บทที่ 33 เคียวแห่งยมทูต
"ร่างกายรับพลังนั้นไม่ไหว ถูกเผาไหม้จนสลายไปแล้ว" เฟลินกล่าวด้วยความเสียใจ
“อ๊าว!” ซอมบี้ตัวเล็กวิ่งหนีจากยักษ์ลาวาและรีบตรงมาหาโครงกระดูกเทวทูต มันใช้สองมือพยายามจับเถ้าถ่านสีดำใส่กลับเข้าไปในโครงกระดูกของเทวทูต เหมือนพยายามหยุดการสลายตัว
อย่างไรก็ตาม เถ้าถ่านนั้นแม้จะดูเหมือนจับตัวเป็นก้อน แต่พอสัมผัสก็กลายเป็นผง ซอมบี้ตัวเล็กได้แต่กุมมือที่เต็มไปด้วยผงเถ้าอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะร้องเสียงหลงและเขย่าตัวโครงกระดูกเทวทูตไปมา
โครงกระดูกเทวทูตที่ถูกเขย่าอย่างแรงเกือบจะพังลง มันเงื้อหมัดแล้วต่อยเข้าที่เบ้าตาของซอมบี้ตัวเล็กอย่างแรง
จากแรงเขย่า ผงเถ้าที่ติดอยู่บนโครงกระดูกเทวทูตกระจายออกหมด เผยให้เห็นโครงกระดูกที่ยังสมบูรณ์ดี แม้เนื้อหนังและปีกจะสลายไปแล้วก็ตาม
“อ๊าว!” ซอมบี้ตัวเล็กกุมเบ้าตาที่โดนต่อย ก่อนจะนั่งลงกับพื้น มันไม่ได้โกรธแต่กลับร้องด้วยความดีใจ เพราะโครงกระดูกเทวทูตยังมีแรงต่อยมัน แสดงว่ายังไม่เป็นอะไร
อังก์มองโครงกระดูกเทวทูตและพบว่า แม้เนื้อหนังจะสลายไป แต่โครงกระดูกยังคงอยู่ในสภาพดี มีเพียงกระดูกปีกที่แตกร้าวและดวงจิตที่อ่อนแอลง
เขาหันไปใช้เวทย์เรียกฝนใส่ยักษ์ลาวา สายน้ำที่ต่อเนื่องทำให้ยักษ์ลาวากลายเป็นยักษ์ดิน ก่อนจะละลายกลายเป็นดินโคลนก่อนที่จะเดินมาถึงตัวอังก์
ทางด้านเอบส์โก้ เขาก็จัดการยักษ์ลาวาอีกตัวจนพังทลายลง ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังที่ที่ตูลูสล้มลง
เมื่อไปถึง พวกเขาพบว่าร่างของตูลูสแตกสลายไปแล้ว เหลือเพียงรูปร่างคล้ายรูปปั้นที่แตกหักเหมือนหิน
“เป็นไปไม่ได้ แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไม่น่าจะฆ่าปีศาจระดับสูงได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เฟลินพูดพลางเตะเศษซากของตูลูสด้วยความสงสัย
แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องอาจดูรุนแรง แต่ด้วยความที่ถูกปลดปล่อยโดยโครงกระดูกเทวทูตและยังต้องพึ่งพลังของอังก์ ความรุนแรงนั้นไม่น่ามากพอจะฆ่าปีศาจระดับสูงได้
เศษซากหินที่ถูกเตะแตกออก เผยให้เห็นวัตถุแข็งบางอย่างข้างใน เฟลินลองเอาเท้าเขี่ยดู แต่กลับทำให้กระดูกหัวแม่เท้าหัก เขาใช้มือดันกระดูกกลับก่อนจะเปลี่ยนจากการเตะเป็นเหยียบเพื่อดูวัตถุนั้นให้ชัดขึ้น
วัตถุนั้นคือหินสีดำ มีผิวมันวาวคล้ายโลหะ ดูแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“นี่มันศิลาปีศาจ?” เฟลินขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ “แย่แล้วล่ะ”
“ศิลาปีศาจ? นี่ใช่สิ่งที่ปีศาจใช้เปลี่ยนสายเลือดของตัวเองให้กลายเป็นหินและเชื่อมกับแผ่นดินเพื่อสร้างเกราะคุ้มกันหรือไม่? มันคือความสามารถเกิดใหม่ของปีศาจลาวาใช่ไหม?” เอบส์โก้ถามด้วยความตกใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เลวเลยที่รู้จัก ศิลาปีศาจหรือจะเรียกว่าสุสานปีสาจก็ได้ มันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีทางทำลายได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะของตูลูสดังขึ้น ขณะที่ภาพลวงของเขาปรากฏอยู่บนศิลานั้น
เอบส์โก้ไม่สนใจเสียงหัวเราะ เขาพยายามขุดและงัดศิลาออกมา แต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายมันได้
“ดึงไม่ออกเลยหรือ?” เขาถาม
“ดึงไม่ออก ศิลานี้เชื่อมต่อกับแผ่นดิน มันเป็นค่ายกลธาตุดินที่แข็งแกร่งมาก ถ้าเราไม่สามารถเคลื่อนแผ่นดินทั้งหมดได้ก็ไม่มีทางขยับมัน” เฟลินส่ายหน้า
“แล้วถ้าใช้เวทย์ทำลายล่ะ?” เอบส์โก้ถามขณะพยายามใช้เวทย์ระเบิด แต่ศิลาก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน และการขุดดินรอบ ๆ ก็พบว่าศิลานี้เชื่อมลึกลงไปกับชั้นหินใต้ดิน
“ไม่ได้ผล ถ้าเราจะดึงมันออก เราต้องรวบรวมพลังจากเหล่าสิ่งมีชีวิตอันเดดทั้งหมดให้มาร่วมมือกันเป็นพัน ๆ ตัว ถึงอาจมีโอกาส แต่…” เฟลินมองฟ้าด้วยความกังวล
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ สายลมแห่งการพักผ่อนกำลังจะเริ่มพัด ซึ่งนี่คือตัวช่วยให้ตูลูสมีเวลาตลอดทั้งคืนในการฟื้นตัว หากไม่มีใครสามารถทำลายศิลาปีศาจได้ก่อนรุ่งเช้า ตูลูสจะกลับมามีพลังเต็มที่อีกครั้ง
ทันใดนั้นลมก็พัดแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“กลับกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกลับมาดูอีกครั้ง ถ้าเขายังไม่หนีไป เราค่อยหาทางจัดการศิลาปีศาจ” เฟลินพูดด้วยความเสียดาย
เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ หากตูลูสไม่โง่จนเกินไป เมื่อสายลมแห่งการพักผ่อนสงบลงในวันพรุ่งนี้ ตูลูสจะต้องหนีไปในทันที แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อยังไม่สามารถทำลายศิลานี้ได้ในทันที พวกเขาจึงต้องยอมรับความจริงนี้ไปก่อน
ในขณะนั้นเอง อังก์ชักเคียวออกมาแล้วฟาดลงไปที่ศิลาเสียงดัง “เคร้ง!” เคียวกระทบกับศิลาจนเกิดประกายไฟเล็กน้อย แต่ศิลายังคงไม่เสียหายใด ๆ มีเพียงคมเคียวที่บิ่นออกไปเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดจะใช้เครื่องมือการเกษตรเก่า ๆ ฟาดศิลาปีศาจให้แตกหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า น่าขำจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นฟาดมาอีกสิ เอาแรงกว่านี้!” เงาของตูลูสหัวเราะลั่น
อังก์ไม่สนใจคำพูดนั้น เขาดึงเคียวกลับมาและฟาดลงไปอีกครั้งอย่างแรง
แม้แต่เฟลินก็ทนดูไม่ได้และพูดขึ้นว่า “ท่านอังก์ มันไม่ได้ผลหรอก ศิลาปีศาจไม่เคยมีใครได้ยินว่าถูกทำลายด้วยอาวุธ เรากลับกันก่อนเถอะ”
แต่อังก์ยังคงนิ่งเฉย เพราะในดวงจิตของเขามีเสียงที่ดังก้องขึ้นมา “แค่เจ้าไม่เคยได้ยินเอง ความรู้น้อยเกินไป ใช้แรงฟาดลงไป ใช้พลังจากดวงจิตของเจ้า ใช้แรง! ใช้แรงเข้าไป! สิ่งเดียวที่จะทำลายศิลานี้ได้คือเคียวแห่งยมทูต อาวุธแห่งดวงจิต!”
ภายใต้คำกระตุ้นจากไนเกรส เปลวไฟแห่งดวงจิตของอังก์พุ่งเข้าสู่เคียว คมเคียวเริ่มเปล่งประกายราวกับมีพลังงานบางอย่างไหลเวียน มันดูใหญ่ขึ้นและทรงพลังมากขึ้น ก่อนจะฟาดลงไปที่ศิลาปีศาจอีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีเสียงปะทะ ไม่มีเสียงกระแทกใด ๆ ราวกับว่าศิลาและเคียวกลายเป็นภาพมายา บริเวณที่เคียวกรีดผ่าน มีเพียงเปลวไฟแห่งดวงจิตที่ถูกเกี่ยวออกมา
เงาของตูลูสที่อยู่บนศิลาหายไปแทนที่ด้วยเสียงร้องโหยหวนจากเปลวไฟแห่งดวงจิต
เฟลินและเอบส์โก้จ้องมองด้วยความตกตะลึง “ท่านอังก์ ท่าน…ท่านเกี่ยวดวงจิตของเขาออกมาได้หรือ?”
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น อังก์เอียงคอเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือไปจับเปลวไฟแห่งดวงจิต
เมื่อดวงจิตถูกดึงออกมา ศิลาที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้กลับสูญเสียประกายและความแข็งแกร่ง กลายเป็นเพียงก้อนหินที่ค่อย ๆ แตกสลายราวกับหินผุ
สายลมแห่งการพักผ่อนเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกคนรีบวิ่งกลับไปยังที่พักก่อนที่ลมจะรุนแรงขึ้น
ระหว่างทาง เปลวไฟแห่งดวงจิตที่อังก์ถือไว้มีอาการกระวนกระวาย เอบส์โก้ที่เป็นมนุษย์รู้สึกถึงคลื่นพลังที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด แต่สำหรับอังก์ เฟลิน และสิ่งมีชีวิตอันเดดอื่น ๆ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงจากเปลวไฟแห่งดวงจิต
“เป็นไปได้ยังไง? ดวงจิตของข้าถูกเจ้าดึงออกมาได้? เป็นไปไม่ได้! ศิลาปีศาจถูกทำลาย? เจ้าทำลายสายเลือดที่เชื่อมกับแผ่นดินของข้าได้? เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! ทั้งหมดนี้มันหลอกลวง! หลอกลวง!”
ในดวงจิตของอังก์ ไนเกรสหัวเราะเยาะอย่างดูถูก “ช่างไร้ความรู้จริง ๆ เคียวแห่งยมทูตและราชันย์เสด็จเยือนคือสองทักษะที่ขึ้นชื่อที่สุดของโครงกระดูกทองคำ และปีศาจตัวนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ? ช่างตายอย่างโง่เขลานัก! แต่เจ้าอังก์นี่ น่าประหลาดใจจริง ๆ ครั้งแรกเจ้าก็ใช้เคียวแห่งยมทูตได้เลย ช่างเป็นตัวประหลาดโดยแท้!”