บทที่ 57 ทะลวงด่าน! ทะลวงด่าน!
เมืองอี้ซิงเกิดกระแสคึกคักขึ้นมา "การกระทำอันมีน้ำใจ" ของเหลียงฉวี่ยังคงส่งผลกระเพื่อมไปทั่ว แต่ตัวเขาเองกลับรีบปิดประตู เข้าสู่ภาวะปิดด่านฝึกวรยุทธ์
ก่อนที่จะไปจับปลาในแม่น้ำกับลุงเฉิน เขาได้ฝึกฝนผิวหนังที่สำนักยุทธ์มาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าผิวหนังถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่ใช่ความรู้สึกตึงเหมือนตอนฝึกผิวหนังก่อนหน้านี้ แต่กลับรู้สึกพองบวม
เหมือนกับตอนเป็นหิดในฤดูหนาว ข้อนิ้วมือบวมม่วงเพราะเลือดคั่ง แต่เมื่อมองจากภายนอกกลับไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
ฮูฉีเคยบอกไว้ว่า การเปลี่ยนจากความตึงเป็นความพองคือสัญญาณที่แสดงว่าการฝึกผิวหนังใกล้ถึงขีดสุด การทะลวงด่านจะเกิดขึ้นในการฝึกอีกหนึ่งหรือสองครั้ง
ออกเรือตอนเช้า กลับมาตอนบ่าย ผ่านไปครึ่งวัน ชี่เลือดที่หมดไปก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง เหลียงฉวี่วางโอ่งน้ำไว้กลางห้อง ทุบน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนผิวน้ำ
โอ่งใบนี้แต่เดิมเป็นโอ่งข้าวสาร แต่เหลียงฉวี่ไม่เคยหุงข้าว หลังจากจ่ายภาษีฤดูใบไม้ร่วงแล้วโอ่งข้าวก็ว่างเปล่า จึงใช้เป็นโอ่งน้ำมาตลอด
เหลียงฉวี่เริ่มตั้งท่าชกมวย ชี่เลือดถูกนำทางให้ปรากฏขึ้น แล้วกระจายไปทั่วร่างภายใต้การควบคุมที่มองไม่เห็น
ความร้อนที่แรงกว่าวันก่อนๆ พุ่งขึ้นมาในชั่วพริบตา เหลียงฉวี่รีบถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด ก่อนจะกระโจนลงไปในน้ำทั้งเปลือย
น้ำเย็นจำนวนมากล้นออกจากโอ่ง ทำให้พื้นดินแห้งสีเหลืองเปียกชุ่ม
การทะลวงด่านครั้งสุดท้าย ความร้อนจะสูงกว่าที่ผ่านมามาก หากไม่ระวังอาจทำให้สมองเสียหายได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องลดอุณหภูมิด้วยวิธีทางกายภาพ
กระแสความร้อนแล่นไปทั่วร่าง ความร้อนที่แผ่ออกมาถูกน้ำเย็นพาไป ในช่วงที่ร้อนและเย็นสลับกัน ทุกครั้งที่หายใจรูขุมขนก็จะเปิดออก พ่นไอขาวออกมา
ภายในห้อง ไอขาวหนาทึบราวกับม่านสีขาว บดบังภาพอันน่าสะพรึงในโอ่งน้ำ
หากมีใครเปิดม่านในตอนนี้ จะเห็นว่าผิวหนังทั่วร่างของเหลียงฉวี่พองบวมขึ้น นูนสูงราวหนึ่งนิ้ว ทั้งตัวเหมือนถูกแช่น้ำจนพองขึ้นมาหนึ่งรอบ
ตัวเหลียงฉวี่เองไม่รู้สึกไม่สบายแม้แต่น้อย เขารู้สึกเพียงว่าผิวหนังอุ่นๆ และกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าตื่นตะลึง
น้ำมัน เหงื่อถูกขับออกมาจากผิวหนังอย่างละเอียด ก่อนจะถูกน้ำชะล้างพัดพาไป
หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน ผิวหนังที่พองบวมก็ราวกับลูกโป่งที่ถูกเจาะ ยุบลงในพริบตา กลับมาแนบสนิทกับรูปร่างของเหลียงฉวี่อีกครั้ง
ความสบายที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนผุดขึ้นในใจ เหมือนกับการได้ดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ ในยามที่ร้อนจนเกือบบ้า
สำเร็จแล้ว!
เหลียงฉวี่ระบายลมหายใจออกมาอย่างแรง เขากระโดดขึ้นจากน้ำ ลงบนพื้น ร่างกายสง่างามแข็งแกร่ง เส้นกล้ามเนื้อทั่วร่างชัดเจนไหลลื่น ไม่เหลือเค้าความผอมแห้งเมื่อก่อน
มองดูน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำในโอ่ง เขาโบกมือเบาๆ น้ำสะอาดในถังไม้ข้างๆ แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งม้วนสบู่ขึ้นมาสร้างฟองแล้วพุ่งเข้าหาตัวเขา หลังจากล้างจนสะอาดแล้ว น้ำสะอาดอีกก้อนก็ม้วนตัวขึ้นมาชะล้างให้สดชื่น
สวมเสื้อชั้นในตัวใหม่ เหลียงฉวี่รู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาไหนสบายเท่านี้อีกแล้ว ความรู้สึกชาซ่าเมื่อผิวหนังสัมผัสกับผ้าฝ้าย
เขากำหมัดแน่น อารมณ์พลุ่งพล่าน
ไม่คิดว่าความแตกต่างระหว่างสำเร็จกับไม่สำเร็จจะใหญ่ขนาดนี้
แม้ผิวหนังทั่วร่างจะดูหรือสัมผัสเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อถูกโจมตีจะพบว่า ผิวหนังของเขานั้นเหนียวและหนาราวกับมีหนังวัวหลายชั้นหุ้มอยู่ ดาบทั่วไปไม่อาจแทงทะลุ
ชี่เลือดก็ขึ้นไปอีกระดับ ยังไม่ได้รวมพลัง จึงยังไม่รู้ว่าชี่ในอกจะหนาแน่นเพียงใด แต่ร่างกายเบาหวิว ราวกับถอดเสื้อเกราะเหล็กออก ให้ความรู้สึกเบาตัวมากกว่าตอนสวมรองเท้าถ่าอวิ๋นที่พี่สาวคนที่ห้าให้มาเสียอีก
การควบคุมน้ำก็ง่ายขึ้นด้วย
เหลียงฉวี่เพียงนึกในใจ น้ำในโอ่งทั้งหมดก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ง่ายดายมาก ง่ายกว่าเดิมมากทีเดียว
จากปริมาณน้ำตรงหน้า ลองประเมินขีดจำกัดในการควบคุมน้ำดู พบว่าความสามารถในการควบคุมน้ำของเขาเพิ่มขึ้นถึงห้าร้อยชั่งแล้ว!
ติดต่อกับเจ๋อติ่ง ระดับการผสานกับลิงน้ำไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังคงอยู่ที่ 49
ดังนั้นที่แท้แล้ว ระดับการผสานเท่ากัน เมื่ออยู่บนพื้นฐานร่างกายที่ต่างกัน ก็ให้ผลต่างกันด้วย?
เหลียงฉวี่ดีใจมาก ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าระดับการผสานสูงสุด พลังน้ำหกร้อยชั่งก็แรงมากแล้ว แต่หลังจากที่รู้ถึงอนาคตในเส้นทางนักยุทธ์ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าลิงน้ำวิญญาณน้ำสีขาวนั้นไม่น่าจะไปไกล
ตอนนี้ดูแล้ว ที่แท้คนที่ไปไม่ไกลคือตัวเขาเอง?
ถ้าทะลวงด่านครบทั้งสี่ด่าน ลิงน้ำที่มีระดับการผสานสูงสุด การควบคุมน้ำก็ต้องได้หลายตันแน่ๆ สิ่งที่น่าดีใจที่สุดคือ เหลียงฉวี่ยังพบว่า การเชื่อมโยงทางจิตในสมองของเขาถูกบีบอัด ไม่สิ ควรพูดว่าจิตของเขาเติบโตขึ้น มีพื้นที่ว่างที่ไม่สามารถขยับได้เพิ่มขึ้นมาอีกที่หนึ่ง นั่นหมายความว่าตอนนี้เขามีกำลังเหลือพอที่จะควบคุมสัตว์น้ำตัวอื่นได้!
เป็นโชคดีซ้อนโชคดี
จู่ๆ ก็พบว่าความสามารถสองอย่างของตนเองนั้นเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว กลับได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า ไม่มีอะไรจะสุขใจไปกว่านี้อีกแล้ว
เหลียงฉวี่มัดผมให้เรียบร้อย มองดูน้ำที่ท่วมพื้น เปิดประตูใหญ่จะเอาน้ำออกไป ไม่คาดว่าประตูจะปะทะเข้ากับบางสิ่งจนรู้สึกแปลกๆ
"โอ๊ย!"
เหลียงกวงเทียนกุมจมูก เซถอยหลังโซเซ ก้นกระแทกพื้น นอนแผ่หลาอยู่กับพื้น
ถุงผ้าปากแคบที่เขากำไว้ในมือร่วงลงพื้นไปด้วย ปากถุงหลุด ข้าวขาวๆ ไหลออกมา
เหลียงฉวี่ก้มมอง ดูไม่ออกว่าเป็นการมาเยือนแบบไหน เขาจึงกอดอกพิงประตู พูดอย่างขบขัน "เอ๊ะ นี่มันลุงที่แสนดีของข้าไม่ใช่หรือ? วันนี้มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?"
จมูกของเหลียงกวงเทียนแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมา ได้ยินเสียงแล้วรีบลุกขึ้นจากพื้น พอเงยหน้าเห็นเหลียงฉวี่ก็ตกใจจนพูดไม่ออก
เดี๋ยวก่อน นี่เป็นหลานชายเขาจริงหรือ?
ทำไมไม่เจอกันแค่ครู่เดียว ถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
เหลียงกวงเทียนวิ่งออกไปข้างนอก มองไปรอบๆ ไม่ผิดนี่นา นี่มันกระท่อมเล็กๆ ของพี่ชายเขานั่นแหละ!
เขาเข้าไปดูเหลียงฉวี่ใกล้ๆ อีกครั้ง พบว่าเป็นหลานชายของตัวเองจริงๆ โครงหน้าเหมือนกันไม่มีผิด เพียงแต่ขาวขึ้นมาก ผิวยังคงเข้มอยู่ แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าดำ แค่สีแทน ผิวหน้าทั้งหมดเนียนละเอียดเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนลูกชาวประมงเลยสักนิด
แม้แต่ความสูงก็เพิ่มขึ้น
ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมจริงๆ
เหลียงฉวี่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย "มองอะไรอยู่?"
เหลียงกวงเทียนหันสายตากลับมา ยิ้มแหยๆ "อาสุ่ย คราวก่อนเจ้ามาขอยืมข้าวที่บ้านข้าไม่ใช่หรือ ตอนนั้นบ้านพวกเราหาข้าวไม่ได้จริงๆ แต่เจ้าไม่รู้หรอก ช่วงนั้นน่ะ ข้ากินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ เป็นห่วงเจ้าที่อยู่คนเดียวอ้างว้าง มีแต่ข้าที่เป็นลุงให้พึ่งพา
ตอนนี้จ่ายภาษีฤดูใบไม้ร่วงเสร็จแล้ว ในที่สุดก็เก็บออมได้นิดหน่อย ก็เลยรีบเอามาให้เจ้า เป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่อดตายใช่ไหม?"
หลังจากเหลียงกวงเทียนกลับไป ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
เด็กจนที่เกือบอดตาย จะมีความสามารถยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?
คิดไปคิดมา ภายใต้การเร่งเร้าของเมียตัวเอง จึงรีบคว้าข้าวมาหยิบมือหนึ่ง พยายามทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหลียงฉวี่แน่นอนว่าไม่เชื่อคำโกหกพรรค์นี้ มีแต่คนโง่ถึงจะเชื่อ เมื่อครู่เขาเห็นเหลียงกวงเทียนอยู่ในฝูงชนแล้ว แต่เดิมไม่คิดจะสนใจ ตอนนี้กลับทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรมาเคาะประตูใหม่ เขาก็ต้องยอมรับว่าน่าทึ่ง
ตอนที่ไปขอยืมข้าวที่บ้านเหลียงกวงเทียน ไม่ให้ยืมก็แล้วไป ยังด่าเขาต่อหน้าผู้คนว่าเป็นตัวอัปมงคล ทำพ่อแม่ตัวเองตายจาก รังเกียจว่าเขานำโชคร้ายมาให้แล้วไล่ออกไป
เรื่องพวกนี้ เหลียงกวงเทียนไม่พูดสักคำ เหลียงฉวี่ก็ไม่ลืมสักคำ
"ข้าวไม่ต้องแล้ว เจ้าถือกลับไปกินเองเถอะ ตอนนี้ข้าไม่ขาดข้าวแล้ว"
"งั้นก็ดีสิ ข้าเป็นห่วงจริงๆ..."
เหลียงฉวี่พูดจบก็จะปิดประตู ไม่อยากจะคุยกับเหลียงกวงเทียนอะไรอีก ยิ่งไม่อยากฟังเขาพูด
เวลานี้ต่างจากเมื่อก่อน ไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียง ไม่มีประโยชน์แถมยังเสียศักดิ์ศรี
"เอ๊ะๆๆ อย่าปิดประตูสิ อย่าปิดประตู"
เหลียงกวงเทียนรีบยื่นมือไปกั้นไว้ระหว่างบานประตูทั้งสอง
เหลียงฉวี่ไม่กล้าปิดแรงๆ ไม่ใช่เพราะกลัวทำร้างเหลียงกวงเทียน แต่เพราะประตูไม่แข็งแรง ก่อนจะทำร้ายคนคงทำประตูพังก่อน จึงเปิดประตูค้างไว้ จ้องมองอีกฝ่ายเย็นชา
เหลียงกวงเทียนถูกจ้องจนขนลุก แต่ก็ยังฝืนพูดต่อ "ลูกคนที่หกของข้าก็อายุสิบสี่สิบห้าแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์เอกของอาจารย์หยางแล้ว มีอนาคตแล้ว เจ้าดูสิ จะพาน้องชายของเจ้าเข้าไปด้วยได้ไหม เขาฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เจ้าก็รู้ อนาคตต้องมีชื่อเสียงแน่ จะได้ช่วยเจ้าได้มาก!"
(จบบท)