บทที่ 40 หลี่เจี้ยนซิน
บทที่ 40 หลี่เจี้ยนซิน
เป็นไปได้อย่างไร?
นั่นไม่ใช่ว่าหมายความว่า หากคนผู้นี้ต้องการฆ่าตนเอง เมื่อครู่ตนเองก็คงตายไปแล้ว?
“ไม่มีปราณยุทธ์?”
ชายหนุ่มตกใจมาก ภายใต้กระบี่ของเขา แทบจะไม่มีใครสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการที่สงบนิ่งเช่นนี้ แม้แต่จะหลบก็ยังไม่มี
ผู้เชี่ยวชาญ!
เก็บซ่อนปราณยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นมหาปรมาจารย์!?
ชายหนุ่มรีบเก็บกระบี่ จากนั้นก็กุมหมัดด้วยความตกใจ “ขออภัย ข้าคิดว่า…”
“ไม่เป็นไร”
ซูจี้เหนียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพียงแต่กล่าวว่า “ข้าแค่อยากจะถามทาง”
“เชิญท่านผู้อาวุโสถาม”
ชายหนุ่มรีบกล่าว
“ประตูแห่งหลัวอยู่ที่ไหน?”
ซูจี้เหนียนถาม
เมื่อได้ยินคำถามของซูจี้เหนียน ดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลง จากนั้นกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสเป็นมหาปรมาจารย์ใช่หรือไม่?”
“หืม?”
ซูจี้เหนียนมองดูชายหนุ่มด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นครึ่งก้าวปรมาจารย์หรอกหรือ? ทำไมในสายตาของเจ้าเด็กนี่ ตัวเขากลับกลายเป็นมหาปรมาจารย์ไปแล้ว?
“ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก”
ชายหนุ่มกล่าว “ท่านผู้อาวุโสสามารถเก็บซ่อนปราณยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนข้าไม่รู้สึกถึงมันเลย ข้าทำแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นท่านผู้อาวุโสต้องเป็นมหาปรมาจารย์อย่างแน่นอน อีกอย่าง หากไม่มีขอบเขตบ่มเพาะระดับมหาปรมาจารย์ ย่อมไม่กล้ามาหาประตูแห่งหลัว”
สิ้นเสียง ซูจี้เหนียนก็ตกใจ คำพูดของชายหนุ่มคนนี้ได้บอกทุกอย่างแล้ว
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์!
หากมองไปทั่วทั้งอาณาจักรหลิงเจี้ยน มีข่าวลือว่ามีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์เพียงคนเดียว นั่นคือ… หลี่เจี้ยนซิน บรรพชนของอาณาจักรหลิงเจี้ยน!
ซูจี้เหนียนคิดว่าคนที่ถูกเรียกว่าบรรพชน ต้องเป็นชายชราผมขาว ใครจะรู้ว่าบรรพชนผู้นี้กลับเป็นชายหนุ่ม เรื่องนี้ทำให้ซูจี้เหนียนรู้สึกประหลาดใจ
“เจ้าคือหลี่เจี้ยนซิน?”
เพื่อความแน่ใจ ซูจี้เหนียนจึงถามออกมา
“ถูกต้อง”
หลี่เจี้ยนซินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่หลี่เจี้ยนซินกล่าวในเวลานี้ว่า “ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสรู้เรื่องข้อตกลงของแต่ละอาณาจักรหรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรอื่นไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับสมบัติในประตูแห่งหลัวของอาณาจักรหลิงเจี้ยนของข้า นี่เป็นข้อตกลงที่มีมานานแล้ว และได้รับการรับรองจากดินแดนเหรินหวง(จักรพรรดิมนุษย์) ท่านผู้อาวุโสมาที่อาณาจักรหลิงเจี้ยนของข้าเพื่อตามหาประตูแห่งหลัว ท่านไม่กลัวว่าดินแดนเหรินหวงจะเข้ามาแทรกแซงหรือ?”
นั่นคืออะไร?
ในใจของซูจี้เหนียนเต็มไปด้วยความสงสัย ดินแดนเหรินหวงคืออะไร?
แต่ซูจี้เหนียนก็ไม่ได้ถาม เพียงแค่ส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าเป็นคนของอาณาจักรหลิงเจี้ยน”
“หา?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เจี้ยนซินก็ตกตะลึง ซูจี้เหนียนเป็นคนของอาณาจักรหลิงเจี้ยน?
อาณาจักรหลิงเจี้ยนมีมหาปรมาจารย์ด้วย?
“เพียงแต่ข้าไม่ชอบออกไปไหนมาไหน เจ้าไม่รู้ย่อมไม่แปลก ช่วงนี้มีเรื่องบางอย่าง ข้าจึงต้องออกมา หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองไปสืบดูสิ ข้ายังเป็นผู้พิทักษ์หลงซานอีกด้วยนะ” พูดจบ ซูจี้เหนียนก็ติดตราผู้พิทักษ์หลงซานระดับทองแดง
เรื่องนี้ทำให้หลี่เจี้ยนซินอยากจะบ้าตาย ท่านเป็นถึงมหาปรมาจารย์ ทำไมถึงมาเป็นผู้พิทักษ์หลงซาน!?
แถมยังเป็นแค่ระดับทองแดงเนี้ยนะ?
เดี๋ยวก่อนนะ ระดับทองแดง?
“ท่านคือเหยียนอ๋อง?”
ทันใดนั้นหลี่เจี้ยนซินก็นึกถึงชื่อหนึ่ง ช่วงนี้มีข่าวลือว่าในเมืองว่านเซียงมีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้น ชื่อว่าเหยียนอ๋อง เดิมทีหลี่เจี้ยนซินไม่เชื่อข่าวสารเช่นนี้ เพราะหลี่เจี้ยนซินไม่เชื่อว่าหากมีครึ่งก้าวปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เขาจะมาเป็นผู้พิทักษ์หลงซาน วันนี้ได้เห็นแล้ว จริงๆ แล้วไม่ใช่ครึ่งก้าวปรมาจารย์ แต่ดันเป็นมหาปรมาจารย์!
ในเวลานี้ หลี่เจี้ยนซินไม่รู้จะพูดอะไรดี
รู้สึกว่าในเวลานี้ คำพูดใดๆ ล้วนไร้ความหมาย ท่านเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุด ทำไมถึงมาอยู่ในเมืองเล็กๆ เช่นนี้?
“เช่นนั้น ข้ามีคุณสมบัติที่จะไปที่ประตูแห่งหลัวแล้วใช่ไหม? รีบบอกข้ามา ประตูแห่งหลัวอยู่ที่ไหน?”
หลี่เจี้ยนซินมองดูซูจี้เหนียนอย่างเหม่อลอย ในหัวของเขาคิดมากมาย จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง กล่าวว่า “ตรงไปทางนั้น ประมาณหกร้อยลี้”
“ขอบคุณ”
ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวตนของเขาแล้ว ซูจี้เหนียนก็ไม่ปิดบัง ร่างกายขยับ รวดเร็วราวกับสายฟ้า หายไปในทันที
“เร็วมาก!”
เมื่อเห็นความเร็วของซูจี้เหนียน ในใจของหลี่เจี้ยนซินก็ปั่นป่วน นี่คือขอบเขตของมหาปรมาจารย์สินะ?
เขาติดอยู่ที่ครึ่งก้าวปรมาจารย์มาเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ไม่สามารถสัมผัสขอบเขตของมหาปรมาจารย์ได้ แม้ว่าเขาจะบินได้ แต่ความเร็วก็เทียบกับซูจี้เหนียนไม่ได้
“มหาปรมาจารย์ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพี ควบคุมพลังของสวรรค์และปฐพีได้อย่างสมบูรณ์แบบ เก็บซ่อนปราณยุทธ์ได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปราณยุทธ์หรือการควบคุมพลัง ล้วนอยู่ในระดับสูงสุด”
หลี่เจี้ยนซินคิดถึงคำอธิบายเกี่ยวกับมหาปรมาจารย์ในตำราโบราณ ในเวลานี้หลี่เจี้ยนซินมองดูพื้นดิน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พึมพำว่า “การควบคุมตนเองอยู่ในระดับสูงสุด น่ากลัวยิ่งนัก!”
บนพื้นดิน ไม่พบรอยเท้าของซูจี้เหนียนเลย
เหยียบหิมะโดยไม่ทิ้งรอย ขอบเขตบ่มเพาะเช่นนี้ หลี่เจี้ยนซินยังทำไม่ได้
“ครืนๆ”
ในเวลานี้เอง ในถ้ำไม่ไกลก็มีเสียงดังราวกับฟ้าร้อง หลี่เจี้ยนซินมองไปที่ถ้ำ พึมพำกับตัวเองว่า “รอเจ้าครึ่งเดือน ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วสินะ?”
ครั้งนี้หลี่เจี้ยนซินมาที่ภูเขาเสวี่ยชาง ก็เพื่อสัตว์อสูรในถ้ำนี้
ปูเจียวซี! (อือ แปลตรงตัวน่าจะปูมีเขา)
นี่คือสัตว์อสูรที่น่ากลัวมาก พลังของมันแข็งแกร่งกว่าภูตต้นไม้ที่ซูจี้เหนียนพบเจอเสียอีก ก้ามปูขนาดใหญ่นั้นสามารถตัดภูเขาและหินได้ โดยเฉพาะเขาบนหัวของปูเจียวซี เล่าลือกันว่ามันมีพลังสายฟ้า หลี่เจี้ยนซินมาที่นี่ก็เพื่อปูเจียวซีตัวนี้ เพราะต้องการเขาของมัน เพื่อนำไปหลอมรวมกับอาวุธของตนเอง
ส่วนซูจี้เหนียนที่บินไปตามทิศทางที่หลี่เจี้ยนซินชี้ด้วยความเร็วสูง เขาก็เห็นหุบเขาขนาดใหญ่จากระยะไกล ข้างล่างหุบเขากลับมีประตูโบราณบานหนึ่ง!
“ที่นี่เอง!”
ดวงตาของซูจี้เหนียนเป็นประกาย รีบไปที่หุบเขา
ประตูบานนี้กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของภูเขา ประตูสีดำนี้ไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร? มันให้ความรู้สึกหนักแน่นและเก่าแก่ บนประตูมีลวดลายที่ซับซ้อนมากมายที่เขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร?
ลมพัดโบก เสียงลมผสมกับเสียงกรีดร้องที่น่าเวทนา ทำให้ผู้คนขนลุก!
เป็นไปไม่ได้ที่ซูจี้เหนียนจะผลักประตูเปิดออก ต่อให้ซูจี้เหนียนเหนื่อยตาย เขาก็ผลักประตูนี้ไม่ออก ดังนั้นซูจี้เหนียนจึงใช้ร่างกายของตนเองโดยตรง ไม่ได้เปิดประตู แต่เดินทะลุประตูเข้าไปข้างใน
“ช่างมืดยิ่งนัก”
ซูจี้เหนียนพบว่าตนเองมองไม่เห็นอะไร จึงหยิบไฟฉายคาดหัวออกมา สวมใส่ไว้บนหัว ทำให้เขาดูเหมือนคนงานเหมือง
มีแสงไฟส่องสว่าง ซูจี้เหนียนถึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ด้านหลังประตูนี้กลับเป็นทางเดินสีแดงเลือด
ทุกที่ล้วนมีกลิ่นอายของความเก่าแก่!
เงียบสงบ ซูจี้เหนียนเดินไปตามทางเดินอย่างช้าๆ เดินไปได้ไม่ถึงพันเมตร ซูจี้เหนียนก็เห็นศพมนุษย์นอนอยู่บนพื้น