บทที่ 23 สือจวี้โง่จริงหรือ?
“พูดอะไรออกไปน่ะ?”
เจี่ยจางซื่อรีบคว้าแขนลูกสะใภ้ไว้
แม้เธอจะขึ้นชื่อเรื่องความหยาบคายและไม่ยอมใครง่าย ๆ แต่ก็รู้จักเลือกคู่กรณี
เธออาจจะกล้าตะโกนด่าหน้าบ้านสือจวี้หรือทำเรื่องแปลก ๆ อย่างตั้งป้ายวิญญาณของลูกชายกลางดึก แต่เธอไม่โง่พอจะมีเรื่องกับบ้านหลี่
เมื่อกลับเข้าบ้านและปิดประตู เจี่ยจางซื่อพูดกับลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อย่าไปพูดอะไรพล่อย ๆ ข้างนอก ถ้ามีใครได้ยินเข้าจะทำยังไง?”
“ได้ยินแล้วจะเป็นไรไป? ก็เขาเพิ่งประจบประแจงอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ฉินหวยหยูตอบอย่างดูแคลน
“เธอจะมองว่าเป็นการประจบก็ได้ แต่นั่นแหละคือความฉลาด!”
“ไม่กี่คำพูดก็ทำให้อี้จ้งไห่ หลิวไห่จง และแม้แต่สือจวี้ ยิ้มหน้าบานกันหมด พวกเขาคงรู้สึกถูกอกถูกใจไม่น้อย”
“ลองคิดดูสิ ถ้าวันไหนเด็กคนนั้นต้องการความช่วยเหลือ พวกนั้นจะทุ่มเทช่วยไหม? โดยเฉพาะสือจวี้ ขนาดโดนหลอกยังอาจไม่รู้ตัวเลย”
“เทียบกับหลี่เว่ยหมินที่วัน ๆ เอาแต่ก่อเรื่อง หลี่เว่ยตงคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาแน่ ๆ ไม่นานพี่ชายเขาจะต้องซวยเพราะเขาแน่”
คำพูดของเจี่ยจางซื่อทำให้ฉินหวยหยูอึ้ง
“ต่อไปเจอเขา ต้องวางตัวให้ดี ให้ความเคารพไว้ก่อน”
“ทำไมต้องเคารพเขาด้วย?”
“ก็เพราะเขามีพ่อที่เป็นรองหัวหน้าแผนกไง! บ้านเรามีแต่ต้องพึ่งพาบังเกิ่งในอนาคต เธอควรรู้จักดูสถานการณ์บ้าง”
เจี่ยจางซื่อเสียงเข้ม
เธอเกือบจะเล่าเรื่องไข่ที่แตกเพราะหลี่เว่ยตง แต่สุดท้ายก็เลือกเงียบ
“เข้าใจแล้ว” เธอพูดก่อนจะกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไปทำงาน
เจี่ยจางซื่อบ่นพึมพำเบา ๆ เกี่ยวกับความไร้ไหวพริบของลูกสะใภ้
ด้านนอก ทั้งอี้จ้งไห่ หลิวไห่จง และสือจวี้ ต่างรู้สึกประทับใจกับคำพูดของหลี่เว่ยตง
“เด็กคนนี้เข้าท่า น่าคบหา”
สือจวี้ที่อารมณ์ดีถึงกับเอ่ยปากชวน
“มีเวลามาที่บ้านฉันสิ เดี๋ยวทำกับข้าวให้กิน นั่งดื่มกันให้เต็มที่”
“ได้ครับพี่สือจวี้ ไว้ผมจะเอาเหล้าไปด้วย” หลี่เว่ยตงตอบรับอย่างไม่ลังเล
ในลานบ้านแห่งนี้ สือจวี้ถือว่าเป็นคนมีประโยชน์
ไม่ว่าจะให้เป็น "ตัวก่อเรื่อง" หรือ "ตัวช่วยซัด" ก็ทำได้ดี
ที่สำคัญ สือจวี้เป็นคนรักเพื่อนมาก
“ถ้างั้นฉันขอลองชิมเหล้าของหัวหน้าแผนกหลี่หน่อยนะ” สือจวี้พูดติดตลก
แม้หลี่เว่ยตงจะไม่มั่นใจว่าพ่อเขามีเหล้า แต่เขารู้ว่าถ้าให้เวลาอีกหน่อย เขาจะหาได้ไม่ยาก
ในขณะที่คนเริ่มแยกย้าย หลี่เว่ยตงและสือจวี้เดินมาถึงลานกลางพอดี
พวกเขาเห็นฉินหวยหยูที่แต่งตัวอย่างพิถีพิถัน กำลังเดินออกมา
“โอ้โห พี่ฉิน แต่งตัวสวยแบบนี้ จะไปไหนเหรอครับ?”
เมื่อเห็นฉินหวยหยูเดินออกมา สือจวี้ก็รีบเข้าไปทัก
แต่ฉินหวยหยูเพียงเหลือบมองเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร พร้อมปล่อยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ขณะเดินผ่านไปเหมือนสายลม
แม้แต่ตอนเดินผ่านหลี่เว่ยตง เธอยังไม่มองเขาแม้แต่นิด
"เอ้อ น้องหลี่ คนที่เพิ่งเดินไปนั่นคือพี่ฉินหวยหยู บ้านตระกูลเจี่ย จากนี้นายก็เรียกเธอว่าพี่สาวตามฉันนะ จะได้ดูสนิทสนมกัน เธอก็ทำงานในโรงงานเหล็กกล้า สวย ใจดี นายน่าจะลองพูดคุยบ้างแล้วจะรู้เอง"
สือจวี้พูดด้วยท่าทางเต็มไปด้วยความชื่นชม
"เรียกว่าพี่สาว?" หลี่เว่ยตงเงียบไป
ชื่อเรียกเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ อาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ความจริงแล้วมีผลใหญ่หลวง
ผู้หญิงที่เป็นแม่ม่าย ลูกเล็กยังไม่หย่านม และไม่ใช่ญาติสนิท ถ้าเขาเรียกเธอว่าพี่สาวบ่อย ๆ คนอื่นจะมองว่าเขาหมายความว่าอะไร? เจี่ยจางซื่อจะไม่ชี้หน้าด่าเขารึ?
"พี่ฉินก็ลำบากนะ สามีเพิ่งเสียไปไม่กี่ปี ตอนนี้ลูกสาวยังไม่หย่านม แต่เธอก็ต้องไปทำงานในโรงงานเลี้ยงดูทั้งครอบครัว"
"เพราะงี้เลยยอมให้ทั้งครอบครัวของเธอมาดูดเลือดนายสินะ?" แม้จะคิดแบบนี้ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา
ก่อนหน้านี้ หลี่เว่ยตงยังรู้สึกสงสารและไม่พอใจแทนสือจวี้
แต่เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของเขาตอนนี้ หลี่เว่ยตงกลับเริ่มเข้าใจ
นี่มันไม่ต่างอะไรกับพวก "สายเปย์" ในยุคหลังเลย "พี่สือจวี่้ นี่พี่ชอบพี่ฉินใช่ไหม?"
คำถามนี้ทำเอาสือจวี้ตกใจ "ไม่มี! อย่าพูดมั่วสิ!"
เขารีบมองซ้ายมองขวา พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ถึงได้พูดต่อเสียงเบา
"น้องหลี่ เรื่องนี้พูดเล่นไม่ได้ ฉันน่ะโสดก็จริง แต่พี่ฉินยังต้องรักษาชื่อเสียงนะ อีกอย่าง ฉันแค่สงสารเธอเท่านั้นเอง"
"แค่สงสาร? พี่อย่ามาหลอกกันเลย!"
ในฐานะผู้ชาย เขารู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนที่ไม่รู้สึกอะไรกับผู้หญิงสวย มีเสน่ห์ อย่างฉินหวยหยู
สือจวี้เป็นคนรักศักดิ์ศรี เพราะถูกมองว่าไม่มีผู้หญิงในเมืองอยากแต่งงานด้วย เขาจึงตั้งมั่นว่าจะต้องแต่งกับผู้หญิงในเมืองให้ได้
ถึงแม้จะมีโอกาสแต่งกับสาวชนบทที่น่ารักและน่าสนใจอย่างโหลวเสี่ยวเอ๋อ เขากลับปฏิเสธเพราะทนเสียหน้ากับคำครหาของคนในลานบ้านไม่ได้ สุดท้าย กลายเป็นว่าโหลวเสี่ยวเอ๋อแต่งงานกับสวี่ต้าม่าวไป
หลังคุยกันสักพัก หลี่เว่ยตงแยกจากสือจวี้และกลับบ้าน
เมื่อเดินเข้าบ้าน หลี่เว่ยตงก็ได้ยินคำถามจากครอบครัว "ข้างหลังลานบ้านเกิดอะไรขึ้นเหรอ?"
(จบบท)###