บทที่ 36 ห้องชั้นฟ้า
เมื่อซูไป๋อีก้าวขึ้นสู่เรือจินเฟิง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เรือสามชั้นที่โอ่อ่านี้เต็มไปด้วยโคมแดงที่ประดับประดาเรียงรายทั้งสองฝั่ง ข้างทางยังมีร้านค้า หอสุรา และบ่อนพนัน เรียกได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเรือลำหนึ่ง
“คุณชาย เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นตรงหน้า เป็นเด็กสาวในชุดขาว มือถือโคมแดงไว้ อายุยังเยาว์วัย แต่ดวงตากลับใสกระจ่างดุจสายน้ำ
“แม่นางน้อย เจ้าเป็นใครหรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ข้าน้อยมีนามว่าไน่ลั่ว เป็นนางกำนัลรับใช้คุณชายและคุณหนูระหว่างการเดินทางครั้งนี้เจ้าค่ะ” นางโค้งกายทำความเคารพอย่างสง่างาม ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าจะพาท่านทั้งสองไปยังห้องพักเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยว นี่หมายความว่าห้องหนึ่งยังมีนางกำนัลประจำด้วยอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นเงินที่จ่ายไปก็คุ้มค่าอยู่ไม่น้อย” ซูไป๋อีอุทานอย่างเข้าใจ
ไน่ลั่วยิ้มเล็กน้อย “มีเพียงห้องชั้นฟ้าเท่านั้นที่มีเกียรติรับใช้เช่นนี้เจ้าค่ะ”
“ว่าแต่ห้องราคาถูกสุดยังสิบตำลึงเงิน แล้วห้องชั้นฟ้านี้ต้องใช้เท่าไหร่กัน? อย่างน้อยคงต้องสามสิบตำลึงเงินใช่หรือไม่?” ซูไป๋อีถามขึ้นลอยๆ
ไน่ลั่วหัวเราะเบาๆ พลางเอามือปิดปาก “คุณชายคาดเดาตัวเลขถูกแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรที่เดาผิดกันล่ะ?” ซูไป๋อีถามต่อ
“มิใช่เงิน แต่เป็นทองเจ้าค่ะ สามสิบตำลึงทองถึงจะพักห้องชั้นฟ้าได้” ไน่ลั่วกล่าวพลางเดินนำหน้าไป
ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราก็พุ่งออกมาจากข้างทาง กลิ่นสุราคละคลุ้ง พลางตะโกนโหวกเหวก
“เรือบ้าอะไรกัน! มีทั้งหอสุรา บ่อนพนัน แต่กลับไม่มีหอนางโลม! ต้องติดอยู่บนเรือเดือนกว่า จะให้ข้าทนอยู่ได้อย่างไร!”
ไน่ลั่วหยุดฝีเท้าลงทันที ขมวดคิ้วเล็กน้อยถอยไปหนึ่งก้าว ซูไป๋อีเองก็หยุดตาม
ชายร่างใหญ่หันมาพอดี สายตาจับจ้องไปที่หนานกงซีเอ๋อร์ในอ้อมแขนของซูไป๋อี ดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันที “โฮ่! บนเรือนี่มีของดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ? มานี่มา! มาดื่มกับข้าสักจอก ดีไม่ดี ข้าจะให้รางวัลเจ้าเอง!”
“เจ้าอยากมีเรื่องรึ!” ซูไป๋อีตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว
“คุณชาย ใจเย็นเถิดเจ้าค่ะ” ไน่ลั่วเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม ก่อนเดินออกไปยืนขวางหน้าชายฉกรรจ์
ชายร่างใหญ่เบ้ปากด้วยความรำคาญ “แม่สาวน้อย โตขึ้นอีกสักหน่อยค่อยกลับมาหาข้าเถอะ”
ทันใดนั้น ไน่ลั่วเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ใสกระจ่างพลันแปรเปลี่ยนไป แววตาคมปลาบฉายแววอำมหิต ชายร่างใหญ่รู้สึกถึงลมเย็นวูบผ่านกลางหลัง หัวใจพลันสั่นไหวโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้เขาจะเป็นจอมยุทธมีฝีมือในยุทธภพที่ผ่านการฆ่าฟันมานับสิบปี แต่กลับเกิดความกลัวเด็กสาวตรงหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะตะโกนลั่นและชกหมัดเข้าใส่
“ระวัง!” ซูไป๋อีร้องเตือนอย่างตกใจ
ทว่าเพียงชั่วพริบตา ไน่ลั่วยกสองมือขึ้นรับหมัดนั้น พร้อมเอ่ยเสียงเย็นชา “ปลด!”
ชายร่างใหญ่รู้สึกพลังทั้งร่างหายวับไปอย่างกับสายน้ำไหลลงสู่ท้องธาร ทว่าไม่ทันได้คิด ไน่ลั่วกลับหมุนข้อมือเขา หันหลังกลับพร้อมกระแทกหมัดเขาลงกับพื้น
ปัง!
เสียงกระดูกหักดังกร็อบแกร็บตามมาพร้อมกับเสียงครางโอดครวญ ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะหมดสติไปอย่างรวดเร็ว
ไน่ลั่วหยิบโคมแดงขึ้นมาจากพื้น พร้อมหันมายิ้มให้ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์อย่างไร้เดียงสา “ทำให้คุณชายตกใจ ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ซูไป๋อียืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างงงๆ “ไม่...ไม่เป็นไร”
“เชิญพวกเราไปกันต่อเถิดเจ้าค่ะ” ไน่ลั่วหันหลังกลับอย่างสงบ พลางเหยียบผ่านชายร่างใหญ่ที่นอนแน่นิ่ง
ซูไป๋อีมองดูด้วยความสงสารเล็กน้อย ก่อนจะก้าวข้ามร่างนั้นตามมา
ราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ไน่ลั่วกลับมาด้วยท่าทีสดใสร่าเริง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหวานใส “ห้องชั้นฟ้าบนเรือนี้มีทั้งหมดสี่ห้องเจ้าค่ะ โดยตั้งชื่อตามบทกวีของบรรพชนตระกูลมู่ว่า 'หิมะวสันต์โปรยปราย ผีเสื้อเริงรำเมฆาล่องลอย' ดังนั้นทั้งสี่ห้องมีนามว่า หิมะวสันต์ โปรยปราย ผีเสื้อ และ เมฆาเหิน ซึ่งขณะนี้ ห้องอื่นๆ ล้วนมีแขกเข้าพักแล้ว”
“ผู้ที่ได้เข้าพักในห้องชั้นฟ้าเหล่านี้ คงล้วนเป็นคนใหญ่คนโตใช่หรือไม่?” ซูไป๋อีถามหยั่งเชิง
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ สามสิบตำลึงทองแม้ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย แต่เหล่าพ่อค้าวาณิชนั้นยังพอจ่ายไหว เพียงแต่ว่าห้องชั้นฟ้านี้มิใช่จะใช้เงินซื้อได้เสมอไป ต้องอาศัยวาสนาด้วย” ไน่ลั่วกล่าวพลางยิ้ม
“วาสนา?” ซูไป๋อีขมวดคิ้ว “แล้ววาสนาของพวกเราสองคนกับเรือลำนี้คือ…”
“ข้าได้ยินคำจากเถ้าแก่เหยียนมาว่า วาสนาของพวกท่านก็คือห้องชั้นดินนั้นเต็มหมดแล้ว แต่เงินที่ท่านจ่ายก็อยู่เหนือห้องรวมชั้นล่างไปมาก เขาเองก็รู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง ประจวบเหมาะกับห้องชั้นฟ้าห้องหนึ่งยังว่างอยู่ จึงเป็นวาสนาของท่านเจ้าค่ะ” ไน่ลั่วกล่าวจบก็หยุดเดิน ด้านหน้าปรากฏชายสองคนในชุดเกราะพร้อมอาวุธครบมือ ยืนเฝ้าหน้าห้องราวกับรูปปั้นไร้ชีวิต
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ ข้าส่งพวกท่านได้เพียงเท่านี้ หากต้องการสิ่งใดเพียงบอกเสี่ยวติงและเสี่ยวอี้ทั้งสองผู้นี้ก็พอ”
“ได้” ซูไป๋อีพยักหน้า ก่อนจะสังเกตชายทั้งสองที่ยืนนิ่งประหนึ่งรูปสลัก
“ห้องสุดท้ายนั่นคือห้องโปรยปราย นี่คือกุญแจเจ้าค่ะ” ไน่ลั่วหยิบกุญแจออกมาวางลงบนมือซูไป๋อี พลางกระซิบเสียงแผ่วเบา “อย่าได้พูดคุยกับแขกห้องชั้นฟ้าห้องอื่นโดยไม่จำเป็น”
ซูไป๋อีชะงัก ก่อนจะหันไปมองแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของไน่ลั่วที่เดินจากไปแล้ว เขารับกุญแจด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ขณะที่เดินผ่านห้องที่มีป้าย “เมฆาเหิน” ประตูห้องนั้นเปิดอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเข้าไป เห็นชายชราผมขาวโพลนกำลังนั่งตัดเล็บอย่างใจเย็น เมื่อสังเกตเห็นสายตาของซูไป๋อี ชายชราก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้
ความรู้สึกราวกับคมเข็มแทงทะลุแผ่นหลัง ทำให้ซูไป๋อีเย็นวาบไปทั้งตัว เขารีบเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงห้องที่มีป้าย “ผีเสื้อ” ประตูก็ถูกผลักเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดหรูหราฐานะมั่งคั่งก้าวออกมา พร้อมเดินชนกับซูไป๋อีเข้าเต็มๆ
“เจ้าเป็นใคร?” ชายมั่งคั่งเอ่ยเสียงห้วน
“ข้าอยู่ห้องโปรยปราย” ซูไป๋อีตอบพลางชี้ไปที่ห้องของตนเอง
ชายมั่งคั่งหรี่ตาลงเล็กน้อย “มิน่าเล่า ไอ้เด็กมู่คนนั้นถึงให้ข้าห้องเดียว เพราะอีกห้องตกเป็นของเจ้านี่เอง” สายตาของเขาลากไล่ไปยังหนานกงซีเอ๋อร์ในอ้อมแขนซูไป๋อีด้วยความหมายลึกซึ้ง ก่อนจะเดินจากไป
เมื่อเดินผ่านห้อง เมฆาเหิน ชายมั่งคั่งก็หยุดฝีเท้า “ผู้อาวุโสสวี พนันสักเกมหรือไม่?”
“ไปให้พ้น” เสียงกังวานจากห้องนั้นดังขึ้น พร้อมกับเสียงมีดตัดเล็บกระทบพื้น ประตูห้องปิดลงในทันใด
“น่าเบื่อเสียจริง” ชายมั่งคั่งถอนหายใจ ก่อนเดินออกไป
ส่วนห้องหิมะวสันต์นั้นยังคงเงียบสนิท ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ซูไป๋อีไขกุญแจเปิดประตูห้องโปรยปราย พาหนานกงซีเอ๋อร์เข้าไปภายใน ก่อนจะปิดประตูลง เขาหันมองไปรอบห้องอย่างระมัดระวังพลางถอนหายใจออกมา
“ศิษย์พี่หนอศิษย์พี่… เหตุใดข้าจึงรู้สึกไม่สบายใจเลยสักนิด?” ซูไป๋อีบ่นพึมพำ “หรือพวกเราจะขึ้นเรือโจรกันแน่…”
ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับจากหนานกงซีเอ๋อร์ ซูไป๋อีขมวดคิ้วก่อนจะก้มมองดูนาง เขาถึงได้รู้ว่านางหลับสนิทไปตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ ลมหายใจสม่ำเสมอ ดวงหน้าที่ดูอ่อนล้าแต่สงบ ทำให้ซูไป๋อีได้แต่นิ่งเงียบ
“หลับไปเสียแล้วหรือ?” เขากระซิบแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ วางนางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง
ภายในห้องโปรยปราย แสงโคมแดงที่ลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนให้เห็นบรรยากาศแปลกประหลาด ด้านนอกเงียบสงัด แต่ในใจซูไป๋อียังคงคุกรุ่นไปด้วยความกังวล