บทที่ 35 ทรัพย์ล้นฟ้า
ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์มองหน้ากันอย่างฉงน มิอาจเข้าใจได้ว่าคุณชายผู้มั่งคั่งผู้นี้จู่ๆ เป็นอะไรไป
แต่มู่เหนียนฮวากลับตื่นเต้นจนแทบยืนไม่ติด “สวรรค์ ข้าคิดว่าการเดินทางครานี้จะน่าเบื่อสิ้นดี แต่ยังไม่ทันขึ้นเรือกลับได้พบพานสตรีผู้งดงามเช่นนี้ มิทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไร? มาจากที่ใด? อายุเท่าใด? มีคู่หมายแล้วหรือไม่?”
“คุณชาย...” ชายวัยกลางคนผู้ตรวจตั๋วเรือที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยเตือนเสียงแผ่ว
“ข้ากำลังสนทนากับเซียนหญิง อย่ามาพูดแทรก” มู่เหนียนฮวาโบกมือไล่ชายผู้นั้น
เขาหันมายิ้มอย่างสุภาพให้หนานกงซีเอ๋อร์ “อา ข้าลืมเสียได้ว่าควรจะแนะนำตนเองก่อน ข้าน้อยมีนามว่ามู่เหนียนฮวาอันดับเจ็ดแห่งชิงโจว สตรีทั้งหลายต่างขนานนามข้าว่าคุณชายเจ็ด ข้ายังมิได้พบรักแท้ และยังมิได้แต่งงาน”
“หรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์แย้มยิ้มบางๆ “แล้วหญิงงามทั้งแปดนางที่อยู่ข้างกายนี่เล่า...”
“เป็นน้องสาว พวกนางล้วนเป็นน้องสาว” มู่เหนียนฮวาตอบโดยไม่กระพริบตา แม้สตรีทั้งแปดจะหน้าถอดสี แต่เขาก็ยังกล่าวด้วยท่าทางมั่นใจเต็มที่
“คุณชาย ข้าต้องการขึ้นเรือ แต่พวกเรามิได้พกเงินติดตัว ท่านพอจะให้ข้ายืมสักเล็กน้อยได้หรือไม่? เมื่อถึงต้าเจ๋อ ข้าจะคืนให้ทั้งหมด” ซูไป๋อีเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
มู่เหนียนฮวา ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว มองซูไป๋อีราวกับเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรก “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
“ข้ามีนามว่า ซูไป๋อี” ซูไป๋อีตอบพลางยืดอก
มู่เหนียนฮวามองซูไป๋อีตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเหลือบไปมองหนานกงซีเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นทอดถอนใจยาว “พวกเจ้า หนีตามกันมาหรือ?”
“หา?” ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์ต่างชะงักไปพร้อมกัน
“ใช่แน่แท้แล้ว” มู่เหนียนฮวาถอนหายใจอีกครั้ง “ดูจากสภาพเช่นนี้ เจ้าคงตกหลุมรักเซียนหญิง แต่ครอบครัวของนางดูแคลนเจ้าว่าเป็นผู้ยากไร้ นางจึงตัดสินใจหนีตามเจ้าออกมา ทว่านางกลับถูกลงโทษจนขาหัก เจ้าไม่สนใจชีวิต หาญกล้าบุกเข้าไปช่วยแล้วพานางหนีออกมา โอ้สวรรค์ เรื่องราวช่างน่าซาบซึ้งใจอะไรเช่นนี้”
ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์ได้แต่ยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง กับจินตนาการอันบรรเจิดของมู่เหนียนฮวา ทั้งสองไม่รู้จะเอ่ยคำใดต่อ
มู่เหนียนฮวาเห็นว่าทั้งสองมิได้ปฏิเสธ เขาจึงส่ายหน้าอย่างเสียดาย “น่าเสียดาย น่าเสียดาย คนคู่ควรกับเซียนหญิงสมควรจะเป็นคุณชายผู้สง่างามอย่างข้า แต่ความรักบนโลกนี้ย่อมควรค่าแก่การเคารพ แม้จะน่าเสียดาย แต่ก็น่ายกย่องด้วยเช่นกัน”
ว่าไปก็พลางถอดไข่มุกส่องแสงยามราตรีที่ประดับบนปิ่นผมออกมา เดินเข้าไปส่งให้กับหนานกงซีเอ๋อร์
เหล่าสตรีชุดขาวทั้งแปดต่างร้องอุทานด้วยความตกใจ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันสีหน้าซีดเผือด “คุณชาย! ทำเช่นนี้ไม่ได้ หากนายท่านทราบเข้า ท่านจะเดือดร้อนเป็นแน่”
หนานกงซีเอ๋อร์รับไข่มุกมา หมุนมันเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความเนียนลื่นราวน้ำ นางจึงเอ่ยอย่างฉงน “ไข่มุกนี้...”
“พวกเรามิอาจพบกันอีกในอนาคต แต่ข้ามอบไข่มุกนี้ให้แก่แม่นาง เพื่อว่าในภายภาคหน้า เมื่อแม่นางมองเห็นมัน ก็จะระลึกถึงข้าได้ มิใช่เพียงพบกันแล้วจากไป ไข่มุกนี้อาจทำให้ความทรงจำของเราฝังแน่นยิ่งขึ้น” มู่เหนียนฮวากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วข้าล่ะ?” ซูไป๋อียิ้มกว้างอย่างหน้าด้าน “มีของสิ่งใดมอบให้ข้าบ้างหรือไม่?”
“ข้าทำธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพร ข้ามีหอมชื่นชีวามอบให้เจ้า” มู่เหนียนฮวายกคิ้วเล็กน้อย
“ฟังดูชื่อไพเราะนัก” ซูไป๋อีเอ่ยด้วยความสนใจ “มันมีสรรพคุณอย่างไรหรือ?”
“บุรุษใดที่ได้กลิ่นหอมนี้จะไม่สามารถร่วมหลับนอนกับสตรีได้ ส่วนสตรีใดสูดดมกลิ่นนี้เป็นเวลานานจะไร้บุตรสืบทอด ทุกปีคนในวังหลวงมักลักลอบซื้อสมุนไพรนี้จากตระกูลข้าไปใช้ ซึ่งราคามิใช่ถูกๆ เลยทีเดียว” มู่เหนียนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างเหงื่อแตกพลั่ก พลางเร่งเร้า “คุณชาย! ท่านต้องขึ้นเรือแล้ว ตระกูลมู่ มีกฎห้ามเรือออกช้ากว่ากำหนดแม้เพียงครึ่งชั่วยาม หากเกิดปัญหา นายท่านคงไม่อภัยให้แน่”
“วางใจเถิด ข้ารู้กฎดี” มู่เหนียนฮวากล่าวพลางสะบัดชายแขนเสื้ออย่างสง่างาม
“พวกเราไปกันเถิด” พอพูดจบ เขาก็พากลุ่มสตรีเลอโฉมที่รายล้อมข้างกายเดินขึ้นเรือไป
ซูไป๋อีรีบประคองหนานกงซีเอ๋อร์เตรียมตามขึ้นเรือ แต่กลับถูกชายวัยกลางคนขวางทางอีกครั้ง
“จ่ายเงินก่อนค่อยขึ้นเรือ นี่คือกฎของตระกูลมู่ มิใช่ว่าเอ่ยวาจาสักสองสามคำกับคุณชายแล้วจะขึ้นเรือได้” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงเข้ม
“เช่นนั้นไข่มุกเม็ดนี้เล่า?” หนานกงซีเอ๋อร์ชูไข่มุกส่องแสงยามราตรีขึ้นให้เห็นชัดเจน “เพียงพอสำหรับสิบตำลึงหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สายตาจ้องมองไข่มุกเม็ดนั้นพลางรู้สึกคอแห้งผาก ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของขวัญจากสกุลเยี่ย พ่อค้าอัญมณียักษ์ใหญ่แห่งหลิงซี ที่มอบให้ในวาระครบรอบสิบหกปีของมู่เหนียนฮวา ตลอดหลายปีมานี้ ไข่มุกอยู่ติดตัวเขามาโดยตลอด หากตีมูลค่าแล้ว ย่อมพอซื้อเมืองเล็กๆ ได้เชียว
สิบตำลึง? นี่นางล้อเล่นหรืออย่างไร?
แต่คำถามของหนานกงซีเอ๋อร์นั้นจริงจังยิ่งนัก
ซูไป๋อีถอนหายใจเบาๆ “ก็แค่ไข่มุกเรืองแสงเม็ดหนึ่ง จะพอได้อย่างไรกับสิบตำลึงเงินเล่า”
“เอาเถิด” ชายวัยกลางคนยื่นมือรับไข่มุกไว้ พลางกล่าว “ชั้นฟ้าเหลือเพียงห้องสุดท้าย ช่วงเวลาตลอดการเดินทางจนถึงจุดหมาย จะไม่เก็บค่าอาหารจากพวกเจ้า เชิญเถิด”
“เหลือเพียงห้องเดียวหรือ?” ซูไป๋อีหน้าแดงระเรื่อ
“เหตุใดหัวใจเจ้าถึงเต้นแรงขึ้นเช่นนี้เล่า?” หนานกงซีเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนเอ่ยถามเสียงแผ่ว แต่แววตาเต็มไปด้วยเจตนาจับผิด
ชายวัยกลางคนสีหน้าหม่นลงเล็กน้อย “ห้องชั้นกลางเต็มหมดแล้ว หากต้องการห้องอื่น คงต้องไปพักที่ห้องรวมชั้นล่าง เจ้าทนเห็นสตรีของเจ้าไปนอนที่นั่นได้หรือ?”
“เช่นนั้นมิได้เด็ดขาด” ซูไป๋อี ส่ายหน้ารัวๆ
“ขึ้นเรือได้แล้ว!” ชายวัยกลางคนหันหลังกลับและเดินขึ้นเรือไปทันที ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์จึงรีบตามขึ้นไป
บนเรือ มู่เหนียนฮวามองดูไข่มุกที่ถูกส่งคืนมาอีกครั้ง เขาเพียงกางพัดออกสะบัดเบาๆ “ไร้วาสนา แม้แต่น้อยก็ไร้วาสนา”
“คุณชาย ทั้งสองคนนั้นน่าสงสัยยิ่งนัก” หนึ่งในสตรีชุดขาวกล่าวเตือนเสียงเบา
“ในเมื่อนางมีใบหน้างดงามเช่นนี้ ข้ามิได้เห็นสิ่งใดน่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย” มู่เหนียนฮวากล่าวพลางยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“วันนี้ปรากฏคนของสำนักสวรรค์ซ่างหลินอยู่ไม่ขาดสาย อีกทั้งระหว่างทางก็มีผู้พบเห็นมือสังหารจากตำหนักชิงหมิงด้วย” สตรีชุดขาวกล่าวต่อด้วยความกังวล
“เดิมข้าคิดว่านี่คงเป็นเรื่องราวดาษดื่นของบัณฑิตยากไร้กับสาวงาม กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้มีทั้งมือสังหารและวีรบุรุษช่วยเหลือสตรี เช่นนี้มิยิ่งน่าสนุกกว่าหรือ?” มู่เหนียนฮวาเอ่ยพลางสะบัดพัดในมือ มองดูซูไป๋อีที่กำลังขึ้นเรือ
“ท่านประมุขสั่งไว้ว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆ ของสำนักสวรรค์ซ่างหลินโดยเด็ดขาด” สตรีชุดขาวกล่าวเตือน
“ข้าเพียงให้ไข่มุกนางไปเอง แต่นางส่งคืนมาแล้ว” มู่เหนียนฮวาพับพัดเก็บ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าสตรีชุดขาว
เขาเอื้อมมือไปบีบปลายคางนางเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้เรามิได้เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”