บทที่ 222 หลี่ชิงเสียชื่นชมเสี่ยวหลง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ชิงเสียกับหลี่หลงปั่นจักรยาน ขณะที่หลี่เจี้ยนกั๋วขับเกวียนม้าตรงไปยังภูเขา
บนเกวียนม้าเต็มไปด้วยของใช้ประจำวัน เช่น ข้าวสาร แป้ง น้ำมัน บางส่วนเป็นน้ำมันที่ผ่านการปรุงแล้ว รวมถึงอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ
แน่นอนว่า มีมีดสำหรับตัดไม้ ปืนสองกระบอกของหลี่หลง รวมถึงเชือก ผ้าห่ม และอุปกรณ์อื่นๆที่เตรียมมาอย่างครบครัน
ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แม้ว่าหลี่เซียงเฉียนจะบอกว่ามีเวลาอีกหนึ่งเดือน แต่เป้าหมายของหลี่หลงและพวกเขาคือพยายามทำภารกิจให้เสร็จภายในครึ่งเดือนถึงยี่สิบวัน
หมายความว่าพวกเขาต้องตัดต้นไม้ให้ได้อย่างน้อยวันละห้าสิบถึงหกสิบต้น
สำหรับคนอื่นๆอาจเป็นเรื่องยาก เพราะภูเขากว้างใหญ่ขนาดนี้ หากหาต้นไม้ไม่เจอก็ย่อมไม่สามารถตัดได้แน่นอน แต่หลี่หลงเคยไปสำรวจหุบเขาในพื้นที่ภูเขาด้านใต้มาพร้อมกับฮาริมและยู่ซานเจียง เขาจึงรู้ดีว่าตรงไหนมีต้นไม้มาก
ในทางทฤษฎี การตัดต้นไม้หนึ่งต้นใช้เวลาเพียงสองถึงสามนาที หากทรัพยากรเพียงพอ ในหนึ่งชั่วโมงสามารถตัดต้นไม้ได้สิบถึงยี่สิบต้น หากเก่งจริงๆคนหนึ่งสามารถตัดได้ถึงหนึ่งร้อยต้นในหนึ่งวัน
แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การคาดการณ์ เพราะต้องนับรวมเวลาเดินทาง พักผ่อน และขนย้ายต้นไม้กลับมาด้วย ดังนั้นหากในหนึ่งวันคนหนึ่งสามารถตัดต้นไม้ได้ห้าสิบต้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
หลังจากตัดเสร็จ ยังต้องตัดแต่งและแปรรูปต้นไม้ต่ออีก
ดังนั้นทีมของหลี่หลงที่มีสี่คน หากแต่ละคนสามารถตัดต้นไม้ได้วันละห้าสิบต้น พวกเขาก็สามารถทำภารกิจเสร็จสิ้นภายในครึ่งเดือนได้
งานในบ้านถูกฝากให้เหลียงเยวี่ยเหมยดูแล ส่วนตู๋ชุนฟางก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า งานที่เธอสามารถทำได้เธอก็จะช่วยทำ ตอนนี้ในไร่ไม่มีงานใหญ่ให้ต้องทำมากนัก งานหลักในบ้านก็คือการเลี้ยงหมู โชคดีที่หลี่หลงขนเศษอ้อยกลับมาจำนวนมาก ทั้งยังมีรำข้าวและอาหารสัตว์อื่นๆในบ้านเพียงพอ ใบหัวบีตน้ำตาลจากไร่ก็สามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้นในช่วงสิบวันหรือครึ่งเดือนนี้ น่าจะสามารถประคองไปได้ นี่เองที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ชายในครอบครัวหลี่สามารถออกมาทำงานร่วมกันได้ทั้งหมด
"ลูกหมายความว่าในภูเขายังมีบ้านอีกหลังอย่างนั้นเหรอ?" หลี่ชิงเสียถามขณะปั่นจักรยานไปพร้อมกับหลี่หลง แม้ทั้งสองจะปั่นไม่เร็วมากนัก แต่หลี่หลงก็ค่อยๆเล่าเรื่องราวให้พ่อฟัง หลี่ชิงเสียฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจ ลูกชายคนเล็กของเขานี่ช่างซ่อนความสามารถไว้เสียมิด ไม่รู้ว่ายังมีความลับอะไรที่ปิดบังพ่ออยู่อีกหรือเปล่า
"ใช่ครับ บ้านไม้ มีสองห้อง ห้องใหญ่หนึ่งห้อง ห้องเล็กหนึ่งห้อง ผมเข้าภูเขาเมื่อไรก็พักที่นั่น เป็นบ้านที่เพื่อนชาวชนกลุ่มน้อยสร้างให้ผมครับ"
"คนอื่นเขาดีขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงกับสร้างบ้านให้?" หลี่ชิงเสียฟังแล้วรู้สึกยากที่จะเชื่อ
"ผมก็ดีกับพวกเขาเหมือนกันครับ" หลี่หลงตอบ "ผมช่วยขนเกลือ ชาอัดก้อน วิทยุ ข้าว แป้งจากในเมืองไปให้พวกเขา"
"วิทยุเครื่องนั้นนี่ดีจริงๆนะ" หลี่ชิงเสียพูดขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาที่บ้าน เขาได้ฟังวิทยุแล้วชอบมาก เพราะมันมีรายการเพลงงิ้วให้ฟังอยู่เป็นระยะๆ วิทยุเครื่องนี้นอกจากหลี่เจวียนและหลี่เฉียงที่ชอบฟังรายการเด็ก ก็มีหลี่ชิงเสียที่ใช้ฟังเพลงงิ้วและรายการบันเทิงเป็นหลัก ส่วนหลี่เจี้ยนกั๋วก็มักจะฟังแค่ข่าวสารต่างๆโดยไม่ได้มีความต้องการอะไรมาก
"นั่นสิ รอให้ไฟฟ้าถูกติดตั้งเมื่อไร บ้านเราค่อยซื้อโทรทัศน์สักเครื่องเถอะ" หลี่หลงพูดขึ้น
"อย่าฟุ้งเฟ้อไปหน่อยเลย ยังจะโทรทัศน์อีก..." หลี่ชิงเสียพูดขึ้น เขารู้จักโทรทัศน์ดี แต่ไม่คิดว่าหลี่หลงจะซื้อได้ เพราะสิ่งนั้นมันราคาแพงมาก!
ในตลาดในตัวอำเภอ มีคนที่มีโทรทัศน์อยู่แล้ว เห็นภาพคนขยับในเครื่อง มันช่างน่าอัศจรรย์ แต่หลี่ชิงเสียไม่เคยคิดเลยว่า บ้านของเขาหรือบ้านลูกชายจะสามารถซื้อโทรทัศน์ได้
แต่เมื่อคิดดูว่า ขายปลาและใบอ้อในหนึ่งวันได้เงินถึงสามสิบถึงห้าสิบหยวน โทรทัศน์หนึ่งเครื่องราคาเพียงพันกว่าถึงสองพันหยวนเท่านั้น บางทีอาจจะซื้อได้จริงๆ เขาเริ่มลังเล
จากการขายใบอ้อครั้งล่าสุดได้เงินมากกว่าร้อยหยวน หลี่ชิงเสียกลับมาที่บ้าน ตั้งใจแบ่งเงินให้หลี่หลงและหลี่เจี้ยนกั๋ว แต่ทั้งคู่ปฏิเสธไม่รับ หลี่ชิงเสียเองก็ไม่กล้ารับไว้ทั้งหมด สุดท้ายเขาก็ยัดเงินห้าสิบหยวนให้หลี่เจี้ยนกั๋วไปด้วยความรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง
ตอนนี้ที่บ้านมีมีดสำหรับตัดไม้ไม่เพียงพอ หลี่หลงกับหลี่ชิงเสียจึงปั่นจักรยานเข้าอำเภอ ไปที่สหกรณ์พื่อซื้อขวานเพิ่มอีกสองเล่ม เพราะที่นั่นไม่มีมีดตัดไม้ขาย และการสั่งทำก็ใช้เวลา จึงต้องใช้ขวานและเคียวแทนไปก่อน
เถาต้าเฉียงเองก็ใช้ขวานของบ้านตัวเองเช่นกัน สำหรับเกษตรกรที่ดีแล้ว ขวานกับพลั่วเหล็กเพียงสองชิ้นก็สามารถทำงานได้แทบทุกอย่าง
หลี่หลงยังแวะไปที่โรงอาหารเพื่อซื้อซาลาเปาสองสิบลูกห่อกลับมาด้วย นี่คืออาหารกลางวัน เพราะเมื่อไปถึงภูเขายังต้องจัดการบ้านพัก ซึ่งจะไม่มีเวลาทำอาหารในช่วงแรก
เมื่อปั่นจักรยานเข้าสู่เขตภูเขา หลี่ชิงเสียมองดูทิวทัศน์สองข้างทางด้วยความตื่นเต้นและแปลกใหม่
บ้านเกิดของเขาเป็นที่ราบ ไม่มีภูเขาเลย ตอนที่หลี่ชิงเสียยังหนุ่มเคยออกไปค้าขาย แต่ก็เป็นในพื้นที่ราบ ไม่เคยเจอภูเขาสูงแบบนี้ ภูเขาด้านเหนือของเทียนซานมีลักษณะแปลกตา เริ่มจากภูเขาดินสลับไปเป็นภูเขาหิน และตามมาด้วยพุ่มไม้จนกลายเป็นป่าไม้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและทึ่งในความงดงาม
"เลี้ยวไปทางนั้น ปั่นเข้าทางลัดเลย" หลี่หลงนำหน้าพร้อมชี้ทาง "พี่ใหญ่ เวลามาก็ต้องผ่านร่องน้ำตรงนั้น ปั่นให้ระวังด้วยนะ"
"กระต่าย!" หลี่ชิงเสียร้องเสียงดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
"ในภูเขานี่มีสัตว์ป่าเยอะครับ" หลี่หลงยิ้มพร้อมตอบ "พ่อครับ ด้านหลังนี่มีทั้งกระต่าย ไก่ป่า แกะเหลือง และหมูป่า บางทีเราอาจได้เห็นพวกมัน"
"นั่นแหละดี ถ้าเจอก็ใช้ปืนยิงเลย" หลี่ชิงเสียหัวเราะอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็ก "ตอนทำงานถ้าเจอสัตว์ป่าก็อย่าปล่อยให้มันหลุดไปเด็ดขาด"
"ครับ ยังไงก็ไม่อดตายแน่" หลี่หลงตอบ "วันนี้เราจัดการบ้านให้เรียบร้อยก่อน พรุ่งนี้เช้าผมจะออกไปสำรวจดูว่ามีหมูป่าไหม ถ้ามีก็จะยิงมาสักตัว จะได้มีเนื้อกินในภูเขา"
"ดีๆ พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปด้วย อยากเห็นทุกอย่างด้วย" หลี่ชิงเสียในตอนนี้ดูเหมือนเด็กที่ได้เข้าสู่โลกใหม่ อยากเห็นไปหมดทุกสิ่งรอบตัว
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงหน้าบ้านไม้ หลี่หลงหยุดจักรยานและมองดูที่ล็อกบ้านไม้...มันถูกงัดออกไปแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะบ้านไม้ที่ปล่อยไว้โดยไม่มีคนอยู่นาน ย่อมดึงดูดความสนใจจากคนอื่น
เมื่อเปิดประตูเข้าไป พบว่าผ้าห่มและสิ่งของอื่นๆถูกขโมยไปจนหมด รวมถึงเนื้อแห้งที่เคยเก็บไว้ก็ไม่เหลือ โชคดีที่เตียงไม้และโครงไม้ยังอยู่ครบถ้วน ไม่ได้ถูกทำลาย
หลี่หลงไม่ได้โกรธอะไรมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ
‘ถ้าเจอคนทำ ก็ค่อยจัดการทีหลัง ถ้าไม่เจอก็ถือว่าโชคร้ายไป’ เขาคิดในใจ
อย่างน้อยบ้านก็ยังไม่ถูกเผา ถ้าเกิดไฟไหม้จริงๆเขาคงจะโมโหมากจนเสียสติแน่ๆ
หลี่หลงและหลี่ชิงเสียช่วยกันจัดการทำความสะอาดบ้านไม้ให้เรียบร้อย แล้วไม่นานหลี่เจี้ยนกั๋วและเถาต้าเฉียงก็ขับเกวียนม้าตามมาถึง
บริเวณร่องน้ำหน้าบ้านไม้ รถบรรทุกไม่สามารถข้ามได้ แต่เกวียนม้าสามารถผ่านไปได้
เมื่อพวกเขามาถึง หลี่หลงจึงพูดกับหลี่เจี้ยนกั๋วว่า
"พี่ใหญ่ บ้านหลังนี้ของผมถูกงัด ของข้างในถูกขโมยไปหมด ตอนนี้ผมจะปั่นจักรยานกลับไปที่อำเภอเพื่อเอาของเพิ่มและซื้อของที่จำเป็น พวกพี่ช่วยจัดการที่นี่ก่อน ผมซื้อซาลาเปามาแล้วสำหรับเป็นอาหารกลางวัน ส่วนตอนเย็นเมื่อผมซื้อหม้อและของใช้ต่างๆกลับมาแล้ว เราก็จะทำอาหารได้"
"ตกลง" หลี่เจี้ยนกั๋วมองดูบ้านไม้และเห็นด้วย เพราะบ้านไม้หลังนี้ถือว่าดีมาก
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องนอนในหลุมดิน เพราะในภูเขานั้น แม้จะเป็นเดือนกรกฎาคมแต่ตอนกลางคืนก็ยังหนาวจัด การนอนกลางแจ้งจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี
นอกจากนี้ ยังมีหมาป่าด้วย
หลี่หลงหยิบซาลาเปาสองลูกเดินไปกินไปขณะออกจากบ้านไม้
เขาคิดว่า บ้านไม้หลังนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถเก็บของได้อีก อย่างน้อยในช่วงฤดูร้อนก็ไม่ควรเก็บของไว้ ส่วนในฤดูหนาวไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ระหว่างปั่นจักรยานกลับไปตามเส้นทางเดิม หลี่หลงสังเกตเห็นว่ามีสตรอว์เบอร์รีป่าขึ้นอยู่ข้างทางจำนวนมาก แม้ว่าผลจะมีขนาดเล็ก แต่รสชาติดีมาก ดีกว่าสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกในยุคหลังเสียอีก เขาคิดว่าถ้ามีเวลาจะเก็บไว้บ้าง
เมื่อปั่นจักรยานถึงตัวอำเภอ หลี่หลงพบว่าตัวเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อแล้ว
หลี่หลงตรงไปที่แผนกจำหน่ายของสหกรณ์ร้านค้า ซื้อหม้อสองใบ อ่างเคลือบ จาน และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ แล้วใส่ลงในกระสอบ จากนั้นไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเครื่องปรุงรส และไปที่ร้านผักของรัฐเพื่อซื้อพริกและผักอื่นๆ ก่อนจะปั่นจักรยานกลับไปที่ภูเขา
แม้ว่าจะมีผักป่ามากมายในภูเขา แต่การทำอาหารโดยไม่มีพริกก็รู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป
เมื่อมาถึงบ้านไม้ หลี่เจี้ยนกั๋วและพวกได้จัดการทำความสะอาดภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว ส่วนหลี่ชิงเสียก็กำลังจัดการพื้นที่ภายนอก หลี่เจี้ยนกั๋วและเถาต้าเฉียงไม่อยู่
เมื่อหลี่หลงถาม ก็ได้ความว่าทั้งสองคนออกไปตัดไม้กันแล้ว ตั้งใจจะเริ่มงานทันทีในวันนี้
หลี่หลงนำหม้อตั้งบนเตาหิน จากนั้นไปตักน้ำจากบ่อน้ำพุมาใส่ในหม้อ ล้างหม้อเล็กน้อย แล้วเริ่มต้มน้ำ
ตั้งแต่มาใช้ชีวิตในซินเจียง การเริ่มต้นวันด้วยการต้มน้ำกลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกในชีวิตประจำวันของเขา
เมื่อต้มน้ำเสร็จ หลี่หลงใช้ถ้วยเคลือบตักน้ำใส่ไว้หลายถ้วยให้เย็นลง แล้วไปเก็บต้นอ้ายหาวมาเผาใต้เตาไฟเพื่อให้เกิดควันไล่ยุง
"เสี่ยวหลง เมื่อไหร่ลูกจะออกไปล่าสัตว์?" หลี่ชิงเสียถาม "คืนนี้เราจะกินอะไรกัน?"
"คืนนี้กินแบบง่ายๆก่อนครับ ต้มโจ๊กแล้วผัดกับข้าวสองอย่าง" หลี่หลงตอบ "ในภูเขามีทั้งผักป่าและเห็ดเยอะ ผัดแล้วอร่อยทุกอย่าง"
เนื่องจากต้องอยู่อาศัยที่นี่อย่างน้อยสิบวัน หลี่หลงจึงไม่ได้เก็บผักป่ามามาก เขาเลือกต้นอ้ายหาวมาทำสลัดเย็น และเก็บเห็ดมาผัดกับพริก หลี่หลงยังพบกับเห็ดหอมป่าใกล้บริเวณที่มีมอสขึ้นริมร่องน้ำ ซึ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
นี่คือของดี—ถ้านำมาผัดจะดูเป็นการสิ้นเปลือง หลี่หลงวางแผนว่า หากสามารถล่าไก่ป่าได้ จะนำมาทำซุปแทน
เพราะหลี่หลงจำได้ว่า วิธีการกินเห็ดหอมป่าในครั้งแรกที่เขาเคยลอง คือการนำเห็ดประมาณสิบกว่าดอกมาปรุงร่วมกับไก่ป่าหนึ่งตัวทำเป็นซุป และเมนูนั้นมีราคาอยู่ที่สี่ร้อยหยวน
ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงที่เขาไปเที่ยวในชาติที่แล้วในช่วงปี 2010 กว่า ๆ
เขาคิดต่อว่าไม่แน่ใจว่าสถานีรับซื้อจะรับเห็ดชนิดนี้หรือไม่...แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าเก็บไว้ทำกินเองดีกว่า
เมื่อหลี่หลงจัดเตรียมของเสร็จ ผัดอาหารสองจานแล้วนำมาวางบนโต๊ะไม้ หลี่เจี้ยนกั๋วและเถาต้าเฉียงก็กลับมาถึงบ้านไม้ โดยทั้งคู่ต่างแบกต้นไม้คนละมัดกลับมา
หลี่หลงมองผ่านๆและประเมินว่าแต่ละมัดมีไม้มากกว่า 20 ต้น
"โอ้โห อาหารเสร็จแล้ว กลิ่นหอมลอยมาแต่ไกลเลย" หลี่เจี้ยนกั๋วพูดพร้อมหัวเราะ "นี่มันดีกว่าตอนทำงานแบกไม้ในหมู่บ้านเยอะเลย ไม่ต่างจากอยู่ที่บ้านเลยนะ"
"พรุ่งนี้เช้าผมจะออกไปดูว่ามีหมูป่าหรือเปล่า ถ้ามีก็จะล่าสักตัว เอามาหมักเกลือแล้วรมควันไว้ จะได้มีเนื้อกินทุกวัน" หลี่หลงพูดขึ้น
"คงล่ายากนะ" หลี่เจี้ยนกั๋วแย้ง "ภูเขานี่มันกว้างใหญ่ขนาดนี้"
"ก็เดินดูไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เจอก็ไม่เป็นไร ถ้าเจอก็ถือว่าโชคดี" หลี่หลงตอบ
คืนนั้นไม่มีใครนำวิทยุมา เวลาที่ท้องฟ้ามืดลง ทุกคนจึงพากันนอนหลับ หลี่ชิงเสียและหลี่เจี้ยนกั๋วนอนบนเตียงไม้ ส่วนหลี่หลงกับเถาต้าเฉียงปูเสื่อนอนบนพื้นในห้องเล็ก
หลี่หลงทำความสะอาดปืนจนเรียบร้อยก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด และเมื่อเขากำลังเตรียมตัวเข้านอน เถาต้าเฉียงก็พูดขึ้นว่า "พี่หลง พรุ่งนี้เช้าผมไปด้วยได้ไหม?"
"ได้สิ" หลี่หลงตอบรับ
วันรุ่งขึ้น หลี่หลงพาหลี่ชิงเสียและเถาต้าเฉียงออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนหลี่เจี้ยนกั๋วก็ลุกขึ้นมาให้อาหารม้าและต้มน้ำเตรียมอาหารเช้า
หลี่หลงสะพายปืน 5.6 มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เขารู้ว่าเป็นจุดที่หมูป่ามักจะมากินอาหาร
พวกเขาเดินข้ามภูเขาไปสองลูก และไปยังสองจุดที่หมายตาไว้ แต่กลับไม่พบหมูป่าเลย
เมื่อฟ้าเริ่มมีแสงสีขาวจางๆ หลี่หลงส่ายหัวและพูดว่า "ดูเหมือนว่าวันนี้จะล่าไม่ได้แล้ว หมูป่าคงกินเสร็จแล้วกลับเข้าป่าลึกไป เรากลับกันเถอะ"
เถาต้าเฉียงไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร แต่หลี่ชิงเสียดูผิดหวังเล็กน้อย
นี่เป็นวันแรกของการล่า แต่กลับไม่ได้อะไรเลย จะไม่ให้รู้สึกผิดหวังก็คงเป็นไปไม่ได้
"เราจะกลับทางเดิมเหรอ? ทำไมระหว่างทางไม่เจอแม้แต่กระต่ายหรือไก่ป่าเลยล่ะ?" หลี่ชิงเสียบ่นเบาๆ
หลี่หลงชี้ไปทางด้านนอกของภูเขาและพูดว่า "งั้นเราลองอ้อมไปทางนั้นดูไหม? มีที่หนึ่งที่เคยเห็นแกะเหลือง ไม่รู้ตอนนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า"
"แกะเหลืองคือแกะอะไร?" หลี่ชิงเสียถามด้วยความสงสัย
เขารู้จักหมูป่าเพราะบ้านเกิดของเขาก็มี กระต่ายและไก่ป่าก็ไม่ใช่ของแปลกสำหรับเขา แต่แกะเหลืองนี่คืออะไร?
"มันเป็นชนิดหนึ่งของละมั่ง" หลี่หลงอธิบายขณะเดินต่อ "มันมีขนสีเหลือง"
พวกเขาเดินผ่านร่องน้ำสองแห่งจนมาถึงด้านนอกของภูเขา ที่นั่นเต็มไปด้วยพุ่มไม้เตี้ยและทะเลทรายกรวด
เส้นทางค่อนข้างลำบาก เพราะมีหนามของต้นอูฐที่คอยทิ่มแทงอยู่เป็นระยะ ทำให้เดินลำบากและน่ารำคาญไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะรองเท้าที่ทั้งสามคนใส่มีพื้นแข็งแรง พวกเขาอาจโดนหนามทิ่มแทงเท้าไปแล้ว
แม้ว่าหลี่ชิงเสียจะมีอายุมากกว่า 60 ปีแล้ว แต่ร่างกายของเขายังแข็งแรงดี หลี่หลงเดินด้วยความเร็วพอประมาณ ทำให้หลี่ชิงเสียสามารถตามทันได้
เถาต้าเฉียงเดินอยู่ด้านหลังสุด เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่คอยมองซ้ายมองขวาเป็นระยะ
หลี่หลงพยายามเลือกเส้นทางที่เดินง่ายที่สุด พร้อมทั้งคอยเตือนหลี่ชิงเสียและเถาต้าเฉียงให้ระมัดระวัง
เมื่อพวกเขาเดินผ่านพื้นที่ที่ยู่ซานเจียงเคยบอกว่าเป็นแหล่งที่แกะเหลืองอาศัยอยู่ หลี่หลงหยุดเดินและมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบร่องรอยของแกะเหลือง เขารู้สึกผิดหวังอย่างสิ้นเชิง
"ไม่มีแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที" หลี่หลงคิดในใจ
เขาตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง ขึ้นไปทางยอดเขา โดยตั้งใจจะข้ามภูเขาไปอีกฝั่งเพื่อเดินทางลัดกลับไปที่บ้านไม้ และเตรียมตัวไปตัดไม้แทน
แต่ในขณะที่เขาเดินขึ้นไปถึงยอดเขาและหันไปมองทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทรายกรวด เขาก็หยุดชะงักทันที
แกะเหลือง!
การหยุดเดินกะทันหันของหลี่หลงทำให้หลี่ชิงเสียสงสัยและถามขึ้นว่า "เสี่ยวหลง ทำไมถึงหยุดล่ะ?"
เถาต้าเฉียงซึ่งคุ้นเคยกับหลี่หลงมากที่สุด สังเกตเห็นท่าที เขาจึงรีบหยิบปืนไรเฟิลขนาดเล็กจากไหล่ออกมา และเล็งไปในทิศทางที่หลี่หลงกำลังมองอยู่
หลี่หลงหยิบปืน 5.6 ขึ้นมาเตรียมพร้อมยิง เขานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งและเล็งไปยังพื้นที่ทะเลทรายกรวดไกลออกไป
"อะไรเหรอ?"
"แกะเหลือง" หลี่หลงพูดเบาๆ "เห็นแค่ตัวเดียว ยังไม่แน่ใจว่ามีตัวอื่นอีกไหม...ต้าเฉียง นายเห็นหรือเปล่า?"
"ไม่เห็น..." เถาต้าเฉียงยังคงหาจุดเป้าหมายไม่เจอ
"เห็นพุ่มต้นฮงหลิ่วตรงหน้าไหม? ที่มีสามต้นเรียงกัน...ตรงขอบพุ่มนั้นมีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยกรวดและดินเหลือง ใกล้ๆนั้นมีแกะเหลืองตัวหนึ่ง มันยังไม่โตเต็มที่"
เถาต้าเฉียงจ้องอยู่นานแต่ก็ยังหาไม่เจอ
หลี่หลงไม่รอช้า เพราะแกะเหลืองตัวนั้นอยู่ห่างจากเขาเพียง 70-80 เมตร ถ้าเป้าหมายยังไม่เคลื่อนที่ เขามั่นใจว่าจะยิงได้อย่างแม่นยำ
แกะเหลืองดูเหมือนจะรู้สึกถึงอันตราย มันหันหัวมามองทางหลี่หลง แล้วพยายามลุกขึ้นยืน
หลี่หลงเหนี่ยวไกปืนทันที
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นก้องไปทั่วบริเวณ ร่างของแกะเหลืองที่กำลังลุกขึ้นเพียงครึ่งตัวก็เอนล้มลงกับพื้น
"เห็นแล้ว!" เถาต้าเฉียงพูดพลางลุกขึ้นยืนทันที
หลี่หลงยังคงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน เล็งปืนต่อไปอีกประมาณสิบกว่าวินาทีเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรเคลื่อนไหวอีก
"หรือว่านี่จะเป็นแกะตัวเดียวที่อยู่ตรงนี้?" หลี่หลงคิดในใจ แม้จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสัตว์ตัวอื่นอยู่ เขาก็ปิดระบบความปลอดภัยของปืนและเก็บปืนเข้าที่
"ไปกันเถอะ ไปดูว่ามันเป็นยังไงบ้าง คงได้รับบาดเจ็บแน่ๆ"
ทั้งสามคนเดินเข้าไปดู และพบว่าแกะเหลืองตัวนั้นบาดเจ็บจริงๆ
บาดแผลที่ขาหลังเป็นแผลใหญ่จนดูน่ากลัว
หลี่หลงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่หลี่ชิงเสียซึ่งเป็นพ่อของเขาก็เห็นบาดแผลเช่นกัน คำถามจึงเกิดขึ้นในใจ—จะกินมันดีหรือไม่?
(จบบท)