บทที่ 34 เรือข้ามฟาก
เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อนอนทอดร่างอยู่บนพื้น พลางระลึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ดรรชนีพรากวิถีไร้สภาพที่อาศัยพลังหยางแท้ ควรจะเป็นวิชาที่มีทั้งความกร้าวแกร่งและรุนแรง แต่ยามประสานกับนิ้วของซูไป๋อี พลังปราณกลับถูกสะกดจนราบคาบราวกับถูกราชันปราบลงในชั่วพริบตา
“มีวิชาร้ายกาจเช่นนี้ติดตัว เหตุใดเมื่อครู่จึงถูกจับตัวได้ง่ายดายถึงเพียงนั่นเล่า?” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อพึมพำกับตนเอง
“แม้แต่ตำหนักอาญาก็ต้องตามหาเจ้าจนทั่ว ทั้งหมดก็เพื่อบุรุษผู้นี้ เจ้าว่ามันเป็นเพราะเหตุใดเล่า? คิดหรือว่าเพราะเขาเป็นเพียงศิษย์ของเซี่ยคั่นฮวาเท่านั้น?” เสียงของอูยาเอ่ยขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่ง
“ก็จริง” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อยืนขึ้น พลางเดินไปหาอูยา “เจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“พลังปราณของข้าถูกสูบจนสิ้น” อูยาหัวเราะขื่นๆ “เกรงว่าคงต้องพักฟื้นไม่น้อยกว่าครึ่งปีจึงจะกลับมาดังเดิมได้”
“โลกนี้กลับมีวิชาดูดพลังปราณเช่นนั้นอยู่จริง” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อกล่าวก่อนจะหันหลังเดินออกไป พลางกล่าวทิ้งท้าย “นับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นทุกที”
เบื้องหน้า ซูไป๋อีและหนานกงซีเอ๋อร์เริ่มมองเห็นปลายทางที่อยู่ไกลออกไป ซูไป๋อีหันไปมองท้องฟ้า พลางกล่าวอย่างฉงน “เหตุใดที่นี่ถึงชอบจุดพลุในยามวิกาลกันนัก?”
“นั่นมิใช่พลุ แต่เป็นสัญญาณ” หนานกงซีเอ๋อร์มองขึ้นไปอย่างจริงจัง ก่อนกล่าวต่อ “เป็นสัญญาณของสำนักศึกษา น่าจะเป็นฝีมือของเฟิงจั่วจวิน”
“เช่นนั้นสัญญาณนั้นหมายความว่าอย่างไรเล่า? ศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้นปลอดภัยหรือไม่?” ซูไป๋อีถาม
“ปลอดภัย สัญญาณนี้หมายถึงพวกเขาล่วงหน้าไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว หลังจากนี้เราต้องแยกกันเดินทาง พวกเขาจะเดินทางทางบก ส่วนเราจะไปทางน้ำ ที่ท่าเรือเฟิงหลินในยามเช้าจะมีเรือใหญ่เดินทางไปยังต้าเจ๋อ” หนานกงซีเอ๋อร์อธิบาย
“เรือใหญ่?” ซูไป๋อีอุทานอย่างประหลาดใจ “ใหญ่สักเพียงใดกัน?”
“เรือสินค้าของตระกูลมู่ เดินทางระหว่างต้าเจ๋อ และเฟิงซี เดิมข้าหาได้คิดจะไปทางน้ำ เพราะเมื่อขึ้นเรือแล้วก็ไม่ต่างจากถูกขังอยู่บนเรือเป็นเวลาหนึ่งเดือน หากพบศัตรูที่ร้ายกาจในแม่น้ำอันเวิ้งว้าง ย่อมหนีมิได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้ยังคงดีกว่า หากขึ้นเรือ ข้าอาจสามารถฟื้นพลังปราณได้ถึงหกส่วนภายในหนึ่งเดือน หากยังคงเดินทางทางบก เกรงว่าเพียงมือสังหารของ ตำหนักชิงหมิงไม่กี่คนก็อาจเอาชนะพวกเราได้แล้ว”
“ศิษย์พี่ เป็นข้าที่ทำให้ท่านต้องลำบาก” ซูไป๋อีเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
หนานกงซีเอ๋อร์หาได้ตอบคำใดไม่ นางเพียงเอ่ยถามกลับ “เจ้าฝึกคัมภีร์เซียนจริงหรือ? คัมภีร์นั้นตำราวิชาที่สามารถดูดพลังปราณผู้อื่นได้จริงหรือ?”
“เรื่องนี้เล่ายาวนัก รอขึ้นเรือแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง” ซูไป๋อียิ้มบางๆ ก่อนกล่าวต่อ “แต่ข้าจะเล่าเรื่องราวของคัมภีร์เซียนให้ท่านฟัง แลกกับเรื่องราวที่ข้าอยากฟังจากท่าน”
“เรื่องใดหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยถาม
“เรื่องของอาจารย์ข้าเซี่ยคั่นฮวา และสงครามของพันธมิตรแห่งเหวยหลง ที่เข้าปราบพรรคมารในครั้งนั้น” ซูไป๋อีเอ่ย ก่อนจะเงียบไปเล็กน้อย จริงๆ แล้วเขาอยากฟังเรื่องราวของคนสองคนที่แซ่ซูมากกว่า
“เจ้ามิได้อยากฟังเรื่องราวของซูหานและซูเตี้ยนโม่มากกว่าหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์กลับมองเขาอย่างลึกซึ้ง
ซูไป๋อียิ้มแห้งๆ อย่างกระดากใจ มิได้ตอบคำใด
“บางที เรื่องราวของเจ้าและเรื่องราวที่ข้ารู้ เมื่อนำมารวมกันแล้ว อาจกลายเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ แต่ก็อาจไม่สมบูรณ์นัก” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวเบาๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ เรือใหญ่ที่ท่านว่า คือ…นั่นใช่หรือไม่?” ซูไป๋อีร้องเสียงดังพลางชี้ไปเบื้องหน้า “ใหญ่มาก...ใหญ่มหึมาจริงๆ!”
ผ่านพ้นแนวป่าขึ้นมา ท่าข้ามเฟิงหลินปรากฏอยู่เบื้องหน้า และเรือขนาดใหญ่ที่ทอดยาวกว่าสามสิบจั้งก็ลอยเด่นอยู่ที่ท่าเรือ มันเป็นเรือสามชั้น สร้างขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาด้วยสีทองอร่าม
ลูกเรือจำนวนหลายสิบคนกำลังเร่งเร้าการกางใบเรือ
“เรือยาวสามสิบจั้ง กว้างสิบสองจั้ง เป็นหนึ่งในเรือมู่หลานทั้งสี่ลำที่มีอยู่ในโลกนี้ เรือจินเฟิง ของตระกูลมู่แห่งชิงโจว” หนานกงซีเอ๋อร์มองเรือลำนี้ด้วยสายตาเป็นประกาย
“สวรรค์ นี่มันสร้างเรือใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” ซูไป๋อีอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรเขาเห็นเพียงเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดในเฟิงเฉียวเจิ้นเท่านั้น แต่ขนาดของเรือลำนั้นยังเล็กกว่าดาดฟ้าเรือลำนี้เสียอีก
“ว่ากันว่า ช่างหลู่เจ๋อผู้เป็นช่างเอกอันดับหนึ่งของใต้หล้า ได้ร่างแผนการสร้างเรือมู่หลาน ตามพระบัญชาของฮ่องเต้ฉิน หลังจากนั้นใช้เวลากว่าหกสิบปี ผ่านน้ำมือของช่างฝีมือถึงสามรุ่น กว่าจะสร้างเรือได้สี่ลำ สองลำถูกใช้เป็นเรือรบ หนึ่งลำเป็นของราชวงศ์ ส่วนอีกลำ ตระกูลมู่ได้ซื้อต่อมา” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวขึ้น
“เรือใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน?” ซูไป๋อีอุทานด้วยความทึ่ง
“เรื่องเงินทองขนาดไหนข้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือเงินเท่าใดถึงจะขึ้นเรือลำนี้ได้” ชายวัยกลางคนไว้หนวดแพะพลางปิดสมุดบัญชี ก่อนวางมันลงบนโต๊ะ “เรือจินเฟิงมีสามชั้น ชั้นฟ้า ดิน และมนุษย์ ชั้นล่างสุดราคาประหยัดที่สุด ห้องหนึ่งพักได้สองคน คิดสิบตำลึงเงิน”
ด้านหลังชายผู้นี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ได้ทยอยขึ้นเรือไปแล้ว เขาจัดแจงเก็บสมุดบัญชีเตรียมเดินขึ้นเรือเช่นกัน
“สิบตำลึง?” ซูไป๋อีเลียริมฝีปากพลางพึมพำ “ข้าอยู่ในหมู่บ้านดอกท้อ ทั้งปีใช้เงินยังไม่ถึงขนาดนี้เลย”
“เจ้าก็สามารถเดินทางขอทานไปยังต้าเจ๋อได้เช่นกัน ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว เผลอๆ ยังอาจเหลือเศษเงินแดงๆ ไว้อีกสักสองสามเหรียญ เหตุใดเจ้าไม่ลองไปทางนั้นล่ะ?” ชายหนวดแพะย้อนถาม
ซูไป๋อีส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “เช่นนั้นจะไปถึงทันเวลาได้อย่างไรกัน?”
“นั่นไย เจ้าทั้งอยากรีบไป ทั้งไม่อยากจ่ายเงิน ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าแซ่มู่หรือไม่?” ชายผู้นั้นถามเสียงเข้ม
“แซ่มู่ขึ้นเรือได้หรือ?” ซูไป๋อีถามกลับ พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าแซ่มู่ ข้ามีนามว่า มู่ไป๋อี”
ชายหนวดแพะนิ่งอึ้ง ก่อนจะกระแอมพลางเตรียมด่าทอ แต่แล้วสายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซูไป๋อี เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนค้อมกายทำความเคารพ “คุณชาย”
ซูไป๋อีหันหลังกลับไป ก็พบว่าผู้มาเยือนคือบุรุษผู้หนึ่งในชุดทองหรูหราเอิกเกริก เขาสวมหยกประดับเอวส่องประกายงดงาม กระบี่เล่มหนึ่งห้อยไว้ที่เอว ประดับด้วยอัญมณีสีครามแวววาว ส่วนผมถูกรวบไว้ด้วยปิ่นทองคำที่ประดับด้วยไข่มุกส่องแสงยามราตรี กล่าวได้ว่าทั้งเรือนร่างของชายผู้นี้บอกทุกคนว่าเขาเป็นผู้ร่ำรวย
และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มีสตรีในชุดขาวแปดคนที่โฉมงามต่างกันไป บ้างก็งดงาม บ้างก็ยั่วยวน เดินเคียงข้างเขาเป็นกลุ่ม นี่มิได้แค่ร่ำรวยธรรมดาๆ
“เจ้าแซ่มู่หรือ?” ชายชุดทองเอ่ยถามพลางยิ้มเยาะ
ซูไป๋อีกระซิบถามหนานกงซีเอ๋อร์อย่างร้อนรน “ศิษย์พี่ ทำอย่างไรดี?”
หนานกงซีเอ๋อร์ที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ปล้นเขาเสีย”
“ได้” ซูไป๋อีตอบรับทันควัน
“ช้าก่อน!” ชายชุดทองสะดุ้งโหยง ร่างกายสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อมองเห็นหนานกงซีเอ๋อร์ในอ้อมแขนของซูไป๋อี
“เซียนหญิง!”
“นี่มันเซียนหญิงชัดๆ!”