอ แม้จะต้องถูกมองว่าเป็นคนเลว เขาก็ไม่สน

“ท่านปู่อี้ เรื่องขอโทษไม่ต้องแล้วครับ เจี่ยจางซื่ออายุมากแล้ว ผมเกรงว่าแม่ของผมจะรับไม่ไหว

เรื่องนี้จะจบง่าย ๆ ถ้าต่อไปเจี่ยจางซื่อไม่ปรากฏตัวต่อหน้าแม่ของผมอีก

เมื่อเวลาผ่านไป แม่ของผมก็จะลืมเรื่องนี้ไปเอง

ส่วนเจ้าปังเกิ่ง ผมให้เกียรติท่านปู่อี้ ผมจะไม่ตีเขา แต่ขอให้เขาทำความสะอาดลานทุกวัน

หลังเลิกเรียน เป็นเวลา 1 เดือน”   หลี่เว่ยตงพูดความต้องการออกมา

“เว่ยตง นายหมายความว่ายังไง? จะให้เจี่ยจางซื่อไม่ออกมาเดินในลาน? หรือจะให้เธอกลับ

ชนบทไป?”  สือจวี้ถามขึ้นด้วยความสงสัย

สวี่ต้าม่าวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่พลาดโอกาสแหย่สือจวี้

“ให้เจี่ยจางซื่อกลับไปชนบทสิ แบบนี้ก็ไม่ต้องเห็นหน้าอีก!”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนเข้าใจทันที และมองหลี่เว่ยตงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

การไล่เจี่ยจางซื่อกลับไปชนบทนั้น แทบจะเหมือนการส่งเธอไปตาย

หญิงชราที่ไม่มีแรงทำงานจะหาอะไรกินอยู่ที่ไหน?

ฤดูหนาวที่ใกล้เข้ามา เธอจะผ่านพ้นไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้

“ใจดำจริง ๆ!”

เจี่ยจางซื่อที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ในตอนนี้ ร้องเรียกลูกชายผู้ล่วงลับอีกครั้ง

“ตงซวี่! ลืมตาขึ้นมาดูสิ…”

“หุบปาก!”   คราวนี้ยังไม่ทันที่หลี่เว่ยตงจะพูดอะไร อี้จ้งไห่ก็ขัดขึ้นก่อน

ถึงเวลาแบบนี้แล้ว ยังจะร้องไห้คร่ำครวญอีกหรือ?

เธอคิดว่าการร้องแบบนี้จะทำให้คนอื่นสงสารหรือ?

ด้วยสายสัมพันธ์ของตระกูลหลี่ หากพวกเขาต้องการส่งเธอกลับไปชนบทจริง ๆ เธอจะขัดขืนอะไรได้?  ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจจริง ๆ

“เว่ยตง เรื่องนี้อยากจะคุยกับพ่อของนายก่อนดีไหม? ถึงอย่างไรเธอก็แก่ชรามากแล้ว คงไม่

ควรบีบคั้นกันจนถึงตายใช่ไหม?”

อี้จ้งไห่ถึงกับต้องพูดขอร้องแทนเจี่ยจางซื่อ และยังนำชื่อของหลี่ซูฉวินขึ้นมาอ้างอีก

ในมุมมองของเขา ถ้าหลี่ซูฉวินอยู่ที่นี่ คงไม่มีทางยอมให้หลี่เว่ยตงทำเรื่องแบบนี้แน่ ๆ

แต่ในฐานะสะใภ้ของเจี่ยจางซื่อ ฉินหวยหยูกลับยืนนิ่ง ไม่พูดหรือร้องขออะไรเลย

เหมือนกับเธอตกใจจนพูดไม่ออก

“ปู่อี้ ท่านเองก็รู้ดีว่าแม่ของผมเป็นคนแบบไหน แล้วคำพูดที่เจี่ยจางซื่อพูดออกมาก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นการบีบคั้นแม่ของผมหรือเปล่า? ใครเคยสนใจความรู้สึกของแม่ผมบ้าง?”

ประโยคสุดท้ายของหลี่เว่ยตงเปรียบเสมือนการชี้นิ้วใส่อี้จ้งไห่พร้อมกับคำถามว่า“คุณเป็น

ใคร? ทำไมพวกคุณถึงต้องได้รับการให้อภัยทุกครั้งที่ทำผิด?

หากไม่ให้อภัย ก็จะถูกมองว่าโหดร้าย ไร้น้ำใจ?

การเป็นคนดี ต้องยอมเสียเปรียบทุกครั้งหรือ?  ขอโทษนะครับ ผมไม่ยอม!”

“เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยอีก ส่วนเรื่องพ่อของผมนั้นเป็นเรื่องของครอบครัวผม ถ้าเขา

อยากจะพาเจี่ยจางซื่อกลับมา ก็ให้เขาไปเอากลับมาเอง ผมรับรองว่าจะไม่ขัดขวาง”

หลี่เว่ยตงพูดด้วยความหนักแน่น

แต่ขณะที่เขากำลังพูดด้วยความมุ่งมั่น สายตาเขาเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งในหางตา

ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย

(จบบท) ###

บท) ###

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด