บทที่ 33 แสวงหาหนทางรอด
ทันทีที่ซูไป๋อีกล่าวจบ พลังปราณในร่างของอูยาก็ไหลเข้าสู่ร่างของเขาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
อูยารู้สึกหวาดหวั่น ไม่กล้าปล่อยให้พลังปราณไหลออกไปอีก จึงเริ่มต่อต้านซูไป๋อี
หนานกงซีเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองซูไป๋อีด้วยความสงสัย
“เชื่อใจข้า” ซูไป๋อีเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ได้ ข้าเชื่อเจ้า!” หนานกงซีเอ๋อร์ กล่าวตอบด้วยเสียงแน่วแน่ จากนั้นกลับปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของอูยาโดยสมัครใจ
บัดนี้อูยารู้สึกเหมือนมีทั้งภูเขาเพลิงและขุนเขาน้ำแข็งกดทับอยู่ในตันเถียนของตน พลังเย็นร้อนปะปนกันจนแทบจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“ในเมื่อเจ้าต้องการ เช่นนั้นก็รับไปให้หมดเถอะ!” อูยามิได้ต่อต้านอีกต่อไป กลับเป็นฝ่ายผลักดันพลังปราณของตน รวมทั้งของหนานกงซีเอ๋อร์เข้าสู่ร่างของซูไป๋อี
ทันใดนั้น เงาของจีวรสีขาวสะบัดผ่านเบื้องหน้าของพวกเขา
“อมิตาพุทธ ท่านทั้งหลายกำลังฝึกวิชาใดกันอยู่หรือ?” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ หยุดยืนอยู่ห่างออกไปห้าก้าว พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ช่วย... ช่วยข้าด้วย” ซูไป๋อียื่นมือซ้ายไปทางเขาพลางร้องเรียก
“แล้วจะให้ข้าช่วยอย่างไรเล่า?” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อหัวเราะเบาๆ
“เมื่อครู่นี้ อูยาประลองพลังปราณกับศิษย์พี่ของข้า ข้าหมายจะลอบโจมตีเขา แต่กลับกลายเป็นโดนเขาจับไว้แทน บัดนี้เขากำลังส่งพลังปราณเข้าสู่ร่างข้า หวังทำลายเส้นลมปราณข้าให้ขาดสะบั้น” ซูไป๋อีอธิบาย
“อย่างนั้นหรือ?” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ เหลือบมองอูยาผู้มีใบหน้าเจ็บปวด “เป็นความจริงหรือไม่ อูยา?”
“เจ้าสงสัย ไยไม่ลองดูสักครั้งเล่า” อูยา ตอบพลางแสยะยิ้มเยาะเย้ย
“อมิตาภพุทธ ข้ามิลองหรอก” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อกลับนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น “ข้าขอรอดีกว่า”
ซูไป๋อีชะงักไปเล็กน้อย “เจ้ามิใช่ว่าต้องการนำตัวข้าไปพบอาจารย์หรอกหรือ หากข้าตายไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร? เป็นบรรพชิตย่อมไม่กล่าววาจาเท็จ รีบดึงข้าออกไป!”
“น้องชายเอ๋ย เจ้ายังอ่อนหัดนักเรื่องการหลอกลวง” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อส่ายหน้าอย่างขบขัน “เจ้าควรไปเรียนรู้จากอาจารย์ของเจ้าให้มากกว่านี้ หากข้าจับมือเจ้าด้วย ข้าก็คงไม่ต่างจากอูยา แม้แต่จะขยับตัวก็ยังมิได้”
“เจ้าเห็นชายผู้นี้เป็นบรรพชิตจริงๆ หรือ?” อูยา แค่นเสียงเยาะ “ในอดีต เหล่าศิษย์แห่งตำหนักชิงหมิงอย่างพวกเรา ต่างรู้ดีว่าชายผู้นี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเพียงใด”
“ตำหนักชิงหมิง? เขามิใช่คนของตำหนักอาญาหรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยถามอย่างฉงน
“นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ หยิบก้อนหินขึ้นจากพื้น และดีดไปที่หน้าอกของซูไป๋อี แต่ก้อนหินนั้นกลับสลายหายไปเป็นผุยผง ก่อนจะถึงตัวเขา “มีเงื่อนงำแน่แท้”
“ช่างหัวเจ้าเถอะ” ซูไป๋อีปล่อยมือจากอูยาในที่สุด
ทันใดร่างของอูยาทรุดฮวบลงกับพื้น ขณะที่หนานกงซีเอ๋อร์ใช้กระบี่ค้ำยันตัวเองไม่ให้ล้มลง
นางพยายามเร่งพลังปราณในตันเถียน แต่พบว่ามันถูกดูดไปจนเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วน ส่วนอูยานั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง พลังปราณของเขาถูกสูบจนแทบไม่เหลือ
ซูไป๋อีสะบัดชายแขนเสื้อยาว พลางมองไปยังเจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อข้าหลอกเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเรามาประลองกันเถิด”
เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อยืนขึ้น พลางกล่าวว่า “บัดนี้เจ้าไม่ต่างจากเหอเหลียนซีเยว่ผู้มีปราณดุจสายลมวสันต์ ทำลายทุกสิ่งรอบกายจนแหลกลาญ”
“ระวังด้วย ชายผู้นี้ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก” หนานกงซีเอ๋อร์ กล่าวเตือน
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลไป” ซูไป๋อีหันมายิ้มสดใสให้ “เมื่อข้าบอกว่าจะจัดการได้ ข้าย่อมทำได้จริง ผู้บำเพ็ญพรตย่อมไม่กล่าววาจาเท็จ”
หนานกงซีเอ๋อร์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ พลันรู้สึกว่าอากัปกิริยาของซูไป๋อีในยามนี้แปลกประหลาดนัก ทั้งรอยยิ้มและความมั่นใจนั้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนเห็นเงาของบุรุษอีกผู้หนึ่ง
นั่นก็คือ…
เซี่ยคั่นฮวา ยามยังดรุณวัย
หรืออาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แม้นางจะไม่เคยพบเห็นก็ตาม หนานกงซีเอ๋อร์คิดในใจเงียบๆ
ซูไป๋อีหาได้ล่วงรู้ถึงความคิดของนางไม่ เขาเพียงแค่หันกลับไปหาเจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ ก่อนจะยกมือทำท่าทาง “เชิญ”
เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว “น้องชายไยต้องเกรงใจ มิสู้เจ้าออกกระบวนก่อนเถอะ”
แม้ภายนอกเขาจะดูสุขุม แต่ในใจกลับตื่นตัวยิ่งนัก เพราะบุรุษที่สามารถจัดการอูยาผู้นี้ ย่อมมิใช่ธรรมดา
ซูไป๋อีโน้มตัวลงหยิบกระบี่คำกล่าววีรชนกลับมาจากร่างของอูยา ก่อนจะเดินกลับไปยืนข้างหนานกงซีเอ๋อร์ “บรรพชิตรูปนี้ เรามิได้มีความแค้นต่อกัน พานพบหน้าเพียงครั้ง ข้ามิปรารถนาจะปลิดชีวิตท่านเลย”
“มิแน่ว่าพวกเราอาจเคยพบกันนานมาแล้วก็เป็นได้” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ กล่าวอย่างแผ่วเบา
“เช่นนั้นคงเป็นเมื่อยุคสมัยที่เนิ่นนานนักแล้ว” ซูไป๋อี ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายคล้ายแฝงนัยบางอย่าง “ตอนนั้น อาจารย์ข้ายังคงเป็นเจ้าหอหมอกพิรุณ ส่วนข้านั้น...”
“ส่วนเจ้าเป็น...” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เป็นปู่เจ้าอย่างไรเล่า!” ซูไป๋อีพลันตัดบท เขาอุ้มร่างของหนานกงซีเอ๋อร์ไว้ ก่อนจะใช้วิชาก้าวเงาลวง พุ่งทะยานออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ผู้คนในที่นั้นต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“เจ้ามิได้บอกว่าจะจัดการได้หรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์ กล่าวถามเสียงขุ่น
“ศิษย์พี่อย่าล้อข้าเล่น! เจ้าหลวงจีนรูปนั้นเปลี่ยนวิชาได้ราวกับมายา ข้าจะเอาอะไรไปสู้เขาได้” ซูไป๋อีตอบอย่างมั่นใจ พลางกล่าวต่อ “ศิษย์พี่โปรดบอกทาง ข้าไม่รู้ทิศ!”
“มุ่งไปบูรพา ไปยังท่าเรือเฟิงหลิน!” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่คิดมาก พลางชี้ทาง
“ศิษย์พี่”
“อะไรอีกเล่า!”
“ทิศบูรพาอยู่ทางไหน ท่านบอกซ้ายหรือขวาดีกว่าไหม?” ซูไป๋อีเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจเช่นเดิม
“ขวา!” หนานกงซีเอ๋อร์แทบหมดความอดทนแล้ว
“เป็นวิชาตัวเบาที่ดี” เสียงของเจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อดังขึ้นข้างหูของซูไป๋อี ซูไป๋อีชะงักเท้า พร้อมถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อกลับถอยตามเช่นกัน
“บรรพชิตรูปนี้ ข้าขอทางรอดสักทางได้ไหม? ซ้ายหรือขวาก็ย่อมได้” ซูไป๋อีเอ่ยอย่างจริงจัง
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ทางของข้านั้นคือทางรอดจริงๆ” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อยื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว
“เป็นวิชาดรรชนีพรากวิถีไร้สภาพ วิชานี้อาศัยพลังหยางแท้ หากถูกโจมตีเข้าจะรู้สึกร้อนลวกดุจตกอยู่ในเพลิงโลกันตร์!” หนานกงซีเอ๋อร์รีบเตือน
“ศิษย์พี่หลับตาเสีย” ซูไป๋อีเอ่ยขึ้น
“ทำไมอีกเล่า? เจ้ามิใช่ว่าจัดการได้แล้วหรือ?” หนานกงซีเอ๋อร์เอ่ยอย่างสงสัย แต่ก็ยังหลับตาตามคำบอก
“ขอบคุณที่เชื่อข้า ศิษย์พี่” ซูไป๋อีเผยยิ้มบางๆ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีคนเชื่อใจในตัวเขา ก่อนจะตัดสินใจโยนร่างของหนานกงซีเอ๋อร์ขึ้นไปสูงลิบ
หนานกงซีเอ๋อร์ที่สิ้นพลังปราณยังคงหลับตา แต่ก็อดสบถออกมาไม่ได้ “ซูไป๋อี เจ้าจำไว้เถิด! เมื่อข้าฟื้นพลังปราณเมื่อใด ข้าจะซ้อมเจ้าให้ถึงขนาดที่อาจารย์เจ้าจำไม่ได้เลย!”
“เช่นนั้นก็ต้องพบอาจารย์ให้ได้ก่อนแล้ว!” ซูไป๋อีเอ่ยพลางหันไปเผชิญหน้ากับ เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อ เขายื่นนิ้วออกไปประสานกับนิ้วของอีกฝ่าย ตรงเข้ารับดรรชนีพรากวิถีไร้สภาพโดยตรง
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อชะงัก เขาไม่เคยเห็นผู้ใดกล้ารับนิ้วนี้ตรงๆ หากไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ทว่าทันทีที่สองนิ้วสัมผัสกัน เขากลับรู้สึกว่าพลังหยางแท้ที่ปลดปล่อยออกไปถูกดูดหายไปจนหมดสิ้นในพริบตา
“กลับไปเสีย” ซูไป๋อีสะบัดนิ้วของตนเบาๆ เจี้ยชิงปู้เจี้ยเซ่อราวกับว่าวที่ขาดสาย ถูกแรงสะท้อนกระเด็นปลิวออกไปไกลลิบ
ซูไป๋อีหันกลับมา กระโดดตัวลอยไปรับหนานกงซีเอ๋อร์เอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะวิ่งทะยานต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
“ศิษย์พี่ ครานี้ข้าจัดการได้แล้วจริงๆ”