บทที่ 23 เส้นทางบุปผา
บทที่ 23 เส้นทางบุปผา
“นอกจากประกายที่ล้มเหลวแล้ว ยังมีประกายที่ไม่สมบูรณ์อีกด้วย ถ้ามีประกายที่ไม่สมบูรณ์ ก็แสดงว่าต้องมีประกายที่สมบูรณ์ด้วยสิ? แล้วบูชายัญสวรรค์นี่มันหมายความว่ายังไง? หรือว่าต้องให้เพื่อนร่วมทีมตายหมด ถึงจะเพิ่มพลังได้? มันโหดร้ายเกินไปแล้ว แล้วคำว่าสหายร่วมรบนี่ต้องนิยามยังไง? ถ้าฉันคิดว่าใครเป็นเพื่อนร่วมทีม คนนั้นก็คือสหายร่วมรบงั้นเหรอ? งั้นฉันเอาศัตรูมาเป็นเพื่อนร่วมทีมได้ไหม? ฆ่าศัตรูไปหนึ่งคน พลังก็เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน...” หลินเซินคิดอย่างละโมบ
เขาศึกษาอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะใช้บูชายัญสวรรค์ได้ยังไง ดูเหมือนจะไม่ใช่ความสามารถที่ใช้ได้เอง ผลของมันคงต้องรอดูตอนที่มันทำงาน
เวลาที่เหลือ หลินเซินใช้เวลาพักรักษาตัวที่บ้าน หวังว่าอาการบาดเจ็บที่มือจะหายดีก่อนออกเดินทาง
ต้องเปลี่ยนยาทุกๆ 12 ชั่วโมง ใช้ยาห้าขวดต่อครั้งถึงจะแช่มือได้หมด แค่ค่ายาก็ปาเข้าไปหกหลักแล้ว
โชคดีที่ยาพวกนี้ได้ผลดี แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่มือของหลินเซินจะยังไม่หายดีก่อนออกเดินทาง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก สามารถยกของหนักได้ตามปกติ แต่ถ้าจะต่อสู้หนักๆ ก็ยังไม่ไหว กลัวว่ากระดูกที่ยังไม่สมานกันดีจะแตกอีก
หลินเซินพกยาติดตัวไปด้วย ทาเป็นระยะ ไม่กี่วันก็น่าจะหายขาด
ในระหว่างที่พักรักษาตัว หลินเซินก็เอาไข่กลายพันธุ์ระดับต่ำมาให้เครื่องบดสังหารกิน เจ้านั่นก็ไม่เกี่ยง กินไข่กลายพันธุ์เหล็กกล้าของหลินเซินไปยี่สิบสามสิบฟอง
เขาคิดว่ากินไข่กลายพันธุ์ไปเยอะขนาดนั้น อย่างน้อยมันก็น่าจะได้พรสวรรค์เพิ่มมาบ้าง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์ ขนาดรูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลินเซินเดาว่า เครื่องบดสังหารน่าจะแย่งชิงพรสวรรค์ได้ก็ต่อเมื่อกินสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีประกายเท่านั้น
ก่อนถึงเวลาออกเดินทางตามที่นัดหมาย เหล่าเย่ก็เอาแคปซูลสัตว์เลี้ยงระดับโลหะผสมมาให้หลินเซิน เป็นสัตว์ร้ายแพลตตินัม
สัตว์ร้ายแพลตตินัมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงโลหะผสมที่หายาก จุดเด่นหลักๆ คือความเร็ว ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสัตว์ขี่
มีหลายคนที่ชอบใช้สัตว์ร้ายแพลตตินัมเป็นสัตว์ขี่ นอกจากความเร็วแล้ว รูปร่างของมันยังดูดีอีกด้วย ทั้งตัวมีสีขาวราวหิมะ มีเขาเดียวบนหัว ดูเหมือนยูนิคอร์นศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เป็นสัตว์ขี่ตัวเลือกแรกของใครหลายคนที่ชอบความสวยงาม
หลินเซียงตงเป็นชอบความสง่างาม ในบรรดาสัตว์ขี่ของเขามีเจ้าตัวที่ชื่อว่าสัตว์ร้ายแพลตตินัมอยู่หนึ่งตัว เหล่าเย่จึงหาสัตว์ร้ายแพลตตินัมมาให้ เพื่อให้หลินเซินปลอมตัวเป็นหลินเซียงตงได้สแนบเนียนยิ่งขึ้น
สัตว์ร้ายแพลตตินัมตัวใหม่นี้เหมือนกันกับของหลินเซียงตงทุกประการ แต่ของหลินเซียงตงเป็นสายพันธุ์พิเศษที่มีความเร็ว 20 ส่วนตัวที่เหล่าเย่หามามีความเร็ว 18.4 แม้จะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอสำหรับการปลอมตัว
มีทั้งสัตว์ร้ายแพลตตินัม ทั้งหน้ากากผี ไหนจะสวมชุดเกราะโซ่ตรวนที่ทำจากโลหะผสม ถ้าไม่ลงมือ ใครก็ดูไม่ออกว่าหลินเซินไม่ใช่หลินเซียงตง
ตอนที่ทั้งสองกำลังจะออกจากบ้าน เว่ยหวู่ฟู่ก็เดินตามออกมา เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่เดินตามหลังหลินเซินเงียบๆ
เหล่าเย่มองเว่ยหวู่ฟู่ ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หลินเซินห้ามไว้
ทั้งสามคนไปยังจุดนัดพบ คนของตระกูลฉีและตระกูลหวังมาถึงแล้ว นำโดยฉีชูเหิงและหวังเทียนเอ๋อร์ กำลังคุยกับไป๋เสินเฟย
“ตระกูลหลินมีกันมาแค่สามคนเหรอ?” หวังเทียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองทั้งสามคน
“ก็แค่ภูเขาหู่ลู่ ส่งมาสามคนยังไม่พออีกเหรอ?” หลินเซินนั่งอยู่บนหลังสัตว์ร้ายแพลตตินัม ไม่มีทีท่าว่าจะลงมา
สีหน้าของหวังเทียนเอ๋อร์เปลี่ยนไป กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉีชูเหิงส่งสายตาห้ามไว้
ฉีชูเหิงยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ละตระกูลก็มีสถานการณ์ต่างกัน อยากจะส่งมากี่คนก็ไม่สำคัญ ขอแค่ร่วมมือกันก็พอ”
“ในเมื่อมากันพร้อมหน้าแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยเถอะ” ไป๋เสินเฟยมองเว่ยหวู่ฟู่ที่เดินตามหลังหลินเซิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เธอยื่นมือโยนแคปซูลสัตว์เลี้ยงสีขาวออกไป เมื่อตกถึงพื้นก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสีขาวราวกับหยก ดูคล้ายวัวผสมไทรเซอราทอปส์
ทุกคนมองสัตว์ขี่ของเธอด้วยสายตาแปลกๆ สัตว์ขี่ตัวนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคริสตัล
“คนที่มาจากฐานไฮ่เจียว ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด แม้แต่สัตว์ขี่ยังเป็นระดับคริสตัล” หลินเซินคิดในใจ
ไม่มีใครพูดอะไรอีก ต่างก็เรียกสัตว์ขี่ของตัวเองออกมา แล้วเดินทางออกจากฐานเป็นขบวนใหญ่
หลินเซินมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตั้งแต่เกิดมา นับครั้งได้ที่เขาออกจากฐาน ดังนั้นโลกภายนอกยังคงเป็นสิ่งแปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับเขา
สองข้างทางส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยพืชสีเขียว มีดอกไม้หลากสีสันกระจายอยู่ทั่วไป เต็มไปด้วย “เนินเขา” สูงๆ ต่ำๆ แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่า “เนินเขา” เหล่านั้นไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นอาคารที่ปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์ต่างๆ
เมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ที่นี่ยังเป็นเมืองที่ทันสมัย แต่ตอนนี้แทบจะไม่เห็นเค้าโครงของเมืองแล้ว ถนนและอาคารที่โผล่พ้นออกมาเป็นครั้งคราว ก็ทรุดโทรม หลายแห่งพังทลายลง ถูกพืชพันธุ์ปกคลุมหรือฝังกลบ
ท่ามกลางพืชพันธุ์เหล่านั้น มีพืชแปลกๆ ขึ้นอยู่ประปราย พืชเหล่านั้นมีกิ่งก้านและใบที่เป็นโลหะ
หลินเซินรู้ว่านั่นไม่ใช่ผลงานศิลปะที่ทำจากโลหะ แต่เป็นพืชโลหะที่มีชีวิตจริงๆ
พืชโลหะเหล่านี้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง แต่ของเหลวกลายพันธุ์ในร่างกายของมันมีน้อยมาก และสกัดได้ยาก ส่วนใหญ่จะถูกตัดโค่นเพื่อนำไปใช้เป็นวัสดุ
ทุกคนไม่มีอารมณ์อยากพูดคุยกันมากนัก ต่างก็เร่งสัตว์ขี่ให้วิ่งตามไป๋เสินเฟยไปบนทุ่งหญ้าสีเขียว
ระหว่างทางเจอสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับต่ำ ก็ถูกพวกเขาทำให้ตกใจวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง พวกเขาขี้เกียจไล่ตาม
หลังจากเดินทางวกวนไปมาเป็นเวลานาน ตอนบ่ายสามโมงกว่า พวกเขาก็เดินทางไปได้เพียงสามสี่สิบกิโล ระหว่างช่องภูเขาด้านหน้า จู่ๆ ก็มีเส้นทางหลากสีสันสดใสปรากฏขึ้น ไป๋เสินเฟยหยุดอยู่หน้าเส้นทางสีสันสดใสนั้น
ทุกคนหยุดตาม หลินเซินมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ถึงได้รู้ว่านั่นไม่ใช่เส้นทางหลากสีสันที่ดูสดใส แต่เป็นดอกไม้โลหะสีสันสดใสขนาดเล็ก ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่ายาวเท่าไหร่
“เมื่อหลายปีก่อนผมเคยมาที่นี่ ตอนนั้นดอกโลหะพวกนี้ยังกระจายอยู่ตามพืชพันธุ์ต่างๆ เป็นหย่อมๆ นานๆ ทีจะเจอสักกลุ่ม ไม่กี่ปีมานี้มันขยายพันธุ์ออกมามากมายขนาดนี้ เหมือนแม่น้ำสายหนึ่งเลย” เหล่าเย่พูดข้างๆ หลินเซิน เขาตั้งใจพูดให้หลินเซินฟัง กลัวว่าหลินเซินจะไม่รู้จักดอกโลหะแล้วเผยพิรุธ
“ที่ไหนมีดอกโลหะ ที่นั่นต้องมีแมงป่องหางเหล็ก ที่นี่มีดอกโลหะอยู่มากมายแสดงว่าต้องมีแมงป่องหางเหล็กที่ซ่อนอยู่ไม่น้อย ... ผมว่าส่งคนไปสำรวจดูก่อนดีกว่า” หวังเทียนเอ๋อร์มองไป๋เสินเฟยแล้วพูด
“ก็ดี” ไป๋เสินเฟยพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่แสดงสีหน้า
ดูเหมือนหวังเทียนเอ๋อร์จะอยากแสดงฝีมือต่อหน้าไป๋เสินเฟย เขาไม่ถามความเห็นของฉีชูเหิงและหลินเซิน ก็สั่งให้ผู้วิวัฒนาการคนหนึ่งที่ขี่ม้าเขาเดียวไปสำรวจเส้นทาง
หลังจากที่คนๆ นั้นใช้พลังวิวัฒนาการ ร่างกายของเขาก็มีเกราะเหล็กปรากฏขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ม้าเขาเดียวเคลื่อนที่ช้ามาก กีบเท้ากระทบกับดอกโลหะ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ
หลังจากเดินไปยี่สิบสามสิบเมตร ก็ยังไม่เห็นแมงป่องหางเหล็ก คนๆ นั้นจึงเริ่มกล้าขึ้น และเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย
หลังจากวิ่งไปร้อยกว่าเมตร ก็ยังไม่เห็นแมงป่องหางเหล็กปรากฏตัว ผู้วิวัฒนาการคนนั้นจึงหยุด หันม้ากลับ ตะโกนบอกทางนี้ว่า “ท่านรอง ทางนี้ไม่พบแมงป่องหางเหล็ก”
“แปลกจัง ดอกโลหะมากมายขนาดนี้ กลับไม่มีแมงป่องหางเหล็กแม้แต่ตัวเดียว” หวังเทียนเอ๋อร์ครุ่นคิด
“แมงป่องหางเหล็กชอบกินของเหลวในดอกโลหะ ที่ไหนมีดอกไม้นี้ ถึงไม่การันตีว่าต้องมีแมงป่องหางเหล็ก แต่ก็มีโอกาสสูงถึงแปดเก้าส่วน”
“เมื่อที่นี่ไม่มีแมงป่องหางเหล็ก งั้นก็คาดเดาได้สองเหตุผล อย่างแรกคือพวกนี้ไม่ใช่ดอกโลหะ แค่ดูคล้ายเฉยๆ อย่างที่สองคือที่นี่เกิดเรื่องแปลกประหลาดอะไรบางอย่าง ทำให้เรามองไม่เห็นแมงป่องหางเหล็ก” ฉีชูเหิงพูดจบก็หันไปถามไป๋เสินเฟยว่า “คุณไป๋ เราอ้อมเส้นทางบุปผานี้ได้ไหม?”
ไป๋เสินเฟยหยิบสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋า ดูแล้วพูดว่า “อ้อมไม่ได้ ต้องผ่านทางนี้เท่านั้น”
ทุกคนมองไปที่สมุดโน้ตในมือเธอ รวมถึงหลินเซินและเหล่าเย่ด้วย
หลินเซินคิดในใจ “หรือว่าเธอจะรู้ทางไปภูเขาหู่ลู่จริงๆ? ในสมุดโน้ตนั้นจะมีแผนที่ไปภูเขาหู่ลู่หรือเปล่านะ?”
“งั้นถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ควรสำรวจเส้นทางอย่างระมัดระวัง ฉีชูเหิงมองไปที่หวังเทียนเอ๋อร์
หวังเทียนเอ๋อร์ตะโกนบอกผู้วิวัฒนาการคนนั้นบนเส้นทางบุปผา ผู้วิวัฒนาการคนนั้นหันม้ากลับ แล้วเดินทางต่อไป ไม่นานก็หายลับไปในเส้นทางบุปผา
รออยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง ผู้วิวัฒนาการคนนั้นก็ควบม้ากลับมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านรอง เส้นทางบุปผานี้ยาวสิบกว่ากิโล สุดทางเป็นหุบเขา ในหุบเขาไม่มีดอกโลหะ” เขารายงานเมื่อกลับมาถึงหวังเทียนเอ๋อร์
“แล้วเจอแมงป่องหางเหล็กไหม?” หวังเทียนเอ๋อร์ถาม
“ไม่เจอครับ” ชายคนนั้นส่ายหัว
หวังเทียนเอ๋อร์มองไปที่ฉีชูเหิง ฉีชูเหิงพูดกับผู้วิวัฒนาการข้างๆ ว่า “นายก็ไปสำรวจด้วย เดินเลียบอีกฝั่งหนึ่งของเส้นทางบุปผา”
ผู้วิวัฒนาการของตระกูลฉีใช้พลังวิวัฒนาการ ร่างกายส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยเกราะเหล็ก ขี่สัตว์ร้ายเขาเหล็กเข้าไปในทะเลดอกไม้
เนื่องจากมีคนของตระกูลหวังสำรวจเส้นทางมาก่อน ผู้วิวัฒนาการของตระกูลฉีจึงเคลื่อนที่เร็วกว่ามาก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็กลับมา
“เส้นทางบุปผายาวสิบกว่ากิโล สุดทางเป็นหุบเขา ในหุบเขาไม่มีดอกโลหะ ระหว่างทางไม่พบแมงป่องหางเหล็ก และไม่พบสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อื่นๆ” ชายคนนั้นรายงานอย่างตรงไปตรงมา
“คุณไป๋คิดยังไง?” ฉีชูเหิงมองไปที่ไป๋เสินเฟย
“ที่ที่เราจะไปคือหุบเขานั่น ต้องผ่านทางนี้เท่านั้น” ไป๋เสินเฟยกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปที่หุบเขากันก่อน ทุกคนคิดว่าไง?” ฉีชูเหิงหันไปถามหวังเทียนเอ๋อร์และหลินเซิน
“ก็ได้” หวังเทียนเอ๋อร์และหลินเซินไม่มีความเห็น
ทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังเส้นทางบุปผา หลินเซินมองเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ดอกโลหะเหล่านี้มีสีสันสดใส ดอกมีขนาดเท่าเล็บ กลีบดอกมีรูปร่างเหมือนเปลือกหอย ขอบบางเฉียบ ราวกับใบมีดคมกริบ
ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงร่างกายเหล็กกล้าเหยียบลงไปก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นเลือดเนื้อ คงมีบาดแผลเต็มตัวแน่
ทุกคนต่างระมัดระวังตัว กลัวว่าจะมีปัญหา โชคดีที่เดินไปเจ็ดแปดกิโลก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
เป็นอย่างที่ผู้สำรวจทั้งสองคนบอก ในเส้นทางบุปผานี้ไม่มีแมงป่องหางเหล็ก และไม่มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อื่นๆ
ทุกคนจึงเร่งความเร็ว กำลังจะไปถึงหุบเขา แต่ทันใดนั้นทั่วทั้งเส้นทางบุปผาก็สั่นไหว ทุกคนตกใจ รีบหยุดสัตว์ขี่
“แมงป่องหางเหล็ก...แมงป่องหางเหล็กเต็มไปหมดเลย...” มีคนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
หลินเซินเพ่งมอง ถึงได้เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่ดอกโลหะที่สั่นไหว แต่เป็นแมงป่องหางเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไต่ขึ้นมาจากใต้ดอกไม้ต่างหาก!