บทที่ 138 งานอดิเรกแปลกๆ
“แต่ไม่ต้องกลัวนะ ระบบส่วนตัวของพวกเธอทุกคนมีการฝังตัวติดตามเอาไว้ ถ้าเจอสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือทนไม่ไหวอยากจะยอมแพ้ ให้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เราจะตามหาและช่วยเหลือพวกเธอทันที”
“แน่นอน หากใช้ตัวช่วย จะถือว่าภารกิจล้มเหลว และจะถูกหักคะแนนตามเกณฑ์”
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเธอจับกลุ่มได้ตามอิสระ แล้วก็ออกเดินทางได้ ขอให้ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย แยกย้ายได้!”
หลังจากครูฝึกพูดจบ นักเรียนก็เริ่มมองหาทีมทันที
บางคนเตรียมการล่วงหน้า โดยตกลงกับเพื่อนเอาไว้ก่อนแล้ว
เช่น ซวี่เสี่ยวกวง เขาวิ่งปรู๊ดมาหาเหยียนเชียนอี้อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “พี่! เราออกเดินทางกันเถอะ!”
เขาช่วยเหยียนเชียนอี้และชูฮวาต่อแถวรับอาหารมานานหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดวันนี้ก็ได้โอกาสนี้เสียที
การได้ร่วมทีมกับคนแข็งแกร่ง มันยอดเยี่ยมสุดๆ!
และในการฝึกภาคสนามแบบนี้ นักเรียนสายพิเศษและสายแพทย์มักจะได้เปรียบมากที่สุด
ขณะนั้น หยุนมู่เดินเข้ามา “ขอฉันเข้าทีมด้วยคนสิ”
ซวี่เสี่ยวกวงพูดพลางทำหน้าบูด “ในทีมเรามีสายพิเศษตั้งสามคนแล้ว ควรหาคนจากสายอื่นมาช่วยเสริมจะดีกว่า”
แต่ชูฮวากลับพูดว่า “เอาสิ หยุนมู่ มาด้วยกันเถอะ!”
เมื่อชูฮวามองหยุนมู่ด้วยสายตาเป็นประกาย เหยียนเชียนอี้ก็กลืนคำปฏิเสธลงไป
จริงๆแล้วเธอไม่อยากพาคนเยอะ เพราะยิ่งมีคนมากก็ยิ่งยุ่งยาก หากชูฮวาไม่ใช่เพื่อนของเธอ
และถ้าซวี่เสี่ยวกวงงไม่ตามตื๊อ เธอก็อยากออกเดินทางคนเดียว
“หาคนจากสายแพทย์เพิ่มอีกคนดีกว่า เผื่อเจ็บตัวระหว่างทางจะได้มีคนรักษา” ซวี่เสี่ยวกวงมองไปรอบๆ เพื่อหานักเรียนใหม่จากสายแพทย์
ในป่าหากเกิดบาดเจ็บ แม้แต่แผลถลอกเล็กๆ ถ้าไม่ได้รับการดูแลดีๆ แผลก็อาจติดเชื้อและลุกลามได้ง่าย
การมีคนจากสายแพทย์มาร่วมทีมจึงเป็นความคิดที่ปลอดภัยกว่า
ชูฮวาพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องหรอก เชียนอี้เก่งเรื่องแพทย์ เธอเรียนรู้มาจากแม่ตั้งแต่เด็ก ความสามารถของเธอไม่แพ้นักเรียนใหม่ในสายแพทย์พวกนั้นหรอก”
“จริงเหรอ!” ซวี่เสี่ยวกวงหันมองเหยียนเชียนอี้ด้วยความชื่นชมมากขึ้น “พี่ผมยังเก่งเรื่องแพทย์อีกเหรอ! ไม่เสียแรงที่เป็นพี่ผม สุดยอดไปเลย!”
“ไปเถอะ” เหยียนเชียนอี้พูดพลางเดินนำหน้าไป
ซวี่เสี่ยวกวงรีบวิ่งไปข้างหน้าเธอ “พี่ ผมเดินนำสำรวจเส้นทางเอง พี่เดินกลางๆ จะปลอดภัยกว่า”
หยุนมู่เดินตามหลังมา เหลือบมองเป้สะพายของเหยียนเชียนอี้ที่ดูแบนๆแล้วถามว่า
“เชียนอี้ เธอไม่ได้เอาอะไรมาเยอะ แล้วทำไมต้องสะพายเป้ใบใหญ่ขนาดนั้น”
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะปลูกดอกไม้อะไรในสวนดี เลยว่าจะเก็บดอกไม้ป่าสวยๆไปปลูกที่บ้าน” เหยียนเชียนอี้พูด
สำหรับคนอื่น การฝึกครั้งนี้คือการเอาตัวรอดในป่า แต่สำหรับเธอ มันคือการออกล่าขุมทรัพย์
ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีพืชสมุนไพรเยอะแน่นอน ถ้าโชคดี บางทีอาจจะเจอของล้ำค่าก็ได้
หยุนมู่มองแผ่นหลังของเหยียนเชียนอี้ด้วยแววตาครุ่นคิด เธอช่างมีงานอดิเรกที่แปลกจริงๆ
ซวี่เสี่ยวกวงหันกลับมามองเหยียนเชียนอี้แล้วพูดว่า
“พี่ชอบดอกไม้ป่าสินะ งั้นเดี๋ยวผมช่วยเก็บมาให้เยอะๆเลย!”
เหล่านักเรียนเริ่มทยอยออกเดินทางทีละกลุ่ม
ในขณะเดียวกัน หานหรูยี่ยังไม่ได้ทีม มีเพียงฉู่หยางที่อยู่ข้างๆ
เธอรีบเดินเข้าไปหา หวังซานซานกับซูเว่ย พลางพูดกับหวังซานซานว่า
“ซานซาน มาร่วมทีมกับฉันเถอะ ส่วนเว่ยเว่ยไม่ต้องก็ได้ กลุ่มเรามีผู้หญิงสองคนก็พอแล้ว”
หวังซานซานหัวเราะเยาะ “ขอโทษนะ ฉันมีทีมแล้ว”
ตั้งแต่รู้ว่าเหยียนเชียนอี้มีพลังจิตสูง หวังซานซานก็ยิ่งเกลียดหานหรูยี่มากขึ้น เพราะข้อมูลเกี่ยวกับเหยียนเชียนอี้ที่หานหรูยี่ให้เธอมานั้นผิดหมด
ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ยังเกือบทำให้เธอเดือดร้อน!
หานหรูยี่ชะงักไปเล็กน้อย “พวกเธอไม่ต้องการนักเรียนสายแพทย์เหรอ”
“กลุ่มเรามีแล้ว เว่ยเว่ยไปกันเถอะ”
ในภารกิจครั้งนี้ นักเรียนสายแพทย์เป็นที่ต้องการอย่างมาก แต่เนื่องจากจำนวนนักเรียนสายนี้มีเยอะจนล้น ทีมบางทีมจึงมีนักเรียนสายแพทย์ถึงสองคน
หานหรูยี่เดินกลับมาหาฉู่หยาง เห็นเขามีท่าทีไม่สนใจใยดี เธอจึงบ่นว่า
“ช่วงนี้คุณเป็นอะไรไปเนี่ย ช่วยกระตือรือร้นหน่อยได้ไหม ไปหาคนมาร่วมทีมกับเราสิ”
ฉู่หยางตอบด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “เดี๋ยวก็เจอคนที่ยังไม่มีทีมเอง ค่อยไปจับกลุ่มก็ได้”
ตั้งแต่งานเลี้ยงต้อนรับคืนแรกที่ถูกเหยียนเชียนอี้ปฏิเสธ ฉู่หยางก็กลายเป็นคนหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความสนใจในอะไรอีกเลย
ก่อนหน้านี้ที่เขาสอบเข้าแผนกหุ่นยนต์รบได้ เขายังพอมีความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้าง
แต่เมื่อเข้ามาเรียนจริง เขาก็พบว่ามีนักเรียนอีกมากที่เก่งกว่าเขา
เขากลายเป็นคนไร้ตัวตนในโรงเรียน ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย
พอรวมกับท่าทีเย็นชาของเหยียนเชียนอี้ต่อเขา สิ่งต่างๆที่ไม่เป็นดั่งใจ ทำให้เขาหมดความกระตือรือร้นไปเสียทั้งหมด
ตรงกันข้ามกับหานหรูยี่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
แม้ฉู่หยางจะไม่อยากขยับตัว เธอก็ยังพยายามเดินหาและมองหาคนเก่งๆเพื่อมาร่วมทีม
หานหรูยี่เคยใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ในฐานะคุณหนูของตระกูลเหยียน เธอยิ่งเชื่อมั่นว่าแค่เธอพยายามไม่ย่อท้อ เธอจะสามารถปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้เรื่อยๆ
ดังนั้น แม้จะรู้ว่าเหยียนเชียนอี้มีพลังจิตสูง เธอก็แค่รู้สึกโกรธและอิจฉา แต่ไม่ได้ยอมแพ้หรือหมดกำลังใจ
ยังไงเธอกับเหยียนเชียนอี้ก็อยู่คนละแผนก ไม่ว่าเหยียนเชียนอี้จะเก่งแค่ไหนในสายพิเศษ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
ทางด้านทีมของเหยียนเชียนอี้ พวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่าลึกเรื่อยๆ
ในตอนแรกยังมีทีมอื่นเดินอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อเดินไปสักพัก ทุกทีมก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง
เมฆหมอกที่ปกคลุมในหุบเขาค่อยๆจางลง แสงอาทิตย์ส่องลงมา
ซวี่เสี่ยวกวงรีบหยิบหมวกปีกกว้างขึ้นมาสวมทันที
หยุนมู่เย้ยหยัน “นี่นายทำไมกลายเป็นสาวหวานไปแล้ว ใส่หมวกด้วยเหรอ”
ปกติในห้องเรียน ซวี่เสี่ยวกวงเป็นคนลุยๆ ห้าวๆ ไม่แคร์อะไร
“นายไม่เข้าใจหรอก พี่ฉันไม่ชอบคนผิวคล้ำ จากนี้ฉันต้องใส่ใจเรื่องการกันแดดและทำให้ตัวเองขาวขึ้น” ซวี่เสี่ยวกวงเชิดหน้าเล็กน้อย ก่อนจะผูกเชือกหมวกให้แน่น
หยุนมู่ตอบกลับ “คนที่ผิวคล้ำตั้งแต่เกิด จะทำให้ขาวก็ไม่ได้หรอก”
“บ้าเอ๊ย! นายนั่นแหละหน้าดำ!” ซวี่เสี่ยวกวงถลึงตามองหยุนมู่
ผิวของหยุนมู่ที่เป็นสีแทนยังไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก
ชูฮวาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “พวกนายช่วยประหยัดแรงหน่อยได้ไหม ฉันหิวจะแย่แล้ว”
ซวี่เสี่ยวกวงพูดปลอบ “อดทนหน่อย เราเดินมาแค่หกชั่วโมงเอง ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ โรงเรียนไม่มีทางเอาธงมาวางไว้ใกล้ๆหรอก”
ในภูเขาใหญ่แบบนี้ การจะหาธงเล็กๆ สักผืน เปรียบเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
เหยียนเชียนอี้มองไปรอบๆ “พอแล้ว หาแถว นี้แหละ ตรงที่ใกล้แหล่งน้ำ เราจะได้หยุดพัก หาอะไรกินกันก่อน”
ซวี่เสี่ยวกวงที่เมื่อครู่ยังอยากเดินต่อ รีบพยักหน้าทันที “ดีเลย!”
ทั้งสี่คนหยุดพักที่ลำธารสายหนึ่ง
ซวี่เสี่ยวกวงเรียกเหยียนเชียนอี้ไปข้างๆ อย่างลึกลับแล้วถามว่า “พี่ หิวหรือยัง”
เหยียนเชียนอี้พยักหน้า ช่วงบ่ายสามโมงแล้ว พวกเขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง แน่นอนว่าเธอหิว
ทันใดนั้น ซวี่เสี่ยวกวงหยิบช็อกโกแลตออกมาจากที่ซ่อนเหมือนเล่นมายากล “นี่ กินซะ จะได้เพิ่มพลัง อีกเดี๋ยวผมจะไปจับปลาให้กิน”
เหยียนเชียนอี้มองเขาด้วยความประหลาดใจ “นี่นายแอบเอาอาหารมาเหรอ”
ก่อนออกเดินทาง ครูฝึกตรวจร่างกายนักเรียนทุกคนอย่างละเอียดแล้ว
“ชู่! พูดเบาๆ หน่อย เดี๋ยวพวกนั้นได้ยิน”
แต่ยังไม่ทันจบประโยค ก็มีหัวสองหัวก็โผล่มาจากข้างหลังเขา…