บทที่ 37 ต่อรองราคา 【แจ้งเปลี่ยนชื่อเรื่อง】
จางอวิ้นซ่างรอด้วยความมั่นใจว่า หลี่เว่ยตงจะตกลง แต่คำพูดที่อีกฝ่ายตอบกลับมาแทบทำให้เขาสำลัก
เขารู้ดีว่าเตียงนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่า หากขายไม่ออก มันจะกลายเป็นภาระใหญ่หลวง
ถึงแม้เก็บไว้อีกหลายสิบปีจะมีมูลค่าสูงขึ้น แต่ตอนนั้นก็คงไม่ต้องขายแล้ว เอาไปทำโลงศพยังจะดีเสียกว่า
“เจ้าหนุ่ม ข้าอุตส่าห์เหนื่อยยากนำเตียงนี้มา เธอยังบอกว่าไม่มีที่วาง? จะต่อราคาก็อย่าถึงกับขนาดนี้สิ!”
จางอวิ้นซ่างมองหลี่เว่ยตงด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าถ้าไม่ตกลง เขาจะยอมตายให้ดู
“ลุง ผมไม่ได้หลอกนะ บ้านผมก็แค่ไม่กี่ตารางเมตร ต้องนอนเตียงเดียวกับน้องชาย เตียงใหญ่ขนาดนี้จะวางตรงไหนได้? จะให้รื้อบ้านทิ้งเหรอ?”
หลี่เว่ยตงยกมือสองข้างทำท่าทางจนใจ
“เจ้าหนุ่ม ไม่ใช่คิดจะเล็งบ้านข้าหรือ?” จางอวิ้นซ่างพูดแซว
“เป็นไปได้ยังไง ลุงเข้าใจผิดแล้ว ต่อให้ผมอยากซื้อก็ไม่มีเงินพออยู่ดี” หลี่เว่ยตงรีบปฏิเสธ
“งั้นเอางี้ ซื้อเตียงไปก่อน ถ้ายังไม่มีที่วาง ก็มาฝากไว้ที่บ้านข้าก่อน พอมีที่แล้วค่อยมาเอาไป”
จางอวิ้นซ่างเสนอทางออก แต่หลี่เว่ยตงมองเขาเหมือนกำลังฟังนักต้มตุ๋น
“ผมคงไม่โง่ขนาดนั้น ลุงไม่ต้องลำบากคิดมากหรอก ผมจะกลับไปจัดห้องใหม่ แต่แบบนี้ต้องใช้เงินเพิ่ม ลองบอกหน่อยสิว่าตกลงเตียงนี้จะแลกกันยังไง ถ้าแพงเกิน ผมคงแลกไม่ไหว”
จางอวิ้นซ่างหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวอย่างเย้ยหยัน “เตียงนี้เป็นไม้จันทน์ชั้นเลิศ หนักแน่นมั่นคง ในอดีตไม่มีทางซื้อได้ต่ำกว่าหลายร้อยเหรียญ ตอนนี้เธอโชคดีที่ได้มาในช่วงลำบาก”
“ลุง บอกมาตรงๆ เลยเถอะ”
“ได้! ข้าจะไม่อ้อมค้อม ใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เอางี้ 800 ชั่งข้าวสาลี!”
ได้ยินราคานี้ หลี่เว่ยตงไม่พูดอะไร หันหลังจะเดินหนีทันที
“เฮ้! อย่าเพิ่งไป!”
จางอวิ้นซ่างรีบคว้าแขนเขาไว้ “เธอคิดว่าข้าจะไม่แลก? เตียงนี้คือขุมทรัพย์ เธอไม่ควรพลาด!”
“ลุงลองคิดดู นี่มันปีไหนกัน? เตียงไม้ชั้นดีใหม่ๆ ในตลาดยังแค่ไม่กี่สิบหยวน แล้วลุงจะให้แลก 800 ชั่งข้าวสาลี? ผมจะต้องขายตัวถึงจะพอ!”
จางอวิ้นซ่างถูกคำพูดนี้จี้จนหน้าแดง ไม่ใช่เพราะเขิน แต่เพราะโกรธจนพูดไม่ออก
“เตียงนี้ราคาแค่ 120 หยวนเองนะ! 800 ชั่งข้าวสาลีก็แค่คำนวณเป็นเงินสองเหมาเจ็ดต่อชั่งเอง!”
“ลุงดูไม่ออกเหรอว่าตลาดข้าวตอนนี้เป็นยังไง? ลองไปถามในตลาดมืดดูสิว่าแป้งขาวราคาเท่าไหร่ ไม่มีต่ำกว่าแปดเหมาแน่นอน!”
หลี่เว่ยตงพูดอย่างมั่นใจ
“ถ้าข้าวสาลีแลกเป็นแป้งขาวได้ 600 ชั่ง ก็คิดเงินเป็น 500 หยวนได้ ใครจะกล้าขายให้ลุงในราคานี้?”
แม้ว่าหลี่เว่ยตงจะมี ฟาร์มเกม ไม่ขาดแคลนข้าว แต่เขาก็ไม่คิดจะยอมถูกเอาเปรียบ
“งั้นว่ามา จะแลกข้าวสาลีเท่าไหร่?”
“200 ชั่ง!”
“200 ชั่ง? เจ้าหนุ่ม จะใจดำไปหน่อยไหม?” จางอวิ้นซ่างพูดเสียงดังจนแทบจะลั่น
“300 ชั่ง ถือว่าจบ!” หลี่เว่ยตงต่อรองด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“770 ชั่ง!” จางอวิ้นซ่างยังไม่ลดละ
“330 ชั่ง!”
“เจ็ดร้อย!”
“สี่ร้อย!”
“หกร้อยห้าสิบ!”
“สี่ร้อยห้าสิบ!”
ในห้อง ทั้งสองมองตากันไม่ลดละ คนหนึ่งไม่ยอมลดราคาอีก ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมเพิ่มข้อเสนอ
สถานการณ์ชะงัก
ในที่สุด จางอวิ้นซ่างก็อดรนทนไม่ไหว สีหน้าดูเศร้าสร้อยกล่าวว่า
“เจ้าหนุ่ม ข้าก็อายุมากแล้ว จะเหลือเวลาอีกกี่ปีให้มีชีวิต? ข้าแค่อยากกินให้อิ่มสักมื้อ ก่อนจะไปโลกหน้า อย่างน้อยจะได้เป็นผีที่ตายด้วยท้องอิ่ม”
หลี่เว่ยตงดูเหมือนจะถูกสะเทือนใจ พยายามทำท่ากระพริบตาราวกับน้ำตาคลอ
“ลุง ผมรู้ว่าลุงลำบาก ลูกหลานก็ไม่อยู่ใกล้ ลุงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว งั้นเอาเป็นห้าร้อยห้าสิบแล้วกัน
แต่มีข้อเสนอเพิ่มเติม ผมจะส่งข้าวสาลีให้ลุงเดือนละห้าสิบห้าชั่ง ต่อเนื่องสิบเดือน แล้วจะมาเยี่ยมลุงด้วย”
“ไอ้เด็กนี่ เจ้าอยากให้ข้าด่าใช่ไหม? 580 ชั่งข้าวสาลี ห้ามน้อยไปแม้แต่ชั่งเดียว ข้าจะแถมเก้าอี้นอนให้ด้วย!”
จางอวิ้นซ่างจ้องหลี่เว่ยตงอย่างดุดัน
“ตกลง! ผมรู้สึกว่าลุงเหมือนปู่ของผมที่ล่วงลับไปแล้ว เรามาเปิดใจกันเถอะ งั้นท่านแถม เตียงหลัวฮั่น อีกตัวให้ผมด้วย”
หลี่เว่ยตงชี้ไปยังเตียงหลัวฮั่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามในห้องรับแขก
“หึหึ เด็กนี่ตาแหลมไม่เบา เตียงหลัวฮั่นตัวนั้นทำจากไม้แดง มีอายุมาหลายปี
สมัยพ่อข้าอยู่ เขาชอบนอนที่นั่นที่สุด ถ้าเธอไม่รังเกียจ ก็เอาไปได้เลย”
จางอวิ้นซ่างหัวเราะ พลางตอบด้วยท่าทีสบายใจ
เขามั่นใจว่าหลี่เว่ยตงจะไม่เอาของแบบนี้
“ไม่ล่ะ ในเมื่อเป็นของที่บรรพบุรุษของลุงรัก ผมก็ไม่อยากรุกล้ำ 580 ชั่งข้าวสาลี ตกลง! แต่ผมมีข้อหนึ่งที่ต้องการเพิ่มเติม”
หลี่เว่ยตงยอมถอยเรื่องเตียงหลัวฮั่น
แม้จะมีคนด่าว่าใช้ข้าวสาลีมากมายแลกเตียงไม้จันทน์ว่าเป็นการสิ้นเปลือง
แต่ในมุมของหลี่เว่ยตง นี่คือการทำกำไร
เพราะคุณค่าของสิ่งของขึ้นอยู่กับมุมมอง
ในสถานการณ์ที่ใกล้ตายเพราะหิว ขนมปังเพียงชิ้นย่อมมีค่ามากกว่าทองคำ
ในเมื่อเขามี ฟาร์มเกม ที่สามารถปลูกข้าวสาลีได้เรื่อยๆ การเสียข้าวสาลีจำนวนนี้จึงไม่ได้มีผลกระทบใดๆ
ขณะเดียวกัน จางอวิ้นซ่างที่ไม่มีอาหารเพียงพอ การแลกเตียงไม้ที่กินไม่ได้ดื่มไม่ได้กับข้าวสาลีหลายร้อยชั่งย่อมเป็นการทำกำไรเช่นกัน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”
“ข้อเสนออะไร?”
จางอวิ้นซ่างถามด้วยท่าทีผ่อนคลาย เมื่อเห็นหลี่เว่ยตงตกลง
แจ้งเปลี่ยนชื่อเรื่อง
เนื่องจากชื่อเรื่องเดิมมีความหมายเชิงลบ ได้รับการแจ้งให้แก้ไข
ชื่อใหม่ของเรื่องนี้คือ: "สี่ประสาน: อย่ายุ่งกับฉัน ฉันแค่อยากเป็นปลากุเลาเค็ม"
ขอบคุณนักอ่าน พรุ่งนี้มาต่อให้น๊าาา ตาลายแล้ววันนี้เด๋วแปลต่อจะไม่มีคุณภาพ
(จบบท)###