บทที่ 25 เสวียนเหนี่ยวตัวที่สี่
บทที่ 25 เสวียนเหนี่ยวตัวที่สี่
“นายกำลังจะบอกว่า เสวียนเหนี่ยวเกี่ยวข้องกับภูเขาหู่ลู่ที่เราจะไป?” หลินเซินเข้าใจความหมายของเหล่าเย่
“ลองคิดดู ไป๋เสินเฟยมาจากฐานไฮ่เจียวก็จริง แต่เธอก็แค่ไปฝึกฝนที่นั่น เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูมิหลังครอบครัวเธอเป็นยังไง ตระกูลฉีและตระกูลหวังก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่ ทำไมพวกเขาถึงเชื่อไป๋เสินเฟยนัก ถึงขั้นยอมเสี่ยงอันตรายมาที่นี่? ตลอดทางพวกเขาเชื่อฟังไป๋เสินเฟยแทบทุกอย่าง แม้แต่ลูกน้องที่เป็นผู้วิวัฒนาการโลหะผสมบาดเจ็บล้มตาย พวกเขาก็ไม่บ่นไป๋เสินเฟยแม้แต่คำเดียว เพียงเพราะไป๋เสินเฟยบอกว่ารู้ที่ตั้งของภูเขาหู่ลู่งั้นเหรอ? แม้แต่เรายังสงสัยว่าทำไมตระกูลฉีและตระกูลหวังถึงเชื่อเธอขนาดนี้ มันผิดปกติ” เหล่าเย่กล่าว
“นายคิดว่ายังไง?” หลินเซินไม่ได้พยายามเดา เขาส่งสัญญาณให้เหล่าเย่พูดต่อ
“ผมคิดไปคิดมา อาจมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือไป๋เสินเฟยรู้ที่ตั้งของภูเขาหู่ลู่จริงๆ แต่เธอเข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยบางสิ่งหรือพลังพิเศษบางอย่างถึงจะเข้าไปได้” เสียงของเหล่าเย่เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
“ซึ่งนั่นก็คือเสวียนเหนี่ยว?” หลินเซินพอจะเดาได้ว่าเหล่าเย่กำลังพูดถึงอะไร
“ใช่ เสวียนเหนี่ยวนั่นแหละ ถ้าอย่างที่เธอพูด คุณชายสี่ให้เธอพาคุณชายน้อยไปภูเขาหู่ลู่ เธอแค่พาคุณชายน้อยไปก็พอแล้ว ถึงจะต้องการคนช่วย ก็แค่พาคนของตระกูลหลินไปก็ได้ ทำไมต้องพาตระกูลฉีและตระกูลหวังไปด้วย?”
เหล่าเย่พูดพลางแค่นเสียง “ก่อนหน้านี้ผมยังคิดไม่ออก แต่วันนี้พอเห็นหวังเทียนเอ๋อร์ใช้เสวียนเหนี่ยว ผมก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จุดร่วมเดียวของทั้งสามตระกูลคือมีเสวียนเหนี่ยว แถมเสวียนเหนี่ยวยังได้มาจากบริเวณใกล้ๆ หุบเขานี้อีกด้วย บางที กุญแจสำคัญในการเข้าภูเขาหู่ลู่อาจเป็นเสวียนเหนี่ยว เธอถึงต้องให้ทั้งสามตระกูลมาที่นี่ เพื่อให้ตระกูลฉีและตระกูลหวังเชื่อใจ เธอน่าจะบอกพวกเขาไปแล้วว่าเสวียนเหนี่ยวคือกุญแจสำคัญในการเข้าภูเขาหู่ลู่ ฉีชูเหิงและหวังเทียนเอ๋อร์ถึงได้เชื่อฟังเธอทุกอย่าง ก็เพื่อที่จะตามหาภูเขาหู่ลู่ ถ้าเจอภูเขาหู่ลู่ พวกเขามีเสวียนเหนี่ยว ก็สามารถกำจัดเราแล้วฮุบทุกอย่างในภูเขาหู่ลู่ไว้คนเดียว พวกเขากำลังหลอกใช้และหักหลังกันเอง”
“ถ้าไป๋เสินเฟยรู้ที่ตั้งของภูเขาหู่ลู่ ตระกูลฉีและตระกูลหวังก็มีเสวียนเหนี่ยว ทำไมพวกเขาต้องให้เรามาด้วย? เราทั้งไม่รู้ที่ตั้งของภูเขาหู่ลู่ แถมยังไม่มีเสวียนเหนี่ยวอีก” หลินเซินครุ่นคิด
“บางทีพวกเขาอาจกลัวว่าคุณชายสามและคุณชายสี่จะยังไม่ตายในภูเขาหู่ลู่ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา จะได้มีคุณชายน้อยเป็นตัวประกัน” พูดถึงตรงนี้ เหล่าเย่เงยหน้าขึ้นมองตาหลินเซินด้วยสีหน้าซับซ้อน “บางทีอาจมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง”
“ความเป็นไปได้อะไร?” หลินเซินรู้สึกว่าที่เหล่าเย่มองเขาแบบนี้ สิ่งที่เขาจะพูดต่อไปต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่ๆ
“บางที พวกเขาอาจสงสัยว่าคุณชายน้อยมีเสวียนเหนี่ยว” เหล่าเย่จ้องมองหลินเซิน พูดเน้นทีละคำ
หลินเซินถึงกับอึ้งไป “ฉันจะมีเสวียนเหนี่ยวได้ยังไง? เสวียนเหนี่ยวของตระกูลหลินหายไปนานแล้ว แม้จะไม่ได้หายไป พี่รองก็ควรจะเป็นคนสืบทอดต่อ ถ้าพี่รองไม่ได้ ก็ต้องเป็นพี่สามหรือพี่สี่ ถึงคิวฉันได้ยังไง”
“เสวียนเหนี่ยวของตระกูลหลินหายไปก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าตระกูลหลินไม่มีเสวียนเหนี่ยว” เหล่าเย่พูดด้วยเสียงเบา
“นายพูดแปลกๆนะ ถ้าหายไปแล้ว ก็ต้องไม่มีสิ” หลินเซินจ้องมองเหล่าเย่ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
“คุณชายน้อย เรื่องนี้คุณชายน้อยอาจไม่รู้ จริงๆ แล้ว ตอนนั้นไข่เสวียนเหนี่ยวที่เจอไม่ได้มีแค่สามฟอง แต่มีสี่ฟอง บรรพบุรุษของตระกูลฉีและตระกูลหวังได้ไข่เสวียนเหนี่ยวไปคนละฟอง ส่วนบรรพบุรุษของตระกูลหลินได้ไปตั้งสองฟอง”
“อะไรนะ?!” หลินเซินเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ เสียงของเขาดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เหล่าเย่รีบเอามือปิดปากหลินเซิน “เบาๆ หน่อย ระวังคนอื่นได้ยิน”
“ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องที่ตระกูลหลินได้ไข่เสวียนเหนี่ยวสองฟองมาก่อน?” หลังจากที่เหล่าเย่ปล่อยมือ หลินเซินก็พูดด้วยเสียงเบาๆ อีกครั้ง
“เรื่องนี้ผมเคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่ง ท่านพ่อชวนผมกับชางหยุนไปดื่มเหล้า พอดื่มกันจนเมาก็คุยเรื่องเสวียนเหนี่ยวกัน” เหล่าเย่เล่าความหลัง “ท่านพ่อบอกว่า ตอนนั้นบรรพบุรุษของตระกูลหลินเป็นคนเจอรังเสวียนเหนี่ยว แถมยังเป็นคนออกแรงมากที่สุดตอนที่ได้ไข่เสวียนเหนี่ยมานั้นด้วย ดังนั้น พอเห็นว่าในรังมีไข่เสวียนเหนี่ยวสี่ฟอง ตระกูลฉีและตระกูลหวังก็เลยได้ไปคนละฟอง ส่วนบรรพบุรุษของตระกูลหลินได้ไปสองฟอง”
“แล้วทำไมฉันไม่เคยได้ยินว่าบ้านเรามีเสวียนเหนี่ยวสองตัว? หรือว่าเสวียนเหนี่ยวทั้งสองตัวหายไปพร้อมกัน?” หลินเซินสงสัย
“ไม่ใช่ หายไปแค่ตัวเดียว อีกฟองหนึ่ง หลังจากที่บรรพบุรุษของตระกูลหลินเอากลับมา ก็ไม่มีใครเห็นอีกเลย เพราะบรรพบุรุษของตระกูลหลินบอกว่าไข่เสวียนเหนี่ยวอีกฟองฟักไม่ออก กลายเป็นไข่เสีย”
หลินเซินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “บรรพบุรุษของตระกูลหลินโชคไม่ดีจริงๆ ไข่เสวียนเหนี่ยวสี่ฟอง ฟักออกมาได้สามตัว มีฟองเดียวที่เสีย”
“คุณชายน้อยก็ไม่เชื่อใช่ไหม? ตระกูลฉีและตระกูลหวังก็ไม่ค่อยเชื่อ พวกเขาสงสัยมาตลอดว่าไข่เสวียนเหนี่ยวอีกฟองของตระกูลหลินไม่ได้เสีย แต่ถูกซ่อนไว้เป็นไพ่ตาย ดังนั้น แม้ในช่วงที่ตระกูลหลินตกต่ำที่สุด ตระกูลฉีและตระกูลหวังก็ไม่กล้าทำอะไรตระกูลหลินมาก ก็เพราะกลัวว่าตระกูลหลินจะยังมีเสวียนเหนี่ยวอีกตัวซ่อนอยู่ นี่แหละที่ทำให้คุณชายรองมีโอกาสผงาดขึ้นมา ช่วยให้ตระกูลหลินรักษาสถานะไว้ได้”
เหล่าเย่เล่าต่อ “ช่วงนั้น ตระกูลฉีและตระกูลหวังคอยจับตาดูตระกูลหลินตลอด อยากรู้ว่าตระกูลหลินซ่อนเสวียนเหนี่ยวอีกตัวไว้หรือเปล่า ถ้าไม่มี ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของตระกูลหลินก็คือถูกยึดผลประโยชน์ทั้งหมดในฐานเสวียนเหนี่ยว หรือแม้แต่ถูกทำลายล้าง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าคุณชายรองจะเก่งกาจขนาดนั้น ยังไม่ทันที่พวกเขาจะสืบหาความจริง ก็พบว่าแม้ตระกูลหลินจะไม่มีเสวียนเหนี่ยว แต่การจะจัดการคุณชายรองก็ต้องแลกมาด้วยราคาแพง หมดโอกาสไปแล้ว”
“ต่อมา การเติบโตของคุณชายรองทำให้พวกเขาหวาดกลัว แถมยังมีคุณชายสามและคุณชายสี่ที่เติบโตขึ้นมาอีก ตอนนั้นตระกูลฉีและตระกูลหวังกลัวแทบตาย คงนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ตระกูลหลินที่ไม่มีเสวียนเหนี่ยว แต่มีคุณชายทั้งสามคนนั้น น่ากลัวยิ่งกว่ามีเสวียนเหนี่ยวเสียอีก” พูดถึงตรงนี้ เหล่าเย่ก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
“ถ้าคุณชายรองไม่ได้หายตัวไป ฐานเสวียนเหนี่ยวคงมีแค่ตระกูลหลินเหลืออยู่แล้ว” เหล่าเย่พูดพลางจ้องมองหลินเซินอีกครั้ง “คุณชายน้อย น่าจะรู้ดีว่าคุณชายทั้งสามคนนั้นเป็นคนแบบไหน ในฐานเสวียนเหนี่ยวแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เสวียนเหนี่ยวหรอก ถ้าตระกูลหลินยังมีเสวียนเหนี่ยวอยู่จริงๆ…”
“ก็ต้องอยู่ที่ฉัน ไอ้ลูกห้าที่ไร้ประโยชน์ที่สุดนี่สินะ?” หลินเซินไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจความหมายของเหล่าเย่ทันที ถอนหายใจอย่างหน่ายใจ “เหล่าเย่ ฉันไม่เคยเห็นเสวียนเหนี่ยวจริงๆ นะ ตอนที่พี่รองกับพี่สามยังอยู่ ฉันก็ใหญ่คับฟ้าในฐานเสวียนเหนี่ยวแล้ว มีผู้วิวัฒนาการโลหะผสมคอยคุ้มกันตลอด ไม่จำเป็นต้องใช้เสวียนเหนี่ยวหรอก ยิ่งกว่านั้น ด้วยฝีมือแค่นี้ ถึงจะมีเสวียนเหนี่ยว ก็คงไม่รอดจากมือฉีชูเหิงกับหวังเทียนเอ๋อร์อยู่ดี คงโดนพวกเขาฆ่าตายก่อนจะเรียกเสวียนเหนี่ยวออกมาได้อีก”
“คุณชายน้อย ผมเชื่อคุณอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อคุณคนเดียวมันยังไม่พอ เพราะตระกูลฉีและตระกูลหวังไม่เชื่อคุณ ไป๋เสินเฟยก็ไม่เชื่อคุณ แม้แต่เว่ยหวู่ฟู่ ผมว่าแปดเก้าส่วนก็หวังเรื่องเสวียนเหนี่ยว ไม่งั้นจะมาเกาะแกะคุณทำไม” เหล่าเย่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเขาไม่เชื่อฉัน ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉันไม่มีจริงๆ” หลินเซินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “อีกอย่าง ต่อให้เสวียนเหนี่ยวจะเก่งแค่ไหน มันก็แค่สิ่งมีชีวิตคริสตัลตัวเดียว ใครจะรู้ว่ามันจะมีประโยชน์จริงหรือเปล่า”
เหล่าเย่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงดังจอแจและเสียงร้องตกใจดังมาจากข้างนอก
ทั้งสองตกใจ รีบออกไปจากเต็นท์เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เว่ยหวู่ฟู่ที่เฝ้ายามอยู่หน้าเต็นท์ยืนขึ้นแล้ว มองขึ้นไปบนฟ้า คนอื่นๆ ในค่ายก็เช่นกัน ทุกคนต่างเงยหน้ามองท้องฟ้า