(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่ 1283 ศาลาจื่อฉีขยายใหญ่ไพศาลถึงเก้าสิบแห่ง!
“เอาล่ะ”
มารดาเหวินตอบตกลงอย่างจำใจ
ใบหน้าของบิดาเหวินพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง ใครบ้างจะไม่เคยใฝ่ฝันถึงการออกท่องยุทธภพพร้อมกระบี่ในมือ?
“ท่านแม่ แท้จริงแล้วท่านก็ออกไปเดินทางได้” เหวินผิงเอ่ยแทรกขึ้นมา
มารดาเหวินยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าว “ข้าคงไม่ไปแล้ว สถานที่ที่อยากไปข้าก็ไปมาหมดแล้ว ส่วนที่ไม่อยากไป แต่ก่อนข้าก็ไม่อยากไป ตอนนี้ยิ่งไม่อยากไปยิ่งกว่าเดิม ข้าชอบสงบอยู่ในหอปรุงโอสถเงียบ ๆ หลอมโอสถมากกว่า”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น เหวินผิงเหลือบมองบิดาเหวินที่ดูเหมือนจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านคงต้องเดินทางเพียงลำพังแล้ว”
คำตอบของมารดาไม่ได้ทำให้เหวินผิงแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ความหลงใหลในวิถีโอสถของมารดานั้น ลึกซึ้งถึงขั้นที่มิอาจหาใครเปรียบ ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนที่ชอบเดินทางไปทุกหนแห่ง มิเช่นนั้นคงไม่ออกจากช่องเขาเฉาเทียนไปยังซอกหลืบของทะเลสาบเทียนตี้
ทันใดนั้น มารดาเหวินแสดงสีหน้าจริงจังและเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าจะออกเดินทางก็ได้ แต่แม้จะมีโอสถปลอมแปลงรูปลักษณ์ เจ้าก็อย่าประมาท หากเจ้าเผลอสร้างปัญหาให้ลูก หรือเปิดเผยตัวตน ต่อไปอย่าหวังจะได้ออกจากสำนักอมตะอีก”
“ข้าไม่ทำแน่นอน…ไม่มีวัน!”
บิดาเหวินส่ายศีรษะอย่างแรงเหมือนลูกตุ้มนาฬิกา
เหวินผิงมองภาพนั้นพร้อมยิ้มเล็กน้อย
หลังจากสนทนากับบิดามารดาอีกสองสามประโยค เหวินผิงตั้งใจจะกลับไปบำเพ็ญเพียร เพื่อหลอมพลังหยวนหยางสายใหม่ก่อนเริ่มภารกิจอื่น
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะออกจากเรือนไร้ลักษณ์ จื่อหรันก็มาหาเขา
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของนาง เหวินผิงก็พอเดาได้ว่าจุดประสงค์ของนางคืออะไร
ก่อนที่อาณาจักรโยว่จะส่งบรรพบุรุษอาวุโสมาถึงประตูบ้าน จื่อหรันเคยเป็นตัวแทนของศาลาจื่อฉีและสำนักอมตะ ท้าทายประมุขแห่งสำนักช่างพันฝีมือ
บัดนี้เมื่อสงครามสิ้นสุดลง การประลองครั้งนั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มขึ้น
หากชนะ จื่อหรันจะได้กลายเป็นช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของอาณาจักรโยว่
หากแพ้ จื่อหรันและศาลาจื่อฉีจะต้องเสียชื่อเสียงโดยสิ้นเชิง
“เจ้าวางแผนจะไปเมื่อใด?” เหวินผิงถามขึ้นก่อน
จื่อหรันตอบทันที “ท่านเจ้าสำนัก ข้าตัดสินใจจะออกเดินทางในอีกสามวัน เพื่อต่อสู้กับประมุขแห่งสำนักช่างพันฝีมือ”
“แท้จริงแล้วไม่ว่าเจ้าจะไปหรือไม่ เจ้าย่อมชนะอยู่แล้ว แต่ข้าก็เคารพการตัดสินใจของเจ้า การประลองเกลียววังวนครั้งนี้ทั้งสำนักจะร่วมเป็นสักขีพยาน”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!” จื่อหรันโค้งคำนับ
“เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ท้ายที่สุดผลลัพธ์ของการประลองเกลียววังวนครั้งนี้จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ช่องเขาเฉาเทียน การปฏิวัติยุคสมัยของเกลียววังวนต้องเริ่มต้นจากสำนักอมตะ ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ สำนักอมตะจะขาดไม่ได้” เหวินผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความภาคภูมิใจ
ความจริงแล้ว จื่อหรันชนะตั้งแต่ต้น การประลองครั้งนี้เป็นเพียงการยืนยันตำแหน่งช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรโยว่เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะจำนวนประชากรของอาณาจักรโยว่มหาศาล และแผนภาพวังวนพิเศษของศาลาจื่อฉีไม่อาจผลิตได้เพียงพอในระยะเวลาอันสั้น สำนักช่างพันฝีมือคงล่มสลายไปพร้อมกับสมาคมร้อยสำนักนานแล้ว
คำพูดของเหวินผิงทำให้จื่อหรันเกิดแรงกระตุ้นในใจ จากเดิมที่นางเพียงต้องการชนะ บัดนี้ความมุ่งมั่นที่จะชนะอย่างสมบูรณ์แบบก็ยิ่งทวีคูณ
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าจะใช้ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบต้อนรับยุคสมัยใหม่”
“เมื่อเจ้าชนะการประลองกับผู้เฒ่าเหิ่นซิน ข้าจะเปิดศาลาจื่อฉีเพิ่มอีกในหกเขตใหญ่ของอาณาจักรโยว่นอกเหนือจากเขตแดนกลางอันศักดิ์สิทธิ์ จำนวนที่แน่นอนยังไม่ชัดเจน แต่ย่อมไม่ต่ำกว่าร้อยแห่ง!”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านหมายความว่า…” จื่อหรันตกใจ
เหวินผิงพยักหน้า “ในเมื่ออาณาจักรโยว่บัดนี้อยู่ในสภาพเช่นนี้ แผนการย่อมต้องปรับเปลี่ยน เพียงสามหรือสี่เขตใกล้เคียงไม่เพียงพออีกต่อไป ดังนั้นเมื่อเจ้ารับผิดชอบศาลาจื่อฉี สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำคือรวบรวมช่างฝีมือแผนภาพวังวนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะมาจากที่ใด ไม่ว่าสถานะหรือพลัง เพียงผ่านเขาวงกตแห่งปรมาจารย์ได้ ให้รับเข้าสู่ศาลาจื่อฉีทั้งหมด”
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
“พอเถอะ เจ้าไปทำงานของเจ้าได้”
“เช่นนั้นผู้เฒ่าผู้นี้ขอลา” จื่อหรันกล่าวก่อนโค้งคำนับและจากไป
เหวินผิงไม่ได้หยุดพักอยู่บนภูเขา ระหว่างที่เขาผ่านศาลาทิงอี่ เขาไม่ได้เข้าไป เพราะเห็นหยุนเลี่ยวและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักรวมตัวกันอยู่ที่หอจิ้นจือ
จากระยะไกล เหวินผิงได้ยินเสียงสนทนาของพวกเขา
“ผู้คนที่มารวมตัวกันที่เขาวงกตแห่งปรมาจารย์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องมีคนคอยรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจได้ ข้าเพิ่งไปดูมา มันวุ่นวายยิ่งนัก มีคนทุกประเภท แม้พวกเขาจะไม่กล้าฆ่าคนชิงทรัพย์นอกเขาวงกตแห่งปรมาจารย์ แต่พวกที่หลอกลวงและฉ้อโกงก็มีไม่น้อย เหมือนพวกเขาไม่เห็นหัวสำนักอมตะของเราเลย” อวี้ม่อเอ่ยด้วยความจนใจ
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้คนแบบนี้มีอยู่ทุกที่ แต่เขาวงกตแห่งปรมาจารย์ถือเป็นหน้าตาของสำนักอมตะในสายตาคนนอก
ก่อนหน้านี้ทุกคนในสำนักล้วนยุ่งกับเรื่องอื่น ไม่มีใครมีเวลามาดูแลพื้นที่รอบเขาวงกตแห่งปรมาจารย์ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว สำนักอมตะถือเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังใหญ่ของช่องเขาเฉาเทียน
ฉินโม่เอ่ยเสริมว่า “อีกทั้งอนาคตผู้คนก็จะยิ่งมากขึ้น สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่ลง เขาวงกตแห่งปรมาจารย์เป็นทางเดียวที่จะเข้าร่วมสำนักอมตะได้ พวกเขาจะเข้าไปท้าทายได้ แต่ต้องไม่ให้พวกเขาทำตัวไร้ระเบียบ เราต้องแสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขาม”
เมื่อทั้งสองพูดขึ้น ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็แสดงความคิดเห็นตามมา รวมถึงหลงเยว่ด้วย
“ที่หน้าประตูตระกูลหลงของเรา ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง เราไม่ต้องเข้มงวดขนาดนั้น แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาทำตัวตามใจชอบ”
หยุนเลี่ยวพยักหน้าและครุ่นคิด “ในเมื่อทุกคนมีความเห็นตรงกัน เช่นนั้นเราควรหาวิธีแก้ไขในวันนี้ อนาคตพื้นที่รอบเขาวงกตแห่งปรมาจารย์จะต้องเต็มไปด้วยผู้คนและความคึกคัก และผู้ควบคุมพื้นที่นี้ต้องไม่ใช่คนนอก”
“ถูกต้อง”
เฉินเซี่ยเห็นด้วย
เหวินผิงที่อยู่บนฟ้า ไม่ได้ลงมาหรือแทรกแซงการสนทนา เขาเพียงฟังเงียบ ๆ โดยไม่มีความคิดที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เพราะเขาเชื่อว่าสำนักอมตะจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต และผู้อาวุโสของสำนักไม่ควรมีเพียงทักษะในการบำเพ็ญเพียรเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนรู้การจัดการกิจการของสำนักด้วย
ตราบใดที่เขายังไม่พบว่ามีใครในสำนักที่มีมุมมองคับแคบหรือคิดสั้น การที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว
แต่ในขณะที่เหวินผิงกำลังจะจากไป เขาเห็นเฉินเซี่ยหยิบหินส่งเสียงออกมา
ยังไม่ทันที่คนในหินส่งเสียงจะเอ่ย เฉินเซี่ยกล่าวเสียงเข้ม “คราวนี้ใครอีก?”
“หัวหน้าตระกูลเฉินจากเขตหลวนเฟิงอันศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในขุมกำลังหกดาว ค้นพบอสูรหายากที่มีสายเลือดมังกร ราชันย์อสูรตั้งแต่กำเนิด และสามารถกลายเป็นเทพอสูรได้ในสิบปี เขากล่าวว่ามีเพียงท่านที่เหมาะสมจะครอบครอง เจ้าหอ ท่านคิดว่าอย่างไร…”
เฉินเซี่ยส่ายหัวทันที เขาเจอเรื่องแบบนี้จนชินชาแล้ว “บอกหัวหน้าตระกูลเฉินว่าไม่ต้องส่งสิ่งใดมาให้ แต่ในเมื่อเขามีน้ำใจ เช่นนั้นข้าขอถือว่าเขาเป็นสหาย หากข้ามีโอกาสไปเขตหลวนเฟิงอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะไปเยี่ยมเขาแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เฉินเซี่ยตัดการเชื่อมต่อและกวาดตามองรอบตัวด้วยความเหนื่อยใจ
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ท่านไม่อยากพูดอะไรหน่อยหรือ? หากข้าต้องทำงานหนักจนล้ม ท่านก็จะไม่สามารถอยู่สบายแบบนี้ต่อไปได้”
ทันใดนั้น หินส่งเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เฉินเซี่ยยกหินส่งเสียงขึ้นและพูดด้วยเสียงหนักแน่น “หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าจะไปฟ้องเจ้าสำนักเดี๋ยวนี้”
หยุนเลี่ยวที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหัวพลางยิ้มและตอบว่า “เอาเช่นนี้เถอะ หลังจากเราจัดการปัญหาที่เขาวงกตแห่งปรมาจารย์เสร็จ เราจะไปช่วยงานที่หอจิ้นจือแทนท่าน ขุมกำลังต่ำกว่าหกดาวไม่ต้องสนใจ ส่วนพวกหกดาว เจ้าสำนักย่อมไม่อยากพบ เราจะพบแทนเอง”
หยุนเลี่ยวเข้าใจดี แม้เขาจะไม่ชอบขุมกำลังหกดาวเหล่านี้ แต่พวกเขาก็เป็นพลังที่ไม่อาจมองข้าม
ในอนาคต สำนักอมตะอาจต้องพึ่งพาพวกเขา หรืออย่างน้อยที่สุด การใช้โอกาสนี้แสดงความยิ่งใหญ่เพื่อให้พวกเขาเคารพสำนักอมตะ ก็ถือเป็นประโยชน์ และยังสามารถใช้โอกาสนี้สร้างรายได้อีกด้วย
นี่เป็นเรื่องที่เจ้าสำนักเคยทำมาก่อน
“วางใจเถิด ขุมกำลังต่ำกว่าหกดาวไม่ต้องไปยุ่ง” เฉินเซี่ยกล่าวด้วยความโล่งใจ ความกดดันบนบ่าดูเหมือนจะเบาลงมาก
“พูดไปพวกท่านอาจไม่เชื่อ ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังห้าหรือหกดาว พวกเขารู้ว่าบรรพบุรุษอาวุโสของอาณาจักรโยว่พ่ายแพ้ต่อสำนักอมตะ จู่ ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีมาแสดงความกระตือรือร้น ข้าก็ยังไม่ชิน ข้ากลับชอบท่าทีเย่อหยิ่งแบบเมื่อก่อนมากกว่า อย่างน้อยก็สงบเงียบกว่านี้”
เมื่อพูดจบ เฉินเซี่ยส่ายหัวพลางยิ้ม ราวกับหัวเราะเยาะตัวเองและขุมกำลังที่เปลี่ยนท่าทีไปตามลม
ครั้งหนึ่งเขาเคยฝันถึงวันนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ เขากลับพบว่าตนเองมีเป้าหมายที่สูงกว่านี้ และไม่อาจพึงพอใจกับสิ่งเหล่านี้ได้อีก
ทันใดนั้น เหวินผิงกล่าวขึ้น
“หากเจ้าไม่ชอบพวกเขา ก็ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
ทุกคนตื่นตกใจ รีบหันไปทางเสียงต้นกำเนิดพร้อมโค้งคำนับ
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
เหวินผิงค่อย ๆ ร่อนลงมา พร้อมกล่าว “จัดการสิ่งที่ข้ามอบหมายให้ดี ขุมกำลังหกดาวเหล่านั้น หากไม่อยากจัดการก็ไม่ต้องจัดการ พวกเขาไม่คู่ควรให้พวกเจ้าสูญเสียเวลาในการบำเพ็ญเพียร”
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
ทุกคนขานรับพร้อมกัน
หยุนเลี่ยวเสริม “ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะดูแลเรื่องนี้เอง”
“อืม” เหวินผิงไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่เตือนว่า “เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวัน เราจะไปยังสำนักช่างพันฝีมือเพื่อชมการประลองเกลียววังวนระหว่างผู้อาวุโสจื่อหรันและประมุขสำนักช่างพันฝีมือเหิ่นซิน หากไม่มีเรื่องสำคัญ ห้ามขาด”
ทุกคนพยักหน้ารับ
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
“รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
เหวินผิงหันไปกล่าว “หลงเยว่ หลงเหยีย ตามข้ามา”
หลงเหยียและหลงเยว่หันมามองหน้ากัน สีหน้าของทั้งสองแตกต่างกัน หลงเหยียเต็มไปด้วยความยินดี ในขณะที่หลงเยว่ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ
ระหว่างที่เดินตามเหวินผิงผ่านวงเวทย์เคลื่อนย้ายมิติ หลงเยว่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“พี่ชาย ท่านทำอะไรผิดหรือเปล่า?”
“เจ้าคิดว่าพี่เป็นคนสะเพร่าขนาดนั้นหรือ?” หลงเหยียเหลือบมองน้องสาวด้วยสายตาขุ่นเคือง ราวกับจะถามว่าน้องสาวคิดว่าตนไม่เอาไหนเพียงใด
เหวินผิงฟังการสนทนาของพี่น้องทั้งสองด้วยความอึดอัดใจ เมื่อมาถึงวงเวทย์เคลื่อนย้ายมิติ เขาให้ทั้งสองก้าวเข้าไปก่อน แล้วออกจากสำนักอมตะทันที
การเดินทางครั้งนี้ เหวินผิงมีเป้าหมายเพื่อสร้างศาลาจื่อฉี
การพาหลงเยว่และหลงเหยียมาด้วยก็เพื่อให้พวกเขาช่วยในฐานะผู้ที่รู้จักช่องเขาเฉาเทียนดี ทำให้หลายสิ่งสะดวกยิ่งขึ้น
ในระยะเวลาสามวัน เหวินผิงตั้งเป้าหมายที่จะสร้างศาลาจื่อฉีในเมืองสำคัญของหกเขตใหญ่ นอกเขตแดนกลางอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตชื่อเสียงของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้การสะสมพลังงานเพื่อแลกสายเลือดระดับ S ครั้งละหนึ่งหมื่นจะไม่เป็นภาระอีกต่อไป
หากสะสมเพิ่มขึ้น อาจถึงขั้นสร้างสายเลือดระดับ SS หรือแม้แต่ SSS และก่อกำเนิดเทพอสูรประจำสำนักที่ไม่เคยมีมาก่อนได้!
เหวินผิงเริ่มต้นในแดนหยวนหยาง โดยเลือกเมืองสำคัญอีกแปดแห่ง เพื่อให้ครบสิบแห่งในแดนนี้ ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในเมืองที่เลือกคือที่ตั้งของตระกูลหลง ทำให้ข่าวการปรากฏตัวของหลงเหยียและหลงเยว่แพร่สะพัดกลับไปยังตระกูลทันที
หลงเทียนหัวที่หนีกลับมาจากทะเลทราย รีบนำคนจากตระกูลหลงมาคุกเข่าอยู่บนถนนเบื้องหน้าเหวินผิง ผู้คนที่ผ่านไปมามองดูด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะสงสัยว่าเหตุใดตระกูลหลงถึงคุกเข่า
ใครเล่าที่ตระกูลหลงจะยอมคุกเข่าให้? แม้แต่เจ้าผู้ครองเขตแดนยังไม่เคยได้รับการคุกเข่าเช่นนี้ แล้วใครจะคู่ควร?
เมื่อหลงเทียนหัวเอ่ยปาก คนจึงเข้าใจทันที
ที่แท้คือสำนักอมตะ!
ไม่แปลกใจเลย!
ไม่แปลกใจเลย!
ในดินแดนอาณาจักรโยว่ตอนนี้ ใครเล่าจะกล้าละเมิดอำนาจสำนักอมตะ?
แม้แต่ราชวงศ์ยังต้องคุกเข่า และไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องกราบกราน หากไม่ทำ ย่อมไม่อาจรอดพ้นความตาย
“ข้าหลงเทียนหัว นำคนตระกูลหลงทั้งหมดกราบคารวะเจ้าสำนักสำนักอมตะ ขอรับการต้อนรับเจ้าสำนักเหวินผู้ยิ่งใหญ่!” หลงเทียนหัวที่เสียมือข้างหนึ่ง คุกเข่ากราบลงกับพื้นใบหน้าของเขาเกือบแตะลงกับแผ่นหินที่คนจำนวนมากเหยียบย่ำ ผ่านไปเพียงลมหายใจหนึ่งเขาก็เต็มไปด้วยฝุ่น
เหวินผิงไม่ได้สนใจเสียงที่ดังมาจากถนน เขากำลังยุ่งกับการซื้ออาคาร เมื่อจัดการเสร็จ เขาให้ทุกคนออกจากอาคาร และเริ่มปรับปรุงโครงสร้าง
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง เขาก็ออกจากอาคารโบราณและมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป
ก่อนจากไป เหวินผิงไม่ได้มองหลงเทียนหัวแม้แต่น้อย เพียงแต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า “ตอนนี้ตระกูลหลงมีหลงเค่อและคนอื่น ๆ แล้ว การบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า?”
คำพูดนั้นสิ้นสุดลง เหวินผิงและพวกอีกสองคนก็หายลับไปในอากาศ
หลงเทียนหัวกลับก้มศีรษะจรดพื้นอย่างลึกซึ้ง ไม่ยอมลุกขึ้น ตระกูลหลงไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ
เมื่อเขาลุกขึ้น สิ่งแรกที่ทำคือการปิดผนึกประตูชีพจรวิญญาณของตนเอง!
การปิดผนึกประตูชีพจรวิญญาณด้วยตนเองแตกต่างจากการถูกผู้อื่นปิดผนึก
หากถูกปิดผนึกโดยผู้อื่น ย่อมสามารถหายอดฝีมือมาปลดผนึกได้ หลังปลดแล้วก็สามารถกลับมาบำเพ็ญเพียรได้ตามปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ
แต่หากปิดผนึกประตูชีพจรวิญญาณด้วยตนเอง ผนึกนั้นไม่อาจถูกปลดได้! การบำเพ็ญเพียรทั้งหมดจะสูญสิ้น เหลือไว้เพียงกายาวิญญาณในฐานขอบเขตเท่านั้น
“ท่านพ่อ!”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!”
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นจากคนในตระกูลหลง ทุกคนรีบเข้ามาห้ามปราม
แต่กลับถูกหลัวหลิวซิน ภรรยาของหลงเทียนหัวขวางไว้ “ปล่อยให้เขาทำเถอะ! ใครที่กล้าห้าม ตั้งแต่วันนี้จะไม่ถือว่าเป็นคนของตระกูลหลงอีกต่อไป”
หลงเทียนหัวหันกลับมามองภรรยาของเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น จากนั้นเขาหันกลับไปตะโกนขึ้นฟ้า
“ขอบคุณเจ้าสำนักเหวินที่ไว้ชีวิตข้า!”
เมื่อเสียงสิ้นสุด เขาก็ปิดผนึกประตูชีพจรวิญญาณทันที!
ในขณะเดียวกัน เหวินผิงยังคงเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ
ซื้ออาคาร
ปรับปรุง
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของหลงเทียนหัว เพราะทั้งหลงเหยียและหลงเยว่ต่างก็รู้ดีว่าเขาเคยทำสิ่งใดไว้ การไว้ชีวิตเขาถือว่าเป็นการเมตตาแล้ว
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงสองวันนี้ เหวินผิงสร้างศาลาจื่อฉีในเมืองสำคัญสิบแห่งในห้าดินแดนนอกเหนือจากแดนหยวนหยาง และเพิ่มอีกสามสิบแห่งในแดนหยวนหยาง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น คืนนั้นเหวินผิงเดินทางไปยังอาณาจักรมืด และสร้างศาลาจื่อฉีอีกสิบแห่ง ส่วนอีกสิบสองแห่งถูกเก็บไว้เป็นสำรอง
เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ เหวินผิงยังไม่ได้แต่งตั้งผู้ดูแลศาลาจื่อฉี หรือเปิดศาลาให้ใช้งาน
แต่เมื่อศาลาจื่อฉีถูกสร้างเสร็จ ตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวปรากฏอยู่ในเมืองต่าง ๆ ที่เป็นที่ตั้งของเจ้าผู้ครองเขตแดน ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลาย รวมถึงราชวงศ์ และสำนักช่างพันฝีมือ ต่างก็รับรู้ถึงเรื่องนี้
สำหรับราชวงศ์ แม้จะรับรู้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังวุ่นวาย ประกอบกับมีอ๋องหลงหยาง ซือคงจุยซิง และซือไห่เสียนคอยควบคุม พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
แต่สำนักช่างพันฝีมือกลับไม่เหมือนกัน
เมื่อทราบข่าวนี้ สีหน้าของทุกคนในสำนักเปลี่ยนไปทันที
.
(จบตอน)