บทที่ 32 พิภพไร้หนทาง
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
อูยา รู้สึกถึงความผิดปกติที่บังเกิดขึ้นบนบ่าของตน แต่ด้วยประสบการณ์การต่อสู้กับซูไป๋อีเมื่อครู่นี้ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้ จึงยังคงเดินหน้าไปยังเมืองเฟิงตูอย่างไม่หยุดยั้ง รอเพียงนำซูไป๋อีไปส่งให้กับตำหนักพันกลศาสตรา ภารกิจของเขาก็จะสิ้นสุดลงแล้ว
“เจ้าเคยได้ยินวิชาหนึ่งไหม ชื่อว่า วิชามหาเวทดูดดาว?” ซูไป๋อีเผยยิ้มอย่างยากลำบาก
อูยา ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็หาได้ตอบคำถามไม่
“แล้ววิชาลมปราณภูติอุดรหรือวิชาสลายพลังล่ะ?” ซูไป๋อีถามต่อ
“เป็นเพียงเรื่องเล่าจากตำรานิทานทั่วไป วิชาเช่นนั้นย่อมไม่มีอยู่ในโลกนี้ เจ้าจะกล่าวถึงเรื่องใด?” อูยาตอบเสียงเย็นชา
ซูไป๋อีพลันถามอีกครั้งว่า “เหตุใดจึงจะไม่มีวิชาเช่นนั้น?”
“ทั่วทั้งยุทธภพ มีสำนักใหญ่น้อยมากมายนับพัน สำนักแต่ละแห่งล้วนมีแขนงวิชาของตน การฝึกฝนวิชาภายในย่อมต่างกันไป กระแสพลังปราณในกายก็แตกต่างกันสิ้นเชิง หากมิใช่ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน การถ่ายทอดพลังปราณให้ผู้อื่นย่อมทำให้เส้นลมปราณแตกสลายจนถึงแก่ความตาย” อูยา เอ่ยพลางฝีเท้าก็ชะงักลง ราวกับเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย
“อีกทั้งพลังปราณสะสมอยู่ในตันเถียน เปรียบเสมือนสายน้ำที่หมุนเวียนแปรเปลี่ยน มิใช่สิ่งนิรันดร์ การถ่ายทอดย่อมสูญหายไปในที่สุด แม้กระทั่งในสำนักเดียวกัน การถ่ายทอดพลังปราณเต็มสิบส่วน ก็ยังคงส่งผ่านได้เพียงสามส่วน ซึ่งในไม่กี่วันก็ย่อมเลือนหายไปหมดสิ้น”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?” ซูไป๋อียิ้มรับเบาๆ ทว่ายิ้มนี้กลับดูผ่อนคลายกว่าครั้งก่อน
“เหล่าชาวยุทธล้วนพยายามหาหนทางสร้างวิชาดังที่เจ้ากล่าวถึง ทว่าล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น” อูยาหรี่ตา กล่าวเสียงเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่อันตรายถึงชีวิต”
บัดนี้ซูไป๋อีได้ยืนมั่นบนพื้นเรียบร้อย มือข้างหนึ่งยกออกจากตัวอูยาแล้ว แต่ยังคงมีอีกมือหนึ่งที่วางบนบ่าของเขา ใบหน้าของซูไป๋อีเผยรอยยิ้มอย่างสงบนิ่ง “เจ้าแพ้แล้ว”
“เห็นได้ชัดว่า เซี่ยคั่นฮวา มิได้ถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้แก่เจ้า คนทั่วไปมักเข้าใจว่าการฝึกวิชาภายในคือการสะสมพลังปราณ ทว่าเมื่อบรรลุถึงระดับหนึ่งจะตระหนักได้ว่า การฝึกปราณภายใน เปรียบเสมือนการขุดบ่อ ตันเถียนนั้นคือบ่อ ส่วนพลังปราณคือน้ำ ยิ่งบ่อใหญ่เท่าใด ก็ย่อมสะสมสายน้ำได้มากเท่านั้น หากเกินขอบเขตก็ย่อมเอ่อล้นและท่วมท้นจนสลาย” อูยาหัวเราะเย้ยหยัน มือขวาพยายามยกดาบขึ้น
แต่ทุกครั้งที่เขารวบรวมพลังปราณ มันก็จะหมุนเวียนไปสู่มือของซูไป๋อีอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง “เจ้าจะเอาบ่อน้ำอันน้อยนิดของเจ้า มารับธารน้ำจากข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ในฐานะมือสังหาร เจ้าควรเป็นคนที่พูดน้อยมิใช่หรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยแผ่วเบา “แต่ตั้งแต่เมื่อครู่ เจ้ากลับพร่ำบอกว่าข้าทำสิ่งนี้มิได้ เหตุใดกัน? เจ้ากำลังกล่าวแก่ข้าหรือกล่าวปลอบใจตัวเอง? หรือว่าเจ้าได้ตระหนักแล้วว่าข้าทำสำเร็จ?”
อูยา ตอบเสียงเย็นชา “ข้ามิได้ปรารถนาจะฆ่าเจ้า เพราะภารกิจของข้าคือการนำตัวเจ้าที่มีชีวิตกลับไป แต่เจ้ากลับหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็โทษข้ามิได้”
บัดนั้นเอง ซูไป๋อี รู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่านมือข้างที่วางอยู่บนบ่าของอูยา ราวกับจับต้องเหล็กที่ร้อนระอุ แต่เขากลับมิยอมปล่อยมือ ปราณในร่างของอูยาหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของซูไป๋อีอย่างไม่หยุดยั้ง
“ร้อนๆๆ จะสุกแล้ว จะสุกแล้ว” ซูไป๋อีพึมพำกับตนเอง
อูยาหรี่ตา กล่าวเย้ยหยัน “เพียงเท่านี้ยังไม่พอใช่หรือ? เช่นนั้นข้าจะให้มากกว่านี้”
ซูไป๋อีรู้สึกถึงเส้นเลือดที่ศีรษะเต้นระริก ผิวกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ชุดขาวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ยามนี้เขาดูทรมานยิ่งนัก แต่กลับยังยิ้มเย้ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ยังไม่พอ ส่งมาอีก”
อูยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ก็ดี เช่นนั้นเจ้าคงต้องตายจริงๆ แล้ว”
ในขณะนั้นเอง หนานกงซีเอ๋อร์ก็มาถึงพร้อมกระบี่ในมือ นางเห็นสภาพของซูไป๋อีพลันร้องลั่นด้วยความโกรธ “อูยา เจ้าทำอะไรกับซูไป๋อี!”
อูยาได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น นี่มันชัดเจนว่าซูไป๋อีกำลังเล่นตลกกับเขา แม้เขาจะพยายามใช้พลังปราณของตนทำลายตันเถียนของซูไป๋อี แต่ก็มิใช่ด้วยความสมัครใจ
บัดนี้ หนานกงซีเอ๋อร์ ปรากฏตัวขึ้นแล้ว คงมิอาจหลบหนีชะตากรรมในวันนี้ได้
ซูไป๋อีตื่นเต้นยินดีในใจ รีบร้องสั่งว่า “ศิษย์พี่หญิง ขว้างกระบี่ใส่มันเลย!”
“ปล่อยเขา!” หนานกงซีเอ๋อร์มิได้ลังเลแม้แต่น้อย ประกาศพลางฟาดฝ่ามือเข้าที่กลางหลังของ อูยา
“ศิษย์พี่ อย่าใช้ฝ่ามือ!” ซูไป๋อีรีบร้องห้าม แต่ทุกอย่างก็สายเกินการณ์
ฝ่ามือของหนานกงซีเอ๋อร์ฟาดลงไปบนหลังของอูยา ทว่าพลังปราณที่ปล่อยออกไปกลับดิ่งหายราวกับหินจมหายกลางมหาสมุทร
นางรีบชักมือกลับ แต่ฝ่ามือนั้นกลับราวกับถูกติดตรึงกับร่างของอูยา นางพยายามดึงออกเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ รีบเร่งเร้าพลังปราณ แต่พลังนั้นกลับถูกดูดซึมผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างของอูยาแทน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร” หนานกงซีเอ๋อร์บ่นคำรามเสียงต่ำ
บนใบหน้าของอูยาปรากฏแววความเจ็บปวด วิชาฝึกปราณของหนานกงซีเอ๋อร์ แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
อย่างที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า พลังปราณที่แตกต่างกันย่อมไม่อาจรวมกันได้ หากไม่ถูกถ่ายเทออกมาเสียก่อนย่อมทำให้เส้นปราณแตกสลายจนถึงแก่ความตาย
แต่โชคดีที่ปราณเหล่านั้นเพียงหมุนเวียนอยู่ในร่างเขา แล้วถูกส่งต่อไปยัง ซูไป๋อี มิเช่นนั้นเขาคงต้องดับชีพในเวลาอันรวดเร็ว
แต่แม้กระนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกฝูงมดกัดแทะก็ทำให้เขาทรมานเหลือเกิน
“เจ้าตายแน่” อูยากล่าวกับซูไป๋อีเสียงเย็น
หนานกงซีเอ๋อร์ รีบหันไปถามซูไป๋อีว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เจ้า...เจ้ากำลังดูดพลังของเขาอยู่หรือ? ตอนนี้แม้แต่พลังข้าก็โดนดูดไปด้วย เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือรีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
“ปล่อยไม่ได้แล้ว” ซูไป๋อีปาดเหงื่อที่ไหลท่วมหน้าผาก “วิชานี้กลับพิศดารยิ่งนัก ดูเหมือนว่ามันจะไม่หยุดจนกว่าจะดูดจนหมดสิ้น...”
“เช่นนี้เจ้าต้องตายแน่!” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวทั้งน้ำตาคลอ
นางและซูไป๋อีอยู่ร่วมกันมานาน นางรู้ถึงพื้นฐานวิชายุทธ์ของเขาดีว่ามิอาจทนรับพลังปราณของพวกเขาสองคนได้
เดิมนางลงจากเขาเพื่อปกป้องซูไป๋อี แต่เพียงไม่กี่วันกลับทำให้เขาต้องถึงฆาต นางรู้สึกสิ้นหวังจนแทบจะร่ำไห้ออกมา
ซูไป๋อีมองเห็นศิษย์พี่ผู้เข้มแข็งมาตลอด บัดนี้กลับเผยให้เห็นด้านที่อ่อนแอเช่นนี้ จึงรีบกล่าวปลอบใจว่า “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ข้ามิอาจตายได้ เราจะต้องไปพาตัวอาจารย์กลับมาด้วยกัน ข้าเพิ่งนึกได้จึงยังมิทันบอกท่าน วันหนึ่งอาจารย์เคยเมาสุราแล้วบอกข้าว่า เขามีบุตรีคนหนึ่ง งดงามดุจธิดาแห่งตำหนักจันทรา เดิมข้านึกมาตลอดว่าเขาโกหก...”
หนานกงซีเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปที่เอว หวังชักกระบี่ออกมา “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายแน่นอน”
อูยา แสยะยิ้มเย้ยหยัน “จะตายอยู่แล้วยังมีแก่ใจพูดพล่ามเรื่องเหลวไหลอีก”
“คัมภีร์เซียน บทมหัศจรรย์ข้อที่หนึ่ง บ่อน้ำสวรรค์กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต สรรพสิ่งหลอมรวม บริสุทธิ์เหนือโลกีย์!” ซูไป๋อีเอ่ยเสียงหนัก
เขาขยับมือที่จับบ่าของอูยาไว้ “เจ้าพูดถูก ตันเถียนคือบ่อ แต่บ่อของข้าคือบ่อน้ำสวรรค์ที่ไร้ขอบเขต จะมากน้อยเพียงใดก็ล้วนรองรับได้ทั้งสิ้น!”