บทที่ 40 ข้อตกลง
“สาม สาม ห้า สิบเอ็ดแต้ม” ภายในบ่อนพลันเงียบสงัด มีเพียงเสียงของชายวัยกลางคนที่เอ่ยตัวเลขบนโต๊ะอย่างช้าๆ “ออกสูง”
“ข้าชนะแล้ว” ซูไป๋อีกำหมัดแน่น กล่าวคำนี้ออกมาทีละคำอย่างหนักแน่น
“เจ้าชนะแล้ว” มู่เหนียนฮวายิ้มบาง ก่อนหยิบไข่มุกกลับไปเสียบลงบนปิ่นปักผมของตน “ดูท่าไข่มุกเม็ดนี้จะยกให้ใครไม่ได้จริงๆ”
“ข้อตกลงของข้าเล่า?” ซูไป๋อีเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความจริงจัง
“ทุกท่านฟังให้ดี!” มู่เหนียนฮวาโบกแขนเสื้อพลางกล่าวด้วยเสียงก้องกังวาน
“แขกแห่งเรือจินเฟิง ซูไป๋อีและภรรยาของเขา ตราบเท่าที่เรือลำนี้ยังแล่นอยู่ ชีวิตของพวกเขาเปรียบได้ดั่งชีวิตของข้าเอง ผู้ใดคิดแตะต้องพวกเขา เท่ากับคิดแตะต้องข้า ใครกล้ารุกราน เท่ากับเป็นศัตรูกับตระกูลมู่ของเรา หากต้องการสังหารพวกเขา ก็ข้ามศพของข้าไปก่อน!”
ซูไป๋อีถอนหายใจอย่างโล่งอก รอยยิ้มผ่อนคลายเผยออกมาที่มุมปาก “ขอบคุณมาก”
“คนแพ้ย่อมต้องยอมรับผล” มู่เหนียนฮวาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ พลางยักไหล่
ขณะเดียวกัน บนห้องรับรองชั้นสอง หน้าต่างบานหนึ่งถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา
“ตระกูลมู่แห่งชิงโจว… น่าสนใจจริงๆ” เสียงทุ้มลึกดังขึ้นจากห้องนั้น
“ท่านรอง นายน้อยมู่เจ็ดผู้นี้ดูไม่เอาไหน แต่เขาเป็นคู่หมั้นที่ตระกูลเย่เลือกไว้ จึงมีโอกาสสูงที่จะได้เป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูล หากเราฆ่าเขา เท่ากับเป็นศัตรูกับพ่อค้าทั้งใต้หล้า”
“เป็นศัตรูก็ช่างสิ ข้าคือดาบสำหรับสังหารผู้คน จะเช็ดเลือดออกอย่างไร เป็นเรื่องของพวกเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า”
“ข้าจะไปเจรจากับพวกตระกูลมู่ดู ตราบใดที่บนเรือมีคุณชายผู้นี้ ย่อมมีพ่อบ้านมือหนักสักคนคอยตามดูแลอยู่ เขาอาจไม่เข้าใจเหตุผลของพวกเรา แต่พ่อบ้านย่อมเข้าใจเรื่องผลประโยชน์อย่างแน่นอน”
“ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า กับคำว่า อันดับหนึ่งในใต้หล้า มันต่างกันนัก”
ซูไป๋อีเดินออกจากห้องโถงอย่างสง่างาม ร่างเขายืนอยู่ที่หัวเรือ ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านใบหน้าพร้อมกับความสงบเงียบของผืนน้ำ เขาถอนหายใจแรงๆ สองครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผาก
เขาสบัดมือเล็กน้อย เพราะมันยังคงสั่นอยู่ไม่หาย ตั้งแต่เขาอุ้มหนานกงซีเอ๋อร์ขึ้นเรือมา เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีสายตาจำนวนมากจับจ้องมาที่พวกเขา เช่นเดียวกับที่หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวไว้ว่า การเดินทางทางน้ำคือกับดักรอจับพวกเขาโดยสมบูรณ์
ยิ่งเขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงตัดสินใจใช้วิชาพนันที่เซี่ยคั่นฮวาสอนมา ตั้งใจเปิดตัวเองให้เด่นชัด เพื่อบีบให้ตระกูลมู่ออกมาคุ้มครองพวกเขา
และผลที่ออกมานั้น ก็เกินความคาดหมาย เพราะเขาบีบให้คุณชายเจ็ดของตระกูลมู่ต้องประกาศปกป้องพวกเขาด้วยชีวิต
“อาจารย์ ข้าไม่คิดเลยว่าในยุทธภพอันแสนโหดร้ายนี้ วิชาพนันที่ท่านสอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ จะกลับมาช่วยชีวิตข้าได้” ซูไป๋อีพึมพำเบาๆ
“อาจารย์ของเจ้าคือใครหรือ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูไป๋อีหันกลับไปมอง เห็นมู่เหนียนฮวาเดินเข้ามายืนข้างๆ ใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มกวนประสาทประดับไว้อย่างเดิม ราวกับผลแพ้ชนะเมื่อครู่ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับเขา
“พูดไปก็เกรงเจ้าจะไม่เชื่อ” ซูไป๋อีหันกลับไปมองผืนน้ำพลางเอ่ยขึ้น “เพราะในสายตาของผู้คน เขาตายไปแล้ว”
“งั้นก็ไม่ต้องพูด” มู่เหนียนฮวายักไหล่ แต่ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่บอกข้ามาสิ เจ้าเดาผลลัพธ์ของลูกเต๋าได้อย่างไร?”
ซูไป๋อียิ้มออกมา “คำตอบนี้อาจทำให้เจ้าผิดหวัง”
“โอ้?” มู่เหนียนฮวากางพัดออกมาคลี่คลายพลางพัดเบาๆ “ยิ่งทำให้ข้าอยากรู้เข้าไปอีก”
ซูไป๋อียกมือขึ้นพลางยิ้มกว้าง “ข้าฟังไม่ออกเลยต่างหาก เสียงกระทบลูกเต๋าของเจ้า หลังจากสามครั้งก็หายไปหมดสิ้น เจ้าทำได้ร้ายกาจมากจริงๆ”
“แล้วทำไม…” มู่เหนียนฮวาเพ่งสายตามอง
“ข้าก็แค่เดาเท่านั้นเอง” ซูไป๋อียื่นมือออกไปให้มู่เหนียนฮวาดู เห็นได้ชัดว่าเหงื่อยังคงชุ่มมือเขา
“ในเมื่อมันคือการพนัน ข้าไม่มีทางมั่นใจว่าจะชนะ แต่ก็ไม่มีใครห้ามข้าว่าจะต้องแพ้ หยิบเดิมพันขึ้นแล้วคาดเดาไป หากเจ้ามิได้เล่นตุกติก ข้าก็ยังมีโอกาสเกือบครึ่งหนึ่งที่จะชนะ เจ้าว่าไม่จริงหรือ?”
มู่เหนียนฮวาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเบาๆ “แต่เจ้าพูดออกมาด้วยท่าทางหนักแน่นถึงเพียงนั้น”
“อาจารย์ข้าบอกไว้ว่า บนโต๊ะพนันจะเสียอะไรไปก็ได้ แต่เสียกิริยาไม่ได้” ซูไป๋อีชูนิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางแกว่งเบาๆ “แค่ส่งเสียงให้ดังเข้าไว้ แม้แต่ผีก็จะตกใจจนต้องมาช่วยโยนลูกเต๋าให้เจ้า”
“จริงหรือ?” มู่เหนียนฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ไม่จริงหรอก” ซูไป๋อีหัวเราะขมขื่น ก่อนยื่นมือที่ยังคงสั่นเบาๆ ให้ดู “ข้ายังกลัวจนมือสั่นไม่หายเลย”
“เจ้ามันน่าสนใจจริงๆ” มู่เหนียนฮวายิ้มรับอย่างอารมณ์ดี
“คุณชายเองก็ใช่ย่อย” ซูไป๋อีหมุนตัวหันหลัง “ข้าต้องกลับห้องแล้ว ปล่อยให้ศิษย์พี่ข้าอยู่คนเดียว ข้าอดเป็นห่วงนางไม่ได้”
“นางเป็นศิษย์พี่ของเจ้ารึ?” มู่เหนียนฮวาถึงบางอ้อ พลางถามต่อ “แล้วพวกเจ้าอยู่สำนักใดกัน?”
“แม้ข้ายังไม่เคยพบท่านอาจารย์ แต่ก็ขึ้นทะเบียนเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว นับว่าเข้าประตูแล้วกระมัง” ซูไป๋อีชี้นิ้วไปยังขอบฟ้าพลางกล่าวอย่างภาคภูมิ “พวกเราคือศิษย์แห่งสำนักศึกษา”
“เมืองเฉียนถัง สิบลี้หลางตัง สำนักศึกษานั้นรึ?” มู่เหนียนฮวาดวงตาทอประกายประหลาดใจ
“ใช่แล้ว” ซูไป๋อีพยักหน้าด้วยความภูมิใจ
“แต่สำนักศึกษาอยู่ทางนี้” มู่เหนียนฮวาชี้ไปในทิศตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน
“ข้าหูดีฟังลมเก่ง แต่เป็นพวกหลงทิศ คุณชาย ข้าขอตัวก่อน” ซูไป๋อียกมือคารวะก่อนหมุนตัวเดินจากไป
“ศิษย์สำนักศึกษาอย่างนั้นรึ?” มู่เหนียนฮวาเก็บพัดกลับเข้าที่ สายตาทอดมองไปยังทิศทางที่ซูไป๋อีเดินหายไป
“ไม่แปลกใจเลย ทำไมถึงได้มีความน่าสนใจเช่นนี้... ท่านอาสามของข้าก็เป็นศิษย์สำนักศึกษาเหมือนกัน เขาคือคนที่ข้ารู้สึกว่าน่าสนใจที่สุดในตระกูลมู่เช่นกัน”
“แต่เหตุใดสำนักศึกษาที่ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกถึงต้องถูกไล่ล่าเช่นนี้ล่ะ?” เขาพึมพำกับตัวเองอย่างครุ่นคิด
ทันใดนั้น เสียงจากเงามืดดังขึ้นอย่างเยือกเย็น “พวกเขาล่วงเกินผู้ใดนั้น ข้าว่าคุณชายย่อมรู้ดีกว่าข้า”
“สำนักสวรรค์ซ่างหลิน...” มู่เหนียนฮวาเอ่ยชื่อเบาๆ พลางทอดสายตาไปบนฟากฟ้า “ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ สำนักที่ยกย่องสำนักศึกษามาโดยตลอด เหตุใดถึงต้องไล่ต้อนให้คนหนุ่มสาวเหล่านี้จนมุม?”
“มองอย่างไร คุณชายก็เสียเปรียบในการเดิมพันครั้งนี้” เสียงจากเงามืดเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“หากการทำการค้าต้องคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ ตระกูลมู่ก็คงไม่ยืนอยู่ถึงวันนี้หรอก” มู่เหนียนฮวายิ้มบาง “เช่นเรือจินเฟิงลำนี้ ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าในการสร้าง แต่ใครบ้างไม่คิดถึงมันเมื่อนึกถึงตระกูลมู่? การค้าขายสำคัญที่ความซื่อตรง ข้าแพ้แล้วย่อมยอมรับผล ยึดถือสัตย์สัญญา”
“เช่นนั้นข้าจะไปเจรจากับพวกเขา” ชายชราตอบเสียงเรียบ
“หากเจรจาไม่สำเร็จเล่า?”
“ก็ให้พวกเขาฆ่าข้าเสีย” มู่เหนียนฮวากล่าวอย่างหนักแน่น
“มีไม่กี่สำนักในใต้หล้าที่กล้าฆ่าทายาทตระกูลมู่ แต่สำนักสวรรค์ซ่างหลินเป็นหนึ่งในนั้น” ชายชราตอบเสียงต่ำ
“มีไม่กี่ตระกูลที่กล้าท้าทายสำนักสวรรค์ซ่างหลินเช่นกัน แต่ตระกูลมู่ของข้าก็สามารถเป็นหนึ่งในนั้นได้” มู่เหนียนฮวาเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจ้า พลางยิ้มบางเบา