บทที่ 365 ความวุ่นวายของขุนนางแดนใต้(ต้น-ปลาย)
“ตาย… ตายแล้วหรือ?”
“แค่นั้นก็ตายแล้วหรือ ล้อกันเล่นหรือเปล่า!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
การที่ผู้ฝึกตนระดับกร้าวสังหารขั้นสูงสุดสามารถสังหารนักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพได้ทั้งที่มีช่องว่างของพลังถึงหนึ่งขั้นใหญ่ และนักพรตผู้นั้นยังถูกพิพากษาให้ตายด้วยคำพูดเพียงคำเดียว นับเป็นภาพที่ยากจะเข้าใจสำหรับหลายๆ คน
อย่าลืมว่าเขาคือครึ่งก้าวเทพพิภพผู้ถือดาบศักดิ์สิทธิ์และเผาผลาญทุกสิ่งเพื่อเพิ่มพลังตนเอง
ในสถานะเช่นนี้ แม้แต่เทพพิภพที่พยายามสังหารเขาก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และอาจถูกเขาใช้พลังของดาบศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้
ก่อนหน้านี้ ลู่หาวพยายามโจมตีหลายครั้งแต่ยังไม่สามารถจัดการนักพรตชราได้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้น นักพรตชราผู้แข็งแกร่งก็ถูกมู่หลินสังหาร และที่สำคัญคือ มู่หลินทำได้อย่างง่ายดาย เหตุการณ์นี้ชวนให้ใครต่อใครต้องอึ้งจนพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้คนอื่นตกตะลึง มู่หลินกลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แม้นักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพจะทรงพลัง หากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ มู่หลินก็ไม่อาจเทียบเคียงได้
แต่ความผิดพลาดของฝ่ายตรงข้ามคือ การส่งนักพรตชราผู้ใกล้ตายมาโจมตีเขา
เพราะความสามารถของร่างเทพยมราชที่เขาเรียกออกมา มีพลังสำคัญสองอย่างคือ การควบคุมเหล่าวิญญาณแห่งนรก และการพิพากษาชะตาชีวิตโดยการลดอายุขัย
แม้การลดอายุขัยของนักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับร่างเทพยมราชที่ยังไม่สมบูรณ์ของมู่หลิน แต่นักพรตชราที่ใกล้สิ้นชีวิตอยู่แล้ว แค่ลดอายุขัยเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้เขาตายได้
“ข้าไม่อาจเผชิญหน้ากับครึ่งก้าวเทพพิภพได้ แต่การลดอายุขัยของเขาเพียงเล็กน้อยกลับง่ายดายยิ่งนัก… ด้วยอายุขัยที่เหลือเท่านี้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าข้า เจ้าคิดหรือว่าจะรอดชีวิตได้”
มู่หลินนึกถึงความผิดพลาดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร แต่เขาก็เข้าใจว่าหากไม่ใช่นักพรตชราที่ใกล้ตาย ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนที่ยอมสละชีวิตเพื่อลอบสังหารเขา
นักพรตระดับหลุดพ้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในเขตแดนของตนเอง อย่างน้อยก็เป็นเสาหลักของพื้นที่ที่พวกเขาอยู่
เมื่อถึงระดับนี้ พวกเขาผ่านพ้นความยากลำบากของการฝึกตนในช่วงแรก และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ดังนั้น แทบไม่มีใครพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตหรือถูกชักจูงให้กระทำสิ่งที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
อย่างไรก็ตาม ความคิดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่สิ่งที่มู่หลินสนใจ
สิ่งที่ทำให้เขาโกรธคือการที่มีคนกล้าทำลายกฎและลอบสังหารเขา
“นักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพ ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งงูเขมือบ และพิษของงูเขมือบร่างกาย… พวกเขาต้องการสังหารข้าให้ถึงที่สุดจริงๆ”
มองดูร่างไร้ชีวิตของนักพรตชราและดาบศักดิ์สิทธิ์ที่สั่นสะเทือนราวกับจะบินหนี มู่หลินก็แย้มยิ้มออกมา
แต่รอยยิ้มนั้น… เยือกเย็น
“เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว…”
หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง แม้หลายคนจะยังไม่เข้าใจว่ามู่หลินสามารถสังหารนักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพได้อย่างไร แต่เมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ยอมรับมัน
เมื่อจิตใจเริ่มสงบลง พวกเขาก็มองเห็นรอยยิ้มเยือกเย็นของมู่หลิน
เมื่อคิดถึงพรสวรรค์ของมู่หลิน คิดถึงความสำเร็จที่ผ่านมา และคิดถึงพฤติกรรมของเขาที่ผ่านมา พวกเขารู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวในวันนี้จะไม่จบลงเพียงแค่การตายของนักพรตผู้ลอบสังหาร
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
“เรื่องวุ่นวายกำลังจะเริ่มต้นแล้ว”
.......
“หึ่ง!”
ในขณะที่บางคนกำลังตกใจกับเหตุการณ์นี้ ก็มีบางคนที่พยายามควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งงูเขมือบ ผู้ที่ออกมือคือ ลู่หาว จากแดนเหนือ และผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนและฉู่
หลังจากที่นักพรตชราเสียชีวิต ดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนั้นเริ่มสั่นไหวราวกับต้องการหนีไป
พลังของงูเขมือบร่างกายนั้นมีความลึกล้ำและเกี่ยวข้องกับมิติ หากมีคนควบคุม ดาบเล่มนี้สามารถใช้พลังในการเดินทางข้ามมิติหลบหนีไปได้
แต่นักพรตชรากลับตายอย่างกะทันหัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะถูกมู่หลินฆ่าตาย
เนื่องจากไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า เขาจึงไม่ทันได้กระตุ้นกลไกหนีของดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งงูเขมือบ
แม้ดาบเล่มนี้จะทรงพลัง แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นเพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการการควบคุมจากผู้ใช้
เมื่อไม่มีใครควบคุม แม้พลังของมันจะมากมาย แต่ก็ไม่อาจหลบหนีได้
“หึ่ง!”
สามกลุ่มกำลังร่วมกันออกมือเพื่อควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ และในที่สุดพวกเขาก็สามารถกดพลังของมันลงได้สำเร็จ
พูดตามตรง ไม่ว่าจะเป็นลู่หาวหรือผู้อาวุโสจากตระกูลเหยียนและฉู่ ต่างก็รู้สึกอยากครอบครองดาบเล่มนี้
ดาบศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับเทพพิภพก็ไม่แน่ว่าจะมีครอบครอง
โดยเฉพาะดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งงูเขมือบที่ทรงพลัง หากพวกเขาได้ครอบครองก็จะมีประโยชน์อย่างมหาศาล
แต่ด้วยมู่หลินไม่ใช่เพียงแค่ยอดฝีมือธรรมดา เขาคืออัจฉริยะเหนือโลก การที่เขาสามารถสังหารนักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพในระดับกร้าวสังหารได้ ยิ่งตอกย้ำความเป็นอัจฉริยะของเขา
ดังนั้น แม้พวกเขาจะรู้สึกอยากครอบครองดาบเล่มนี้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา พวกเขาจึงตัดสินใจมอบดาบนี้ให้มู่หลิน
มู่หลินกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
เขาไม่ได้เพียงขอบคุณที่พวกเขาช่วยควบคุมดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังขอบคุณที่พวกเขาช่วยเหลือในสถานการณ์ที่คับขัน
แม้ว่าในครั้งนี้มู่หลินจะสามารถจัดการวิกฤติด้วยตัวเองได้ แต่ความช่วยเหลือจากพวกเขาก็ทำให้มู่หลินรู้สึกซาบซึ้งใจ
หลังจากกล่าวขอบคุณ มู่หลินก็อ้างว่าตนเองตกใจและขอปฏิเสธการพบปะผู้มาเยือนชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างของเขาจะซ่อนตัวไป แต่ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้กลับแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ผู้ฝึกตนที่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์นี้ต่างชื่นชมในความสามารถของมู่หลิน
“แม้แต่นักพรตระดับครึ่งก้าวเทพพิภพเขาก็สามารถสังหารได้ ข้าไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีก”
“เราไม่อาจมองเขาเป็นเพียงอัจฉริยะหนุ่มอีกต่อไป มู่หลินในตอนนี้คือยอดฝีมือตัวจริงแล้ว”
บางคนก็เริ่มคาดเดาเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้
“ข้าจำได้ว่าตระกูลลู่เพิ่งมีปัญหากับมู่หลิน หรือจะเป็นพวกเขา?”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้ การเปิดศึกกับอัจฉริยะเหนือโลกเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล ตระกูลลู่ไม่โง่ขนาดนั้น อีกทั้งสงครามระหว่างเหนือและใต้ยังไม่จบ หากมู่หลินตายแล้วหลัวเฉินจากแดนเหนือกลับมาบุกอีก ใครจะต้านทานได้? หากการกระทำนี้ทำให้แดนใต้พ่ายแพ้ ตระกูลอื่นๆ ย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป พวกเขาอาจร่วมมือกันโจมตีตระกูลลู่ และผลเสียหายย่อมมากเกินกว่าจะรับไหว”
“ถ้าไม่ใช่ตระกูลลู่ แล้วจะเป็นใคร?”
“ยังมีอีกหลายตัวเลือก อ๋องเหลียงอาจไม่ต้องการให้ตระกูลขุนนางมีกำลังมากขึ้น หรือเจ้าแห่งอาณาจักรหยกชิงผู้ปกครองแท้จริงของแดนตะวันออกเฉียงใต้อาจไม่ต้องการให้อัจฉริยะเหนือโลกที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเขาเติบโตขึ้นมา หรือไม่ก็เป็นฝีมือของแดนเหนือที่เพิ่งพ่ายแพ้และต้องการแก้แค้น”
“แม้แต่เหล่าปีศาจและชนเผ่าต่างสายเลือดก็อาจลงมือได้ สำหรับพวกมัน การกำจัดอัจฉริยะมนุษย์เป็นเรื่องปกติที่พวกมันทำ”
เมื่อคำนวณดูแล้ว ทุกคนต่างพบว่าผู้ที่อาจต้องการชีวิตของมู่หลินมีอยู่มากมาย
และนั่นก็เป็นความจริงของโลกนี้ ต้นไม้ที่สูงเด่นเกินไปย่อมถูกลมพัดโค่นตามคำกล่าวโบราณ
การเป็นอัจฉริยะเหนือโลกเช่นมู่หลิน แม้จะได้รับการยกย่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายเช่นกัน
ในขณะที่บางคนกำลังถกเถียงเกี่ยวกับตัวผู้บงการ บางคนก็เสียใจที่มู่หลินยังไม่ตาย
เช่นผู้อาวุโสแห่งตระกูลลู่
“หึ ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามู่หลินที่ชอบทำตัวโดดเด่นเกินไปย่อมต้องพบกับเคราะห์กรรม นี่เป็นเพียงครั้งนี้ที่เขาโชคดี แต่ครั้งหน้าคงไม่แน่”
คำพูดนี้ทำให้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ อึดอัดใจ
“แค่กๆ ท่านผู้อาวุโส ขณะนี้สถานการณ์ตึงเครียด การพูดเช่นนี้อาจทำให้มู่หลินเกิดปฏิกิริยาโต้กลับ…”
“จะเกี่ยวอะไรกับข้า ยังไงเสียมือสังหารก็ไม่ใช่คนของเรา เขาคงโทษข้าไม่ได้”
ลู่หยางเย่ามองว่าเหตุการณ์ที่มู่หลินถูกลอบสังหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลลู่
และขุนนางแดนใต้อีกหลายคนก็คิดเช่นเดียวกัน
ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะเฝ้าดูสถานการณ์จากระยะไกล
แต่ในวันถัดมา พวกเขาก็ต้องวิตกกังวลอย่างหนัก
ลู่หยางเย่าถึงกับถูกตระกูลอื่นๆ ซักถาม
“พวกเจ้าทำอะไรกันแน่ ทำไมมู่หลินถึงส่งข่าวว่าเขาจะกระชับความสัมพันธ์กับแดนเหนือ!”
“ลู่หยางเย่า ข้าเตือนเจ้ามาแล้วว่าหากมู่หลินเข้าร่วมกับแดนเหนือและทำให้สถานการณ์ที่ดีในตอนนี้พังทลาย ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น พวกเจ้าตระกูลลู่จะรับไม่ไหวแน่!”
พลังคือรากฐานของทุกสิ่ง หากขุนนางแดนใต้พ่ายแพ้ในสงครามระหว่างเหนือและใต้ พวกเขาจะสูญเสียทรัพยากร ชื่อเสียง และอำนาจมหาศาล ซึ่งเป็นความเสียหายที่ตระกูลเดียวไม่อาจรับไหว
และผู้อาวุโสแห่งตระกูลลู่ก็รู้สึกว่าตนเองถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็แค่ต้องการจัดการกับความไม่พอใจของมู่หลิน แต่เขาบอกว่าตนเองถูกลอบสังหารและไม่ต้องการพบใคร”
“เขาแค่ไม่พบเจ้า แต่กลับพบปะกับขุนนางแดนเหนือแทน!”
“นี่มัน…”
ลู่หยางเย่าแม้จะไม่ได้โง่จนเกินไป แต่เมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มเข้าใจถึงเงื่อนงำบางอย่าง
“หรือว่าเขาคิดว่าข้าเป็นคนลอบสังหารเขา? ช่างโง่เง่านัก ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
พูดจบ เขาก็รีบร้อนออกไปเพื่อพยายามอธิบายเรื่องนี้กับมู่หลิน
ตามคาด มู่หลินไม่ได้ตอบกลับและก็ไม่ได้พบเจอเขา
สิ่งที่มู่หลินทำมีเพียงการพบปะกับขุนนางแดนเหนือบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้ ขุนนางแดนใต้อื่นๆ ก็เริ่มวิตกกังวล เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ที่เป็นไปได้ด้วยดีอาจพังทลาย พวกเขาจึงพากันไปหาตระกูลเหยียนและฉู่เพื่อถามถึงสถานการณ์
สองตระกูลนั้นไม่ได้ปราศจากข้อมูลเลย แต่สิ่งที่พวกเขาส่งต่อกลับทำให้ขุนนางแดนใต้ที่มาชุมนุมกันต่างนิ่งเงียบไปนาน
“ข้ายอมรับว่าข้าได้ไปหามู่หลินแล้ว และได้บอกเขาว่าการลอบสังหารครั้งนี้อาจไม่ใช่ฝีมือตระกูลลู่… ไม่เหมือนกับบางตระกูล ข้าตระกูลเหยียนยังใส่ใจสถานการณ์โดยรวมอยู่”
หลังจากเหน็บแนมตระกูลลู่ ตระกูลเหยียนก็กล่าวต่อด้วยเสียงถอนหายใจ
“แต่มู่หลินบอกข้าว่า การที่การลอบสังหารครั้งนี้จะเป็นฝีมือตระกูลลู่หรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือมีคนกล้าลอบสังหารเขาในดินแดนสำคัญของขุนนางแดนใต้ และแม้การลอบสังหารจะล้มเหลว พวกเจ้ายังไม่สามารถหาตัวผู้ร้ายและลงโทษศัตรูได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย และคิดว่าเขาไม่ได้รับการใส่ใจในฐานะของขุนนางแดนใต้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็คิดว่าสู้ไปเข้าร่วมกับขุนนางแดนเหนือดีกว่า เพราะพวกเขาสัญญากับเขาว่า ไม่ว่าใครที่ลอบสังหารเขา พวกเขาจะตอบโต้คืนด้วยชีวิตต่อชีวิต เลือดต่อเลือด และจะลงมือแก้แค้นอย่างเต็มที่”
“เอ่อ…”
คำพูดที่ตระกูลเหยียนถ่ายทอดออกมา ทำให้ขุนนางแดนใต้อื่นๆ รู้สึกกระอักกระอ่วน
ในเรื่องการลอบสังหารมู่หลิน พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
เพราะมู่หลินไม่ได้เป็นทายาทของพวกเขาเอง
และความจริงที่ว่าผู้ที่สามารถส่งนักลอบสังหารระดับสูงได้ย่อมต้องเป็นฝ่ายที่มีอำนาจใหญ่โต พวกเขาก็ไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับฝ่ายนั้นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากมั่นใจว่ามือสังหารไม่ได้มาจากตระกูลของพวกเขา พวกเขาก็เลือกที่จะยืนดูจากระยะไกล และเฝ้าดูว่ามู่หลินจะตอบโต้เช่นไร
บางคนถึงกับตั้งตารอที่จะเห็นการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย
แต่มู่หลินกลับบอกกับพวกเขาอย่างชัดเจนว่า พวกเจ้าอยากยืนดูใช่หรือไม่?
ก็ได้ งั้นข้าจะไป
ถ้าสถานที่นี้ไม่ให้ความสำคัญกับข้า ก็มีที่อื่นที่พร้อมจะให้ความสำคัญ
และเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่หลินกำลังจะจากไปจริงๆ พวกเขาก็เริ่มร้อนรน