บทที่ 1 งานหนักสามปีพังทลายในวันเดียว?
บทที่ 1 งานหนักสามปีพังทลายในวันเดียว?
"อย่าโทษตัวเองเลยน่า ผู้ใหญ่บ้าน!"
"ใช่แล้วจิ่วซือ เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก แค่ฟ้าดินมันไม่เป็นใจให้เราเองต่างหาก!"
"ไม่เป็นไรหรอก ขาดทุนก็ขาดทุนไปเถอะ เราไม่ตายหรอกน่า อย่างน้อยพวกเราก็ยังออกเรือหาปลาได้นี่นา"
"ที่ของพวกเรามันไม่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ลองทำอะไรมาก็ไม่เคยสำเร็จสักที คราวนี้มันก็แค่ล้มเหลวอีกครั้งเท่านั้นแหละ!"
"......"
ที่หมู่บ้านหยุนซี ณ เกาะจงซานทะเลใต้ ปรากฏภาพชาวบ้านหลายคนที่หน้าตาไม่สู้ดีแต่ก็ยังพยายามปลอบใจเฉินจิ่วซืออยู่อย่างอบอุ่น
เมื่อเฉินจิ่วซือถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นต้นอ่อนที่ปลูกอยู่บนโขดหินซึ่งสภาพของพวกมันดูไม่ค่อยดีนัก "..พวกคุณกลับไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะคิดหาทางเอง"
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าชาวบ้านก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม พวกเขาเพียงแค่ส่ายหัวแล้วเดินจากไป
ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจเหมือนมีเลือดไหลซึม!
ต้นอ่อนพวกนี้ต้นหนึ่งราคาตั้ง 3.5 หยวน และนี่มันก็เสียหายไปเกือบ 1,000 เอเคอร์!
แถมยังไม่นับความพยายามของทุกคนที่ลงแรงกันมาถึงสามปีเต็ม
มันกำลังจะได้เก็บเกี่ยวอยู่แล้วเชียว กลับเกิดเรื่องเสียได้
ถ้าแก้ไขไม่ได้ สามปีที่ทุกคนต้องเหนื่อยยากนี้คงเสียเปล่าแน่!
"จิ่วซือ อย่าพึ่งคิดมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะไปหาผู้เชี่ยวชาญที่เฉียงโจว เผื่อเขาจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้"
เมื่อชาวบ้านเดินจากไปเกือบหมด เสียงอันสดใสของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังเขาพร้อมกับตบไหล่ของเฉินจิ่วซือเบาๆ
เฉินจิ่วซือหันไปมอง "จือหยิน เธอก็กลับไปเถอะ ฝนมันตกอยู่ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ"
ผู้หญิงที่กำลังปลอบใจคนนี้คือ - ฝูจือหยิน
ก็ถือว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กมั้ง ?
ถ้าจะให้พูดคงต้องบอกว่าพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องกันมากกว่า!
สองคนนี้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังแก้ผ้าวิ่งเล่น
หลังจากที่พ่อแม่ของเฉินจิ่วซือประสบอุบัติเหตุทางทะเล มันก็ทำให้เขาได้มีโอกาสถูกพาไปกินข้าวที่บ้านฝูจือหยินอยู่เป็นประจำ
เขาใช้ชีวิตแบบนี้มาสิบกว่าปีจนได้ออกจากเกาะ
และสามปีก่อน หลังจากเฉินจิ่วซือเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็กลับมาบ้านเกิดของเขาเพื่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน
เขาอยากจะใช้พลังของตัวเองช่วยเหลือชาวบ้านให้หลุดพ้นจากความยากจน
เขาต้องการตอบแทนทุกๆ คน เพราะเงินที่เขาใช้เรียนก็มาจากชาวบ้านนี่แหละ
หมู่บ้านหยุนซี.. ไม่สิ จะพูดให้ถูกก็คือไม่ใช่แค่หมู่บ้านหยุนซี แต่เป็นเกาะจงซานทั้งเกาะนั้นไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยเลย
หมู่บ้านหยุนซีมีพื้นที่กว่า 20,000 เอเคอร์(≈80 ตร.กม.) ซึ่งถือว่าใหญ่มาก
แต่ 95% ของพื้นที่หมู่บ้านนั้นปกคลุมไปด้วยภูเขาหิน ทำให้มีพื้นที่แค่ 5% เท่านั้นที่พอจะปลูกมันฝรั่งหรือเผือกได้
ตั้งแต่ยุค 70 เป็นต้นมา คนในหมู่บ้านต่างก็พยายามปลูกพืชมาหลากหลายชนิด แต่มันก็จบลงด้วยความล้มเหลวไม่เป็นท่าทั้งสิ้น
ทำให้รายได้หลักของพวกเขานั้นมาจากการออกทะเลหาปลา
ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย เฉินจิ่วซือได้ค้นคว้าข้อมูลมากมาย อ่านงานวิจัยหลายฉบับ และสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรหลายท่าน จนในที่สุดก็มั่นใจว่า “กล้วยไม้สกุลหวาย” นั้นสามารถปลูกได้แน่นอน
และมันสามารถปลูกบนโขดหินภูเขาไฟได้เลย
แถมโขดหินภูเขาไฟยังเป็นที่ปลูกที่เหมาะกับมันอย่างมากอีกด้วย
รูอากาศบนโขดหินภูเขาไฟเหมาะสำหรับรากอากาศของกล้วยไม้สกุลหวาย
ถ้าดูแลมันดีๆ ภายในพื้นที่หนึ่งเอเคอร์จะสามารถทำรายได้ขั้นต่ำได้ถึง 15,000 หยวน
เมื่อตัดสินใจได้ไม่นาน หลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เขาก็เริ่มชักชวนชาวบ้านให้มาปลูกกล้วยไม้สกุลหวายบนหินภูเขาไฟ
บ้านของฝูจือหยินนั้นเป็นบ้านแรกที่ตอบรับและเริ่มปลูกไปตั้งแปดเอเคอร์ในตอนแรก!
กล้วยไม้สกุลหวายล็อตแรกกำลังจะได้เก็บเกี่ยวและขายได้ในเดือนหน้านี้แล้ว แต่มันก็กลับเกิดปัญหาขึ้นจนได้!
เมื่อมองไปที่กล้วยไม้สกุลหวายที่อยู่ไม่ไกลออกไปอย่างตั้งใจ จะเห็นได้ว่าใบส่วนใหญ่ของมันเริ่มมีจุดด่างสีคล้ายคราบน้ำ
ในตอนแรกมันเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่ไม่นานนัก จุดพวกนั้นก็เริ่มเข้มขึ้น ขยายวงกว้างขึ้น และกว้างได้จนปกคลุมไปทั้งใบ
บางต้นที่เป็นหนักรากอากาศก็จะเริ่มมีจุดด่าง จากนั้นพวกมันก็จะค่อยๆ นิ่มลง เหี่ยว แล้วก็เน่าไป
พวกมันกำลังจะตายนั่นเอง
และถ้าพวกมันตายไปอย่างนี้จริงๆ มันก็เท่ากับว่าสามปีนี้จะเสียเปล่าไปเลย!
นอกจากจะไม่ช่วยให้ชาวบ้านร่ำรวยแล้ว ยังเสียแรงเสียเงินไปอีก นี่ทำให้เฉินจิ่วซือรู้สึกแย่สุดๆ
"เธอกลับไปก่อนเถอะ ที่บ้านคงทำกับข้าวเสร็จแล้ว ไปอาบน้ำกินข้าวเถอะ เดี๋ยวฉันขอดูพวกมันก่อนแล้วจะตามไป"
ฝูจือหยินที่ได้ยินดังนั้นก็ดึงเฉินจิ่วซือที่กำลังกลัดกลุ้มให้เดินกลับบ้านทันที "ไม่ได้ เรื่องกินเรื่องใหญ่ กลับไปกินข้าวกันเถอะ!"
… หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มแล้ว เฉินจิ่วซือก็เข้าไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว จากนั้นก็เริ่มพึมพำ "โรคใบไหม้ของกล้วยไม้สกุลหวาย ถ้าเป็นถึงขนาดนี้แล้วจะมีทางแก้ไหมนะ.."
"..ต้องมีสิ!"
"กล้วยไม้สกุลหวายเป็นพืชสำคัญขนาดนี้ ต้องมีผู้เชี่ยวชาญศึกษาวิจัยกันเยอะแยะแน่ๆ!"
เฉินจิ่วซือดึงสติกลับมา พรุ่งนี้เขาตั้งใจจะไปหาผู้เชี่ยวชาญที่เฉียงโจว และถ้าไม่ได้ผล เขาก็จะไปหาที่อื่นอีก
ยังไงก็ยอมแพ้ไม่ได้!
ความพยายามตลอดหลายปีจะพังทลายไม่ได้
กำลังใจที่มีอยู่ก็ต้องไม่หมด!
.. หลังจากล้างตัวเสร็จเรียบร้อย เฉินจิ่วซือก็ไปที่บ้านของฝูจือหยินตามนัด
สองคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน
ไปมาหาสู่กันสะดวก
และเมื่อเขาเดินเข้าไปก็พบกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
เฉินจิ่วซือที่กำลังจะทักทายก็โดนชายตรงหน้าดึงเข้าไปโอบไหล่เสียก่อน "อย่าไปเครียดมากนักเลยน่า หลายสิบปีมานี้เราลองปลูกพืชมาตั้งเจ็ดแปดอย่างแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที จะเป็นอะไรไปถ้าจะพลาดอีกสักครั้ง"
"น้าฝู ทุกคนเชื่อใจผมมาก ผมจะ... พรุ่งนี้ผมจะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ โรคใบไหม้เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในกล้วยไม้ ต้องมีวิธีที่พวกเราไม่รู้อยู่แน่!”
เฉินจิ่วซือยกมือทาบอกด้วยความมั่นใจ "ผมจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน"
"อืม"
ชายวัยกลางคนมองเฉินจิ่วซือ แล้วบีบไหล่เขา "จิ่วซือเอ๊ย จริงๆ แล้วแกไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้ พวกเราชาวบ้านอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ อยู่กันมาแบบนี้ ช่วยเหลือกันมาแบบนี้ แกอุตส่าได้เรียนมาซะสูง น่าจะหางานดีๆ ทำได้สบายนี่นา"
"น้าครับ ผมรู้ว่าน้าหวังดีกับผม" เสียงของเฉินจิ่วซือเริ่มสั่นเครือ "แต่ที่ผมยอมไปเรียนก็เพื่อจะได้กลับมาทำให้บ้านเกิดดีขึ้น! อีกอย่าง… นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่พ่อแม่ผมทิ้งไว้ให้ผม"
พ่อแม่ของเฉินจิ่วซือก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะทำให้หมู่บ้านหลุดพ้นจากความยากจน
อุบัติเหตุครั้งนั้นก็เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาไปหาผู้นำที่อำเภอ
และชายวัยกลางคนคนนี้ก็คือพ่อของฝูจือหยินและเขาก็รู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินที่เฉินจิ่วซือกล่าว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
จนหลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ "พวกแกโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว จะทำอะไรก็แล้วแต่แกเลยแล้วกัน!"
"อยากทำก็ทำไปเถอะ ยังหนุ่มยังแน่น ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างก็เป็นเรื่องดีนั่นแหละนะ"
"ครับ ขอบคุณครับน้า"
"..เห้อ แต่ตอนนี้ก็พักก่อนเถอะ" ชายวัยกลางคนตบหัวเฉินจิ่วซือเบาๆ "ไปกินข้าวเร็วเข้า วันนี้ฉันจับปลาแดงมาได้ตั้งหลายตัวแหนะฮ่าๆๆ"
เฉินจิ่วซืออ้าปากราวกับอยากจะพูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมาแล้วก็เดินตามไปที่โต๊ะอาหาร
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็กล่าวลาอย่างเรียบง่าย
เฉินจิ่วซือก็กลับไปที่ไร่อีกครั้ง
จริงๆ แล้วกล้วยไม้สกุลหวายมีอยู่ทั่วหมู่บ้าน
ตามกำแพงหินที่ก่อขึ้นก็เต็มไปด้วยกล้วยไม้สกุลหวาย
เขาอยากจะดูว่า กล้วยไม้สกุลหวายทุกที่มันมีปัญหาจริงๆ หรือไม่... ถ้าสามารถกำหนดขอบเขตได้ ก็จะได้บอกสถานการณ์ได้ดีขึ้น
ถ้ามีบางที่ที่ยังดีอยู่ มันก็คงจะดีกว่านี้..
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ จนฟ้าเริ่มมืดลง เขาก็ยังไม่เจอที่ไหนที่ไม่มีปัญหาเลย
ทั้งหมู่บ้าน กล้วยไม้สกุลหวายทุกต้นมีปัญหาหมด!
ในขณะที่เฉินจิ่วซือรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด จู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัว
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนองอะไร ข้อความบางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา...
[นับตั้งแต่การกำเนิดอารยธรรมในยุคหินเก่า มนุษย์ก็มุ่งเน้นไปที่การสร้างสิ่งก่อสร้างที่น่าทึ่งต่าง ๆ ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มักจะสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคม และจิตใจของสังคมมนุษย์...]
[ระบบสิ่งมหัศจรรย์มุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือผู้ที่เป็นเจ้าของในการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย]
[ระบบสิ่งมหัศจรรย์เปิดใช้งานแล้ว โปรดตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง!]