บทที่ 1127 (248) การเปลี่ยนแปลงความคิดโดยไม่ตั้งใจ (ตอนฟรี)
บทที่ 1127 (248) การเปลี่ยนแปลงความคิดโดยไม่ตั้งใจ
“ฉัน... ฉันทำอะไรผิดอีกแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มร่างผอมถามด้วยความตกใจ หลังจากโดนเสียงตวาดของจี้เฟิงทำให้สะดุ้งเฮือก
“ทำอะไรผิดงั้นเหรอ?”
จี้เฟิงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ความยากจนของครอบครัวเป็นข้ออ้างให้แกเดินทางผิดได้รึไง?”
เดิมทีเขาไม่อยากใส่ใจเด็กคนนี้เท่าไหร่ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ไฟโทสะของเขาปะทุขึ้นทันที
“ไอ้น้อง ฟังให้ดี!”
จี้เฟิงคว้าคอเสื้อของชายหนุ่มและดึงขึ้นมาจนตัวเขาแทบจะลอยจากพื้น “ความยากจนในครอบครัวไม่ใช่ข้ออ้างให้แกทำเรื่องแบบนี้! อย่าคิดว่าพวกเราทุกคนมีชีวิตสบายกว่าหรือมีครอบครัวร่ำรวยมาตั้งแต่แรก! ฉันเองเคยยากจนกว่าครอบครัวแกเสียอีก แกเคยมีชีวิตที่ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะไหม? แกเคยฉลองปีใหม่ท่ามกลางหิมะที่เย็นยะเยือกโดยที่แกมีเพียงแค่เสื้อผ้าบางเฉียบกับรองเท้าแตะขาดๆแล้วทำได้แค่นั่งมองคนอื่นใส่เสื้อผ้าหนาๆและรองเท้าใหม่ๆหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มร่างผอมมองดูจี้เฟิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว จี้เฟิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ฉันก็ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาแล้ว! แต่ฉันเลือกเดินทางผิดหรือเปล่า? ฉันเลือกที่จะทำอาชีพสุจริต ฉันช่วยแม่เก็บของเก่า ขายผัก!”
เขาผลักชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นออกไปอย่างแรงแล้วส่ายหัว “การเดินทางผิดไม่ใช่เพราะครอบครัวแกจน แต่เป็นเพราะแกไม่มีความมุ่งมั่นเองต่างหาก แกเองไม่คิดจะพยายามเลย! ถ้าแกมีความมุ่งมั่นจริงๆ วิธีหาเงินมีตั้งเยอะ งานพิเศษ งานพาร์ทไทม์ และตอนนี้เถิงเฟยกรุ๊ปก็มีโครงการร่วมมือกับสหพันธ์มหาวิทยาลัยแกทำไมไม่ไปสมัคร? ทำไมไม่พยายามล่ะ?”
“ตอนนี้แกกลับมาพูดว่าบ้านจน แต่ในมหาวิทยาลัยก็ยังมีโอกาสทำงานพิเศษตั้งมากมาย ทำไมแกไม่ไปหาโอกาสเหล่านั้นล่ะ?!” จี้เฟิงแสยะยิ้มเย็นชาและพูดต่อ “ฉันว่าแกมันแค่คนไร้ค่า ขี้เกียจสันหลังยาว ชอบหาเงินง่ายๆ โดยไม่สนว่าเส้นทางนั้นจะถูกต้องหรือเปล่า! อย่ามาใช้ข้ออ้างบ้านจนเพื่อให้การทำชั่วของแกมีเหตุผลรองรับหน่อยเลย!”
ชายหนุ่มร่างผอมจ้องมองจี้เฟิงด้วยความงุนงง คล้ายจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมจี้เฟิงถึงโกรธมากขนาดนั้น
“ฟังให้ดีนะ อย่าเอาความจนของบ้านแกมาเป็นข้ออ้างอีกต่อไปเลย แกอายุยี่สิบกว่าแล้ว ถ้าบ้านจนจริง ทำไมแกไม่คิดหาวิธีเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่กลับมาทำตัวงี่เง่าอยู่ที่นี่!”
จี้เฟิงแสยะยิ้ม “ดูตัวแกตอนนี้สิ เพียงแค่เงินนิดเดียว แต่แกกลับทำตัวเหมือนหมาตัวหนึ่ง ถ้าแกคิดว่าการที่แกขายศักดิ์ศรีเพราะเงินเพียงเล็กน้อย และการกระทำของแกไม่ใช่เรื่องน่าละอาย ตอนที่ฉันด่าแกอยู่ตอนนี้ แกจะไม่เถียงกลับเลยจริงๆน่ะเหรอ? นั่นมันเป็นเพราะแกรู้อยู่แก่ใจยังไงล่ะว่าสิ่งที่แกทำมันผิดจริง!”
“…ไสหัวไป!”
จี้เฟิงตะโกนด้วยความโกรธ “ไปบอกไอ้คนที่แกเรียกว่าคุณชายถันด้วยว่า มันตาถั่วมากที่จ้างคนอย่างแกมาทำงาน! แล้วก็บอกมันด้วยว่าถ้ามันกล้ามายุ่งกับพี่น้องของฉัน ฉันจะจัดการมันให้สิ้นซาก! และถ้ามันคิดใช้อำนาจในครอบครัวรังแกคนอื่น ฉันก็จะล้างบางทั้งครอบครัวมันเลย! ไปให้พ้น!”
ในชั่วพริบตา เด็กหนุ่มร่างผอมบางที่ถูกข่มขวัญจนวิญญาณแทบหลุดลอย รีบหันหลังแล้ววิ่งหนีไม่คิดชีวิต โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
“ไสหัวไป! ไปให้ไกล อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าแกอีก ไอ้ขี้แพ้ไร้ค่า!” จี้เฟิงคำรามลั่นจากด้านหลัง ใบหน้าของเขาเย็นเยียบจนชวนให้ขนลุก
เฉินจิ้งยี่จ้องมองจี้เฟิงด้วยความตกตะลึง ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ‘นี่เขาเป็นบ้าอะไรอีกแล้ว?’
ทว่าจางเล่ยกลับสงบนิ่ง เพียงจ้องมองไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มผอมบางวิ่งหนีไป แล้วอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
จี้เฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ในใจของเขากำลังเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ความยากจนมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ? เอาความยากจนมาเป็นข้ออ้างแบบนี้ ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือยังไง!
“เจ้าบ้า นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ผ่านไปสักพัก จางเล่ยจึงเอ่ยถามขึ้นมา
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรแค่รู้สึกแย่ในใจ ทำไมบางคนถึงเป็นแบบนี้นะ…”
“เจ้าบ้า จริงๆฉันเข้าใจความคิดของนาย แต่ทัศนคติที่คนเรามีต่อชีวิตมันไม่เหมือนกันทุกคนหรอก” จางเล่ยพูด “นายไม่สามารถคาดหวังให้คนอื่นเป็นเหมือนกับนาย ที่จะมองโลกในแง่ดีและพยายามก้าวข้ามปัญหาเสมอ เพราะทุกคนไม่เหมือนกัน ทุกคนก็มีสถานการณ์และความสำเร็จในชีวิตที่แตกต่างกัน”
“ไอ้หนุ่มนั่นมันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะมันไม่มีความทะเยอทะยานต่างหากเล่า!” จางเล่ยยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก “เจ้าบ้า เรื่องแบบนี้นายไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก”
“ก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอก แค่ความคิดของฉันยังปรับเปลี่ยนไม่ทัน” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “ฉันมองตัวเองมาตลอดว่าเป็นคนจน ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนร่ำรวย… คงเพราะประสบการณ์ตอนเด็กๆ มันฝังใจฉันลึกเกินไป”
“ฉันว่านายต้องเปลี่ยนความคิดบ้างแล้วล่ะ!” จางเล่ยพูด “เจ้าบ้า จริงๆแล้วความคิดของนายหลายๆอย่างยังติดอยู่กับอดีต ซึ่งนั่นไม่ดีเลย นายต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไป”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนพูดกันว่า สภาพแวดล้อมที่คนโตมาอาจมีผลต่อชีวิตทั้งชีวิต... ดูเหมือนว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กมันมีผลกระทบกับฉันมากจริงๆ”
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่มองจี้เฟิง ก็มักจะเห็นแค่ด้านที่ประสบความสำเร็จของเขา การที่เขาสามารถสร้างกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มูลค่าหลายพันล้านได้ในเวลาแค่สองปี แถมยังมีบ้านหรู รถยนต์หรู และที่สำคัญที่สุด เขายังเป็นทายาทผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลจี้ เป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่มีเกียรติ
อย่างไรก็ตามลึกๆแล้วเขารู้ดีว่าตัวเขาเองยังคงไม่เคยลืมที่มาของตัวเองเลย เขามีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่ยากจน เขาเคยเป็นลูกชาวนา และเขาก็เคยภูมิใจในที่มาของตัวเองเสมอ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ทำนาเอง แต่แม่ของเขาก็เคยเป็นชาวนา!
ที่สำคัญคือเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลจี้ แม้จะเป็นความจริงในทางการ แต่ในใจเขา เขายังคงคิดว่าตัวเองเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ตามแม่ไปเก็บขยะและขายผักตามตลาด
และก็เพราะประสบการณ์เหล่านี้เองที่ทำให้จี้เฟิงมุ่งมั่นในการทำงานหนักมาโดยตลอด และความมุ่งมั่นของเขาก็ไม่เคยลดลงเลย แม้จะเจออุปสรรคหรือความยากลำบากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้
เพราะในความคิดของเขา การยอมแพ้หมายถึงอดอยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก แต่ก็เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้จี้เฟิงสามารถยืนหยัดและมุ่งมั่นจนถึงทุกวันนี้!
ทว่าในวันนี้ การได้พบกับผู้ชายคนนี้กลับทำให้จี้เฟิงรู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก ความยากจนไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าอับอายเลย อาจจะเป็นเพราะหลายๆเหตุผล ทำให้ไม่มีความสามารถที่จะหาเงินได้มากนัก อย่างแม่ของเขา “เซียวซูเหม่ย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัว จะหาเงินได้มากสักแค่ไหน?
เขารู้สึกว่า การที่แม่ของเขาไม่สามารถหาเงินได้มากมาย แล้วต้องอยู่กันแบบยากจน มันไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายเลย แต่กลับมองว่า แม่ของเขานั้นยอดเยี่ยมและน่าทึ่งมาก!
อย่างไรก็ตาม การใช้ความยากจนเป็นข้ออ้างในการทำเรื่องไม่ดี ทำให้จี้เฟิงรู้สึกว่า ไอ้ผู้ชายร่างผอมนั่นมันดูถูกความหมายของคำว่า ‘ความพยายาม’ ไปเลย!
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว...” จี้เฟิงส่ายหัว คำพูดของจางเล่ยก็มีเหตุผลดี เขาทำได้แค่ควบคุมตัวเอง ไม่สามารถควบคุมคนอื่นได้ ถึงแม้เขาจะโมโหแค่ไหน หากคนๆนั้นอยากทำตัวเหลวไหล เขาก็จะยังคงทำมันต่อไป ทุกคนมีโอกาสและโชคชะตาที่แตกต่างกัน...
แต่จี้เฟิงยังคงไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดนี้ของตัวเอง
เขารู้สึกว่ามุมมองในการต่อสู้และพยายามอย่างหนักเพราะความยากจนนี้ คือสิ่งที่ช่วยผลักดันเขาให้เดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง
ในความเป็นจริง จี้เฟิงไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แม้คนทั้งโลกจะไม่เห็นด้วยกับมุมมองนี้ แต่ถ้าหากเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง และทำให้เขายังคงมุ่งมั่นและต่อสู้ต่อไป นั่นก็เพียงพอแล้ว...
พูดได้เลยว่า คำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจของชายหนุ่มร่างผอมคนนั้น ทำให้ทัศนคติของจี้เฟิงเกิดเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
“เล่ยซือฝึกซ้อมให้ดีนะ เวลาไม่รอใคร ตอนนี้ฉันก็ต้องกลับแล้ว” จี้เฟิงส่ายหัว ไล่ความคิดเหล่านั้นออกจากหัว เขามองดูเวลา มันเกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว และท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว เขาต้องไปรับแมงมุมขาว จะได้รีบกลับบ้าน
“จะรีบกลับทำไมล่ะ” จางเล่ยพูดยิ้มๆ “ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี ไปกินด้วยกันดีกว่า จะได้นั่งคุยกันด้วย อย่างน้อยจิ้งยี่จะได้เล่าเรื่องคุณชายถันให้เราฟัง นายก็ต้องฟังด้วยนะ!”
จี้เฟิงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายิ้มๆแล้วพูดว่า “ก็ได้ เดี๋ยวฉันบอกเล่ยเล่ยก่อน”
หลังจากนั้น เขาก็โทรหาถงเล่ยเพื่อบอกว่าเขาจะไปทานข้าวกับจางเล่ยและจะกลับช้ากว่าปกติ แล้วก็โทรแมงมุมขาวให้เธอไปรอที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย
เมื่อจางเล่ยเห็นแมงมุมขาว เขาก็อดที่จะอ้าปากค้างไม่ได้ และถามด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เจ้าบ้า นี่... เธอ... เธอ...?”
“เธอคือไป๋จู บอดี้การ์ดส่วนตัวของฉัน” จี้เฟิงยิ้มแล้วแนะนำ
“เออ! ฉันรู้แล้วว่าเธอคือไป๋จู!” จางเล่ยโบกมือแล้วดึงจี้เฟิงมาข้างๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงเบา “เจ้าบ้า เธอเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเราไม่ใช่เหรอ? ไหงกลายมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของนายได้?”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน...” จี้เฟิงหัวเราะ “จริงๆ แล้วไป๋จูไม่ได้เป็นอาจารย์สอนหนังสือ เธอมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อ... อืม เพื่อปฏิบัติภารกิจ”
“เธอเป็นคนของหน่วยงานลับหรือเปล่า?” จางเล่ยถามทันที
“ใช่ เธอเป็นคนของหน่วยงานลับ” จี้เฟิงพูดพร้อมกลั้นขำและพยักหน้า “พอดีฉันต้องการบอดี้การ์ด และฉันมีความเกี่ยวข้องกับหัวหน้าของเธอ ก็เลยขอเธอมาทำงานด้วย”
“สุดยอดเลย นายนี่เก่งจริงๆ!”
จางเล่ยชูนิ้วโป้งขึ้น ไม่รู้ว่าจะชมหรือเหน็บแนม “เจ้าบ้า นายมันสุดยอดจริงๆนะ อาจารย์คนไหนสวยๆ นายไปยุ่งเกี่ยวด้วยหมดเลย! สุดยอด!”
“ธรรมดา” จี้เฟิงพูดอย่างใจเย็นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการถ่อมตัวใดๆ
“พูดจาน่าหมั่นไส้!”
จางเล่ยพูดพร้อมกับจ้องตาเขม็ง “ฉันจะบอกนายไว้เลยนะ นายห้ามทำให้เล่ยเล่ยเสียใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ระวังตัวให้ดีเถอะ!”
“แน่นอนๆ!” จี้เฟิงรีบพยักหน้า พร้อมรับคำทันที
หลังจากให้คำเตือน จางเล่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้น เขาเชื่อว่าจี้เฟิงคงรู้ดีว่าจะจัดการตัวเองอย่างไร จึงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ แต่เปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องมื้อเย็นแทน
“ร้านปิ้งย่างแถวนี้อร่อยมากเลยนะ อากาศร้อนๆ แบบนี้ กินของปิ้งย่างสักหน่อยแล้วซดเบียร์เย็นๆซักแก้ว อืม… สุดยอดไปเลย!”
ที่ร้านปิ้งย่างแห่งหนึ่ง จางเล่ยยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกับจี้เฟิง ก่อนจะเงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วเอ่ยด้วยความชื่นชม “นี่แหละ ชีวิตที่ยอดเยี่ยม!”
จี้เฟิงไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่หันไปมองเฉินจิ้งยี่และถามด้วยรอยยิ้มว่า “จิ้งยี่ ถ้าสะดวก ช่วยเล่าเรื่องของ ‘คุณชายถัน’ ที่คนพวกนั้นพูดถึงให้ฟังหน่อยได้ไหม? แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ถือว่าเราไม่ได้ถามก็แล้วกัน!”
.....จบบทที่ 1127~