บทที่ 7 ตรงนั้นมีกล้วยไม้สกุลหวายด้วยเหรอ?
บทที่ 7 ตรงนั้นมีกล้วยไม้สกุลหวายด้วยเหรอ?
"อีกไม่นาน เมื่อคนนึกถึงกล้วยไม้สกุลหวาย พวกเขาก็จะนึกถึง 'กล้วยไม้สกุลหวายภูเขาไฟ' ที่ดีที่สุด แล้วก็จะเลือกซื้อของพวกเรา"
"และก็จะมีคนอีกมากมายที่จะนึกถึงแหล่งผลิต 'กล้วยไม้สกุลหวายภูเขาไฟ' หมู่บ้านหยุนซี! เมื่อถึงตอนนั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมอื่นๆ ของเราก็มีโอกาสที่จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง"
"อุตสาหกรรมกล้วยไม้สกุลหวาย ภูเขาไฟ ทิวทัศน์ของเกาะ ที่พัก ร้านอาหาร... ทุกคนจะได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า!"
ภาพเค้กก้อนโตที่เฉินจิ่วซือวาดไว้ทำให้สมาชิกสภาหมู่บ้านต่างก็มึนงงกันไปหมด
พวกเขารู้สึกว่าหมู่บ้านหยุนซีของพวกเขากำลังจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านในเร็วๆ นี้
เมื่อมองไปที่ความเจริญที่กำลังจะมาถึง เงินอุดหนุนสำหรับหมู่บ้านยากจนจะไปสำคัญอะไร
เฉินจิ่วซือเองก็แอบสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยที่ในใจก็คิดใคร่ครวญ
มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอกนะ!
เมื่อสร้างอุทยานภูเขาไฟเสร็จแล้ว แรงดึงดูดนักท่องเที่ยวของมันจะน่ากลัวกว่านี้มาก
การชมลาวาภูเขาไฟที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวในโลกจะทำให้ผู้คนมากมายอยากจะมาที่นี่มากแค่ไหนกันล่ะ
แม้แต่เฉินจิ่วซือเองก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลย
แต่เขาคิดว่าคงต้องไม่น้อยแน่
แถมยังมีสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ที่จะตามมาอีก
น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่สะดวกที่จะพูดออกไป
ถ้าตอนนี้เขาเอาแบบแปลนอุทยานภูเขาไฟออกมา คนจำนวนมากคงจะยอมแพ้ในแผนของเขาทันที
ต้องมีคนจำนวนมากอย่างแน่นอนที่เลือกจะพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่าการเสี่ยงดวงในแผนที่ฟังดูเกินจริงนี้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาอยากจะก่อตั้งบริษัทขึ้นมา
ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้การสร้างอุทยานภูเขาไฟสะดวกยิ่งขึ้น
รวมทรัพยากรเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่!
เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มถูกชักจูงมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินจิ่วซือก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงและรีบอธิบายแผนการของตัวเองทันที
สหกรณ์ชุมชน
ใช้ทรัพยากรของหมู่บ้านหยุนซีในการพัฒนา
คนที่ทำงานในบริษัทจะได้ค่าจ้าง
ผลกำไรจะแบ่งออกเป็นสามส่วน โบนัสสำหรับชาวบ้านทุกคน การลงทุนสาธารณะของหมู่บ้าน และใช้สำหรับการพัฒนาบริษัทต่อไป
ในช่วงแรก จะเน้นไปที่อุตสาหกรรมกล้วยไม้สกุลหวาย และการวางแผนการท่องเที่ยว
ส่วนด้านอื่นๆ จะยังไม่พิจารณาในตอนนี้
เมื่อได้ฟังดังนั้น จ้าวหงเย่ก็ตั้งใจจะโน้มน้าวให้จัดตั้งสหกรณ์กล้วยไม้สกุลหวายก็พอ แต่เมื่อจะพูดเขาก็พูดไม่ออก
เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของคนที่สนิทกับเขา
รูปแบบการแบ่งเค้กของเฉินจิ่วซือทำให้หลายคนเปลี่ยนข้าง
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกหวั่นไหว!
"ฉันก็เห็นด้วยกับการจัดตั้งบริษัทนี้"
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดจ้าวหงเย่ก็ยกมือขึ้นพร้อมกับยิ้มและเห็นด้วย
เมื่อเห็นดังนั้น คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยตาม
มนุษย์ก็เป็นแบบนี้
พวกเขาก็แค่กังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเอง แต่เมื่อมีผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่ตรงหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไป
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เตรียมเอกสารกันเถอะ แล้วอีกสองวัน ฉันจะเอาผลผลิตกล้วยไม้สกุลหวายของพวกเราไปตรวจที่อำเภอ แล้วก็จดทะเบียนบริษัทให้เรียบร้อยไปด้วยเลย"
เมื่อกล้วยไม้สกุลหวายของพวกเขาถูกเก็บเกี่ยว พวกมันที่ถูกปลูกในสภาพแวดล้อมพิเศษแบบนี้ก็จะมีสารอาหารมากกว่า และมีปริมาณด่างสูงกว่า ถ้าพวกเขามีรายงานการตรวจสอบอย่างมืออาชีพ มันก็จะทำให้การเจรจาต่อรองในครั้งต่อๆ ไปง่ายยิ่งขึ้น
"ก่อนหน้านั้น ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะพูด" จู่ๆ จ้าวหงเย่ก็พูดขึ้นจนทำให้ทุกคนหันไปสนใจเขา
"ตอนนี้กล้วยไม้สกุลหวายต่างก็เป็นของชาวบ้านแต่ละคน การจัดตั้งบริษัทก็ไม่สะดวกในการเจรจาต่อรอง ถ้าจะให้ฉันพูด ก็เซ็นสัญญากับชาวบ้านที่ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเลย ให้พวกเขาขายกล้วยไม้สกุลหวายในราคา 150 หยวนต่อกิโลกรัมให้กับสหกรณ์ชุมชน"
"แล้วพวกเราก็ค่อยไปเจรจาต่อรองกับพวกผู้รับซื้อ"
"ถ้าได้ราคาที่สูงกว่านั้น ก็ให้เป็นกำไรของสหกรณ์ชุมชน แต่ถ้าได้ราคาที่ต่ำกว่านั้น ก็แสดงว่าบริษัทนี้ไม่ต้องตั้งแล้วก็ได้ ทุกคนว่าจริงไหม!"
ให้ตายสิ!
ที่แท้ไอ้เจ้าคนนี้ก็คิดแผนนี้อยู่นี่เอง
เฉินจิ่วซือนึกว่าเจ้าบ้านี่จะเห็นดีเห็นงามกับเขาแล้ว ที่ไหนได้เจ้านี่กลับซ่อนแผนนี้เอาไว้อยู่
"ตอนนี้เรายังไม่เคยขายหรือติดต่อใครเลย หมายความว่าช่องทางการจำหน่ายยังไม่แน่นอน และแผนเดิมที่ทุกคนคิดไว้คือการรอให้ผู้รับซื้อแจ้งความต้องการมาก่อน แล้วจึงค่อยเก็บเกี่ยวตามจำนวนนั้น ขายกันสดๆ ถ้าขายไม่ได้ ก็ให้มันอยู่ในดินไปก่อน มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร"
ลุงฝูขมวดคิ้วเล็กน้อย "ถ้าเป็นรูปแบบนี้ แล้วเราจะดำเนินการยังไง"
"ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ แค่สหกรณ์ชุมชนให้คำมั่นสัญญากับทุกคน" จ้าวหงเย่กล่าวอย่างหนักแน่น "เมื่อทุกคนมั่นใจแล้วก็จะมีกำลังใจมากขึ้นไม่ใช่เหรอ"
"แล้วถ้าพวกเรารวมตัวกันขายแล้วได้ราคาที่สูงกว่า 150 หยวนล่ะ" ลุงฝูรู้สึกไม่พอใจ "ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะคิดว่าพวกเราสมรู้ร่วมคิดกับผู้รับซื้อจากข้างนอกเพื่อที่จะกินส่วนต่างน่ะสิ"
"ก็บอกให้ชัดเจนไปตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ใครอยากจะเจรจาเองก็ไปเจรจา ใครอยากจะเอาเงินเข้ากระเป๋าก่อนก็เอาไป คนส่วนใหญ่เห็นด้วยก็พอแล้ว เข้าใจเรื่องการกระจายความเสี่ยงไหมล่ะ ให้ส่วนรวมช่วยแบกรับความเสี่ยง แล้วจะกำไรหรือขาดทุน มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ"
จ้าวหงเย่ไม่ลังเลที่จะแสดงความคิดของตัวเองออกมาทั้งหมด
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายกำลังขัดแย้งกัน เฉินจิ่วซือก็นวดขมับเล็กน้อย "เอาล่ะๆ ข้อเสนอของรองผู้ใหญ่บ้านจ้าวก็ไม่เลวนี่ ก็ลองไปคุยกับทุกคนดูก็แล้วกัน"
"แต่ในช่วงแรก พวกเราจะไม่สามารถชำระเงินได้ทันที ต้องรอให้ขายออกไปได้ส่วนหนึ่งก่อนถึงจะมีเงินทุน"
ราคา 150 หยวนต่อกิโลกรัม ถือว่าไม่ได้แพงอะไร
กล้วยไม้สกุลหวายสดๆ ขายปลีกก็ 200 กว่าหยวนต่อกิโลกรัมแล้ว
เมื่อขายในปริมาณมาก ราคาก็จะถูกกดต่ำลง พ่อค้าคนกลางก็อยากได้กำไรส่วนต่างด้วย
จ้าวหงเย่ก็แค่ต้องการที่จะเดิมพันอีกครั้ง
เพื่อดูว่าสหกรณ์ชุมชนจะสามารถดันราคาให้สูงขึ้นได้หรือไม่
มันก็จริงที่ว่า ถ้าไม่เห็นโลงศพก็จะไม่หลั่งน้ำตา ถ้าไม่เห็นกระต่ายก็จะไม่ปล่อยเหยี่ยว
หลังจากคิดดูแล้ว เฉินจิ่วซือก็คิดว่ามันก็ไม่เลว
เพราะกล้วยไม้สกุลหวายของหมู่บ้านหยุนซีนั้นมีความพิเศษเนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนและยังมีปริมาณมากอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็จะมีช่องว่างสำหรับการเจรจาต่อรองที่ตามมา
ถ้าดำเนินการอย่างถูกต้อง เขาก็จะสามารถทำเงินได้จำนวนมาก และอุทยานภูเขาไฟก็จะสามารถเริ่มดำเนินการได้เร็วขึ้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เห็นด้วย..
"จิ่วซือ นายใจร้อนเกินไปแล้ว"
หลังจากการประชุมจบลง ลุงฝูก็ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ "การเกษตรมันไม่มีอะไรแน่นอน การที่นายไปเห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าบ้านั่นไป มันหมายความว่าความเสี่ยงทั้งหมดจะตกอยู่ที่นาย ถ้าขายกล้วยไม้สกุลหวาย 150,000 กิโลกรัมนี้ไม่ได้ นายก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมดนะ"
"ผมรู้ ผมมีแผนอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ" เฉินจิ่วซือยิ้ม ..
.. วันรุ่งขึ้น เฉินจิ่วซือก็เอากล้วยไม้สกุลหวายและเอกสารต่างๆ ไปที่อำเภอ
ไม่นานนัก บริษัทจำกัดภูเขาไฟหยุนซีแห่งเฉียงโจวก็ได้กำเนิดขึ้น
เนื่องจากผลการตรวจต้องรออีกวัน เฉินจิ่วซือก็เลยพักอยู่ที่อำเภอ
พริบตาเดียว ค่ำคืนก็ใกล้เข้ามาแล้ว
……………………………
"หัวหน้า กล้วยไม้สกุลหวายที่พึ่งส่งถูกมาตรวจมันมีปริมาณสารประกอบที่มีฤทธิ์ทางยาเช่นพวก อัลคาลอยด์ ฟีนอล และไบเฟนิล โพลีแซ็กคาไรด์ ฯลฯ สูงกว่ามาตรฐานของตำรายาแห่งชาติมากเลย คุณช่วยดูหน่อยสิว่ามันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า!"
เสียงร้องอย่างตกใจดังมาจากศูนย์ตรวจวิเคราะห์ "แร่ธาตุต่างๆ เช่น ซีลีเนียม สตรอนเทียม แมกนีเซียม และกรดอะมิโน ก็มีปริมาณสูงมากด้วยครับ!"
"หือ.. กล้วยไม้สกุลหวาย ที่นี่มีกล้วยไม้สกุลหวายด้วยเหรอ"
ผู้อำนวยการศูนย์ตรวจวิเคราะห์มองรายงานที่อยู่ในมืออย่างงุนงง
ในความทรงจำของเขา กล้วยไม้สกุลหวายก็มีแค่ไม่กี่แห่งที่ผลิตไม่ใช่เหรอ
ที่เฉียงโจวไม่ใช่แหล่งผลิต
แล้วจะมีใครเอามาให้ตรวจได้ยังไง
"ข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้บอกว่า มันมาจากหยุนซี... ที่เกาะจงซาน" เจ้าหน้าที่ตรวจวิเคราะห์พลิกดูข้อมูล "ดูท่าจะมีจริงๆ ด้วยนะครับ"
"อืม.. กล้วยไม้สกุลหวายส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตในเขตกึ่งร้อน แต่ที่อำเภอของเราเป็นเขตร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จงซานนั้นอยู่ทางใต้มากกว่าเราอีก แถมยังใกล้กับเกาะลูซอนอีก ที่แบบนั้นเป็นเขตร้อนในเขตร้อนเลยนี่นา! แต่ที่แบบนั้นปลูกทุเรียนยังดูมีเหตุผลกว่าปลูกกล้วยไม้สกุลหวายอีกไม่ใช่หรอ"
เขาจบจากมหาวิทยาลัยที่เจียงหนาน
โดยที่รอบๆ บริเวณนั้นก็มีแหล่งผลิตกล้วยไม้สกุลหวายอยู่
เป็นแหล่งผลิตกล้วยไม้สกุลหวายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
และตอนที่เขาฝึกงานอยู่ที่ศูนย์ตรวจวิเคราะห์ เขาก็มักจะต้องตรวจกล้วยไม้สกุลหวายอยู่บ่อยๆ
มันทำให้เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกล้วยไม้สกุลหวายเป็นอย่างดี!
นั่นคือช่วงเวลาที่น่าประทับใจและมีอิทธิพลต่อชีวิตการทำงานของเขามากที่สุด!
"เขามาหลอกพวกเราหรือเปล่า"
เจ้าหน้าที่ตรวจวิเคราะห์มองรายงานในมืออย่างไม่เข้าใจ "ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง พวกเขาก็จ่ายเงินแล้ว พวกเราก็ไม่ได้เสียอะไรนี่"
"ก็ไม่น่าจะใช่... บางทีเทคโนโลยีมันอาจจะพัฒนาไปแล้ว หรือไม่พวกเขาก็อาจจะพบสายพันธุ์ที่เหมาะกับที่นั่น ถ้าเป็นอย่างนั้น มันก็จะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาและสำหรับอำเภอของพวกเราด้วย"
ผู้อำนวยการส่ายหัว เขาไม่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น "ช่างเถอะ ยังไงพวกเราก็มีหน้าที่แค่ตรวจสอบ มา! ฉันจะตรวจสอบเอง จะได้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดจริงๆ!"