ตอนที่แล้ว77 - การศึกษาเท่านั้นที่สูงส่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป79 - ท่านหมอเทวดา

78 - ห้องเก็บฟืน


“เฮ้อ เรื่องนี้พูดไปยาวนัก ข้ากับพวกเพื่อน ๆ ก็โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านเฉียนและท่านเจ้า ลุงใหญ่เองก็อยากจะช่วยเจ้า แต่จนใจที่ในถุงเงินไม่มีเหลือเลย”

จูโซ่วเหรินพูดพลางถอนหายใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนที่จะเอ่ยเช่นนั้น

จูผิงอันแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา แต่ในใจกับนิ่งสงบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านลุงใหญ่จะปฏิเสธ หากไม่ปฏิเสธนั่นสิถึงจะแปลก เงินทั้งหมดของพวกเขาอยู่ที่ตัวเขาแล้ว เห็นท่านลุงใหญ่ใส่เสื้อผ้าใหม่ก็บ่งบอกได้ว่าเขาได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ที่นี่ การถามออกไปเช่นนี้ก็เพื่อฟังคำปฏิเสธจากท่านลุงใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านลุงใหญ่จะไม่กล้าเอ่ยปากขอเงินจากเขาแทน

เงินที่เขามีอยู่จะเก็บไว้ใช้ในภายหลัง อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้ การสอบเข้ารับราชการต้องใช้เงินไม่น้อย

“ท่านลุงใหญ่มีที่พักหรือยัง?” จูผิงอันถามอีกครั้ง

“ที่พักน่ะมีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณท่านเฉียนและท่านเจ้าที่ไม่รังเกียจ แบ่งห้องให้ข้าพักด้วย” ท่านลุงใหญ่พูดพลางทำท่าทีอ่อนใจ “ที่พักของพวกข้าเองก็เต็มหมดแล้ว”

หลังจากพูดจบ จูโซ่วเหรินมองไปยังจูผิงอันที่แบกสัมภาระเต็มหลัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังคิดแทน “จื้อเอ๋อร์ หากเป็นเช่นนี้ เจ้าพักที่ข้าสักวันก่อน แล้วเขียนจดหมายถึงบ้านให้เตรียมเงินมาอีก 20 ตำลึง ข้าจะให้เพื่อนส่งจดหมายให้ และให้คนรับใช้ของเขานำเงินมาให้เจ้า ตกลงไหม?”

เมื่อเห็นท่านลุงใหญ่ทำท่าทางมีน้ำใจเช่นนั้น จูผิงอันกลับรู้สึกขบขันในใจ ท่านลุงใหญ่นี่ช่างวางแผนได้แยบยล การสอบครั้งนี้ใช้เงินประมาณ 10 ตำลึงก็เพียงพอแล้ว แต่กลับให้เขาเขียนขอมา 20 ตำลึง ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงส่วนของท่านลุงใหญ่ด้วย ที่สำคัญให้คนรับใช้เพื่อนเขานำเงินมา ใครจะรู้ว่าเงินจะถึงมือเขาหรือไม่ หากเกิดบอกว่าเงินถูกคนรับใช้ขโมยไปหรือทำหาย จะทำอย่างไรได้ เรื่องแบบนี้กับท่านลุงใหญ่เป็นไปได้ทั้งนั้น

แต่ตัวเขาเองกลับไม่ขาดเงินแต่อย่างใด

“ขอบคุณท่านลุงใหญ่สำหรับความหวังดี ก่อนออกจากบ้าน ท่านแม่ได้เย็บเงินจำนวน 5 ตำลึงซ่อนไว้ในเสื้อข้างในของข้า จื้อเอ๋อร์ประหยัดสักหน่อย ก็น่าจะพอใช้ไปได้” จูผิงอันพูดพลางยิ้มเล็กน้อย พร้อมเน้นคำว่าประหยัดเป็นพิเศษเพื่อให้ท่านลุงใหญ่เลิกคิด

เมื่อแผนของท่านลุงพังทลาย เขาดูหงอยลงไม่น้อย และไม่พูดถึงเรื่องให้จูผิงอันมาพักกับเขาอีก เพียงแต่โบกมือพลางพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จื้อเอ๋อร์เจ้ารีบไปหาที่พักเถิด หากค่ำไปจะลำบาก”

ในกลุ่มนักเรียนที่เดินมากับท่านลุงใหญ่ มีคนหนึ่งพูดแซวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “น้องชายมีแค่ 5 ตำลึง เกรงว่าคงได้พักแค่ในห้องเก็บฟืน”

อีกคนหนึ่งก็พูดเสริม “นั่นมันเหมาะเลย พวกเราพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เห็นเจ้าของกำลังเก็บกวาดห้องเก็บฟืนเตรียมให้เช่า บอกว่าจะคิดค่าเช่าเพียง 1 ตำลึงต่อเดือน ถูกกว่าห้องธรรมดาเกินครึ่ง”

คำพูดเยาะเย้ยเหล่านั้นกลับทำให้จูผิงอันรู้สึกสนใจขึ้นมา

โดยทั่วไป ห้องเก็บฟืนมักจะเป็นห้องที่กว้างและได้รับแสงแดดดี หากเก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้ววางเตียงไว้สักหลัง ก็คงไม่ได้แย่ไปกว่าห้องเกรดต่ำสุดเท่าไร อีกทั้งราคายังถูกกว่ามาก

สำหรับเรื่องเสียหน้าหรือไม่นั้น จูผิงอันไม่ใส่ใจ เขาเชื่อว่าศักดิ์ศรีไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่พักอาศัย เพราะแม้แต่อ๋องโกวเจี้ยนยังเคยนอนบนฟืนเพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง

"ในใจมีพยัคฆ์ ถึงอยู่ในห้องเก็บฟืนก็สามารถชมดอกกุหลาบได้"

“จริงหรือ? โรงเตี๊ยมนั้นอยู่ที่ไหน?”

คนเหล่านั้นเดิมทีต้องการเยาะเย้ยจูผิงอัน แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่รู้สึกอับอาย กลับยิ้มถามสถานที่ด้วยความดีใจ

พวกเขาคิดในใจว่า "เด็กคนนี้คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ห้องเก็บฟืนก็เหมือนสร้างไว้เพื่อคนไร้อนาคตเช่นเขา ช่างน่าสมเพช"

เพราะไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินเล่นไปเรื่อย ๆ พอเจอจูผิงอันที่อยากจะไปพักในห้องเก็บฟืน ทุกคนก็เลยยืนดูสถานการณ์เหมือนกำลังจะเอาสนุก สักพักก็เดินตามไปที่โรงเตี๊ยมของพวกเขาโดยไม่รีรอ

จูผิงอันไม่รู้สึกอับอายเลย กลับเป็นท่านลุงใหญ่ที่หน้าแดงเหมือนเสียหน้ามากกว่า

โรงเตี๊ยมที่ท่านลุงใหญ่พักนั้นค่อนข้างไกล พอเดินไปประมาณครึ่งชั่วยามถึงจะถึง ที่พักของท่านลุงใหญ่ดูหรูหรากว่าโรงเตี๊ยมที่เคยดูเมื่อกี้มาก ถ้าในสมัยโบราณก็ถือว่าเป็นโรงเตี๊ยมระดับดี

เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นคนอ้วนที่ดูเหมือนพ่อค้า กำลังคิดไม่ตกเกี่ยวกับห้องเก็บฟืน เพราะเห็นว่ามีนักเรียนจำนวนมากมาเข้าพัก เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เลยสั่งให้จัดห้องเก็บฟืนให้เรียบร้อยแล้วตั้งใจจะให้เช่าราคาถูกเพื่อจะได้หารายได้เพิ่ม

แต่เจ้าของโรงเตี๊ยมก็ไม่คิดว่าเมื่อเสนอห้องเก็บฟืนให้กับนักเรียน กลับได้รับการตอบรับอย่างเกลียดชังจากพวกเขา พวกนักเรียนดูเหมือนจะเกลียดเขาราวกับเขาฆ่าพ่อพวกเขาเอง เกือบจะมีเรื่องกันจริง ๆ ถ้าเขาไม่ยอมแพ้และขอโทษเสียก่อน

เจ้าของโรงเตี๊ยมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมพวกนักเรียนถึงมีท่าทีแบบนี้

เมื่อเห็นห้องเก็บฟืนอีกครั้ง เขาก็เริ่มรู้สึกโมโห หากมีใครมาขอเช่าอีก เขาก็พร้อมที่จะให้ราคาถูกลงไปอีก เพื่อจะไม่ต้องเห็นมันอีก

ขณะที่เจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินเสียงสุภาพดังขึ้น

“ท่านเจ้าของโรงเตี๊ยมขอรับ ห้องเก็บฟืนยังว่างอยู่ไหมขอรับ?”

เจ้าของโรงเตี๊ยมเงยหน้าขึ้นไปเห็นเด็กหนุมอายุประมาณสิบสามสิบสี่คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีท่าทางเกรียน ๆ เบื้องหลังเด็กหนุ่มคือกลุ่มนักเรียนที่เพิ่งเช่าห้องจากเขา เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ กลุ่มนักเรียนก็ยืนยิ้มแสยะมองเขาเหมือนกับที่เจ้าของโรงเตี๊ยมเคยโดนพวกเขามอง

“มีขอรับ ถ้าท่านอยากได้ เดือนละครึ่งตำลึงนะขอรับ”

เจ้าของโรงเตี๊ยมที่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนตกต่ำสุด ๆ ก็พูดราคาถูกลงไปครึ่งหนึ่งในใจคิดว่า "คนเราก็ช่างเหมือนกัน ราคาถูกแบบนี้ก็น่าจะเช่าไปเถอะ"

กลุ่มนักเรียนที่เดินตามจูผิงอันมายืนดู พวกเขารู้สึกแปลกใจที่เจ้าของโรงเตี๊ยมลดราคาไปครึ่งหนึ่ง แต่น้ำเสียงที่พวกเขาพูดออกมานั้นกลับไม่มีความอิจฉาแม้แต่น้อย กลับยิ่งเยาะเย้ยจูผิงอันหนักขึ้นไปอีก ห้องเก็บฟืนมันก็ราคาถูกอยู่แล้ว ตอนนี้ราคาถูกไปอีก คนที่ไปพักในนั้นยิ่งดูไม่มีโชคเสียจริง ๆ

จูผิงอันยิ้มอย่างอารมณ์ดีและตอบว่า “ดีขอรับ ท่านเจ้าของโรงเตี๊ยม ขอบคุณที่ช่วยพาข้าไปดูห้องขอรับ”

เจ้าของโรงเตี๊ยมพาจูผิงอันไปที่ห้องเก็บฟืน จูโซ่วเหรินและกลุ่มนักเรียนที่ตามมาก็ยืนอยู่ไกล ๆ ไม่เข้ามา กลัวว่าจะซวยทำให้โชคไม่ดี

ห้องเก็บฟืนจากข้างนอกดูเรียบง่ายมาก แต่ภายในถูกจัดให้สะอาดสะอ้าน พื้นปูด้วยอิฐสะอาดเอี่ยม ข้างหน้าต่างมีโต๊ะและเก้าอี้ และเตียงที่เพิ่งย้ายเข้ามา มันหันหน้าไปทางแดด ซึ่งทำให้ห้องนี้มีแสงสว่างในช่วงบ่ายและจะสว่างในตอนกลางวันด้วย สภาพโดยรวมดีกว่าห้องต่ำสุดของโรงเตี๊ยมแรกมาก

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” เจ้าของโรงเตี๊ยมถามอย่างตื่นเต้น

“ข้าว่าโอเคนะขอรับ คุ้มค่าเกินคาด” จูผิงอันตอบพร้อมยิ้มกว้าง พยักหน้าอย่างพอใจ

เจ้าของโรงเตี๊ยมเริ่มชอบจูผิงอันมากขึ้น เห็นเขาตอบแบบนี้ก็ตัดสินใจลดราคาให้อีกหนึ่งเหรียญ

จูผิงอันเองก็เริ่มรู้สึกชื่นชอบเจ้าของโรงเตี๊ยมมากขึ้น ห้องที่ได้ในราคาแค่สี่ตำลึงนี่ดีมากแล้ว

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด