บทที่ 37 ฟุ้งซ่าน
ตลอดทางที่มุ่งไปยังห้องพัก ซูไป๋อีครุ่นคิดไม่หยุดยั้ง เขาเคยอ่านเรื่องเล่าในตำรามากมายนัก และเหตุการณ์เช่นนี้ก็คล้ายกับในเรื่องเล่านั้นเสมอ
เมื่อห้องพักเหลือเพียงห้องเดียว ชายหญิงที่ไม่มีความสัมพันธ์พิเศษใดๆ กลับต้องพักด้วยกัน เรื่องราวก็มักจะดำเนินไปในทางเดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มจะยกเตียงให้หญิงสาวอย่างไม่ลังเล หญิงสาวก็จะเขินอายแต่ยอมรับความหวังดีนั้น ฝ่ายชายจึงนอนที่พื้นหรือบนเก้าอี้ตัวยาว แต่ไม่ว่าจะเป็นพื้นหรือเก้าอี้ มันย่อมแข็งกระด้างจนนอนไม่สบาย
ฝ่ายชายก็จะพลิกตัวไปมาโดยไม่ตั้งใจ แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันไม่สบายเอาเสียเลย
หญิงสาวก็จะเอ่ยขึ้นมาด้วยความเห็นใจ “นอนที่พื้นมันแข็งไปใช่หรือ?”
ฝ่ายชายจะปฏิเสธว่า “ไม่เป็นไร เจ้าหลับเถิด”
แต่สุดท้าย หญิงสาวก็จะเอ่ยอย่างเขินอาย “ขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันเถิด บนนี้มีผ้าห่มสองผืน”
ชายหนุ่มจึงยอมอย่างไร้ข้ออ้าง พลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเราควรวางถ้วยน้ำไว้กลางเตียงเพื่อความสบายใจหรือไม่?”
ฝ่ายหญิงก็จะหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ไม่จำเป็น ข้าเชื่อใจเจ้า…”
ท้ายที่สุด น้ำในถ้วยนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผ้าห่มสองผืนก็กลายเป็นผืนเดียว... และเรื่องราวที่ควรเกิดก็ย่อมเกิดขึ้น
ซูไป๋อีคิดไปเรื่อยเปื่อย หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ แน่นอนว่าศิษย์พี่หญิง หนานกงซีเอ๋อร์ งดงามจนยากหาสตรีใดเปรียบได้ ทั้งเรียวขางามระหง ผิวพรรณนวลกระจ่างดุจหยก ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ เอวคอดกิ่ว และหน้าอกที่...
แต่เขาสาบานต่อฟ้าว่าตนเองมิได้มีความคิดอันใดที่ไม่เหมาะสม เพียงเพราะอ่านเรื่องเล่ามากไป จึงอดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านเท่านั้น
“โอ๊ย! ข้าคิดมากไปเสียแล้ว!” ซูไป๋อีสะบัดหัวแรงๆ ขจัดความคิดเหล่านั้นออกไป ก่อนจะค่อยๆ วางศิษย์พี่หญิงลงบนเตียง พลางคลี่ผ้าห่มให้นางอย่างเบามือ
เสียงลมหายใจของหนานกงซีเอ๋อร์สม่ำเสมอ อกขยับขึ้นลงตามจังหวะ
“สาบานต่อฟ้าเลยว่า ข้าไม่มีความคิดอื่นใดแน่นอน!” ซูไป๋อีหันหน้าหนีด้วยความกระดากอาย ก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ ห้องพัก
ในห้องนั้นปูพรมหนานุ่มทั่วทั้งห้อง กลางห้องยังมีเก้าอี้ยาวสองตัว ด้านบนปูด้วยหนังเสือขาวหนานุ่ม
เขาทดลองนั่งลงบนเก้าอี้แล้วลูบไล้ขนเสือพลางถอนหายใจ “นุ่มเสียยิ่งกว่าเตียงที่บ้านข้าเสียอีก ถ้าเป็นตามเรื่องราวในตำราคงเป็นเช่นนี้....”
ศิษย์พี่หญิง “นอนบนเก้าอี้มันไม่แข็งไปหรือ?”
ซูไป๋อีเงียบสนิท หลับสบายไปนานแล้วต่างหาก...
“ถึงขั้นเห็นภาพเลยหรือนี่” ซูไป๋อีหัวเราะเบาๆ พลางยืดเส้นยืดสาย
“แต่ว่า ข้านอนไม่ได้อยู่แล้ว...” เขาหยิบผ้าคลุมขึ้นพาดบ่า เป่าเทียนดับ แล้วเปิดประตูเดินออกไป
ห้องหิมะวสันต์ยังคงปิดสนิทไม่มีความเคลื่อนไหว ส่วนห้องเมฆาเหินกลับเปิดประตูออกอีกครั้ง ชายชราผมขาวยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือถือมีดเล่มเล็กเอาไว้ แต่คราวนี้ไม่ใช่การตัดเล็บ หากแต่เป็นการตัดไส้เทียนออกมาจากเปลวไฟ ก่อนจะสะบัดมีดในมือส่งเปลวไฟนั้นก็กลับคืนสู่เทียนอีกครั้ง ทำซ้ำไปซ้ำมาราวกับเล่นกล แต่กลับไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าหนุ่ม เจ้าดูอยู่สนุกหรือไม่?” ชายชราถามขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“ฝีมือท่านล้ำเลิศนัก” ซูไป๋อีรีบยิ้มแห้งๆ
“ลองทำดูหรือไม่เล่า?” ชายชราโยนมีดเล็กในมือหมุนควงมาทางซูไป๋อี
“ไม่ดีกว่า” ซูไป๋อีโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะเดินออกไปด้วยความร้อนรน
เมื่อเขาเดินลงมาถึงห้องชั้นดิน บรรยากาศกลับเงียบสงบ ผู้คนต่างพักผ่อน แต่เมื่อเขาเดินลงไปยังชั้นล่างสุด ทุกอย่างกลับพลิกตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
เสียงโหวกเหวกดังก้อง ผู้คนเมามายเดินเซไปมา ร้านค้าต่างๆ เรียงรายไปทั้งสองฝั่ง ทั้งร้านอาหาร ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายยาสมุนไพร และแม้กระทั่งโต๊ะที่มีผู้คนรุมล้อม แข่งกุ้งชน
ซูไป๋อีเดินดูด้วยความสนอกสนใจ ก่อนจะล้วงกระเป๋าเงินของตนเองออกมา มีเพียงเศษเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญ แต่เขานึกถึงคำพูดของนายเรือที่บอกว่าผู้เข้าพักกินอาหารไม่ต้องจ่าย จึงเดินไปหยิบซาลาเปาเนื้อลูกหนึ่ง
พ่อค้าขายซาลาเปาหันมาจ้องเขาอย่างงุนงง ซูไป๋อีเองก็จ้องกลับไป ต่างฝ่ายต่างมึนงง
เมื่อซูไป๋อีงับซาลาเปาคำหนึ่ง พ่อค้าก็ได้สติยื่นมือออกมา “จ่ายเงินด้วย!”
“มิใช่ว่าผู้เข้าพักไม่ต้องจ่ายเงินหรอกหรือ?” ซูไป๋อีถามอย่างไม่เข้าใจ
“สำหรับห้องชั้นฟ้าเท่านั้น ห้าอีแปะ!” พ่อค้าขมวดคิ้ว
ซูไป๋อียิ้มเจื่อน พลางหยิบกุญแจห้องชั้นฟ้าออกมาให้ดู
พ่อค้าถึงกับชะงัก แต่ยังคงมึนงง “ผู้เข้าพักห้องชั้นฟ้ายังจะกินซาลาเปาด้วยหรือ?”
“แล้วเช่นนั้นพวกเขากินสิ่งใดกันเล่า?” ซูไป๋อีถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ข้างหน้ามี หลิวหลีจายกับขนมชั้นเลิศ อีกทั้งปากเป็ดอบหนังกรอบจากหอบาตั่ว …” เสียงของพ่อค้าขายซาลาเปายังไม่ทันจบ ซูไป๋อีก็กินซาลาเปาในมือหมดเกลี้ยงภายในสองคำ ก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ทว่าเขายังไม่ทันเดินไปถึงหลิวหลีจายหรือหอบาตั่ว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง ทำให้เขาต้องหันไปมองทันที
“วางเดิมพันกันเถอะ! แทงใหญ่วันนี้เฮงสุด แทงเล็กก็ยังชนะ หากใจกล้าเช่นเสือและหมี ย่อมกลับบ้านพร้อมสมบัติและทองคำ!”
ซูไป๋อีหันขวับทันที ดวงตาเป็นประกาย “บ่อนพนัน!”
เขาได้ยินคำว่า “บ่อนพนัน” หลายครั้งแล้วระหว่างเดินเล่น ทว่าคิดถึงกระเป๋าที่แบนราบจึงไม่ได้แวะ แต่ครานี้ผ่านหน้าบ่อนพอดี
นี่คงเป็นลิขิตสวรรค์แล้วกระมัง
ความคิดดังกล่าวทำให้เขาหันหลังกลับ เดินลิ่วเข้าไปในบ่อนโดยไม่คิดถึงอาหารเลิศรสใดๆ อีก
เมื่อเข้าไปในบ่อนพนัน ภาพที่เห็นทำให้เขารู้สึกเหมือนย่างกรายเข้าสู่โลกอีกใบ ภายในนั้นเต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา บ้างโศกเศร้าร้องไห้ บ้างหัวเราะเสียงดังลั่น บ้างหน้านิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด บ้างตัวสั่นเทา หน้าตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
“คุณชาย?” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นจากข้างกาย ซูไป๋อีหันไปมอง เห็นเด็กสาวไน่ลั่วยืนอยู่ตรงนั้น
“ไน่ลั่ว? ช่างบังเอิญเสียจริง” ซูไป๋อีหน้าแดงเล็กน้อย
“ในเรือจินเฟิงแห่งนี้ บ่อนพนันคือที่คึกคักที่สุด หากคุณชายไม่ต้องการรับการปรนนิบัติ ข้าก็มักจะมาช่วยงานที่นี่เจ้าค่ะ แต่ในเมื่อคุณชายมาถึงแล้ว ข้าย่อมต้องอยู่ปรนนิบัติท่าน” ไน่ลั่วยิ้มพลางโค้งกาย
“ไม่ทราบคุณชายอยากจะเล่นสิ่งใด? ไพ่เก้า? หลิ่วป๋อ? หม่าเตี้ยว? หรือ เกมใบไม้?”
“ข้าเล่นไม่เป็นสักอย่าง” ซูไป๋อีส่ายหัว
“แล้วคุณชายอยากเล่นอะไรหรือเจ้าคะ?” ไน่ลั่วถามต่อ
“แทงสูงต่ำ!” ซูไป๋อีตอบอย่างหนักแน่น
ไน่ลั่วแอบหัวเราะเบาๆ ก่อนผายมือเชิญทาง “เชิญคุณชายตามข้ามาเถิดเจ้าค่ะ”
นางนำซูไป๋อีมาหยุดที่โต๊ะพนันทางด้านซ้าย โต๊ะนี้มีผู้คนรายล้อมจนแทบไม่มีที่ว่าง แต่เมื่อเห็นไน่ลั่วปรากฏตัว ทุกคนก็หันขวับมองพร้อมกัน และต่างขยับตัวหลีกทางโดยไม่ต้องให้เอ่ยคำใด
ไน่ลั่วพาซูไป๋อีเดินไปหยุดที่โต๊ะใหญ่ ซึ่งมีสาวงามเรือนร่างเย้ายวนเป็นเจ้ามือ นางยิ้มบางพลางเอ่ยเสียงอ่อนหวาน
“คุณชายมาถูกจังหวะพอดีเจ้าค่ะ กำลังจะปิดรับเดิมพันพอดี คุณชายจะวางเดิมพันหรือไม่?”
“ข้าแทงสูง!” ซูไป๋อีประกาศเสียงดัง
“คุณชายจะวางเดิมพันเท่าใดเจ้าคะ?” สาวเจ้ามือถามยิ้มๆ
ซูไป๋อียื่นมือเข้าไปล้วงในกระเป๋าเงินอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเทเศษเหรียญทองแดงออกมาสามเหรียญ จากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะอย่างจริงจังที่สุด
“สามเหรียญทองแดง”
ทั้งโต๊ะพลันเงียบกริบ สายตาหลายคู่มองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ