บทที่ 26 การปลูกพืชในหลุมยักษ์
ลิซ่าเดินย่างก้าวอย่างระมัดระวังเข้าสู่บริเวณของวิหาร แม้วิหารจะไม่ได้มีรั้วล้อมรอบในเวลาปกติ แต่ขอบเขตของมันชัดเจนยิ่งนัก หากกะโหลกเงินบริสุทธิ์โกรธขึ้นมา รั้วจะผุดขึ้นจากพื้นดินที่ซ่อนตัวไว้ กลายเป็นขอบเขตป้องกันของวิหารทันที
ลิซ่าทดลองยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปก่อน เมื่อเห็นว่ากะโหลกเงินบริสุทธิ์ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จึงก้าวขาอีกข้างตามเข้าไป พร้อมกับระแวดระวังกะโหลกเงิน และรีบเร่งก้าวไปทางกะโหลกแห่งเทวทูต
สายตาของเธอจดจ่ออยู่ที่กะโหลกเงิน จนไม่ได้สังเกตถึงปีกที่อยู่ด้านหลังกะโหลกแห่งเทวทูต เมื่อเห็นเธอเข้าใกล้ กะโหลกแห่งเทวทูตก็เอียงหัวไปมาราวกับสงสัย ทว่าร่างกายของมันกลับงอเข้าหากันราวกับธนูที่กำลังดึงสาย เมื่อเท้าของลิซ่าก้าวเข้าสู่ระยะโจมตีของมัน ปีกของมันก็กางออกพร้อมเสียงวูบ และพุ่งเข้าใส่เธอทันที
"เฮ้! จะทำอะไรน่ะ ปีกนก? หรือคนมีปีก? โอ๊ย..." ลิซ่าถูกโจมตีจนผมกระเซอะกระเซิง ต้องถอยกรูดออกมาอย่างน่าอับอาย
เมื่อมองเห็นกะโหลกแห่งเทวทูตที่ถูกผูกด้วยเชือกแต่ยังพยายามยืดขาออกมาเตะ ลิซ่าหัวเราะด้วยความโกรธ
"อ๋อ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องผูกเจ้านี่ไว้ ที่แท้ก็เป็นนักสู้สินะ เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมถึงมีเทวทูตนักสู้มาอยู่ที่นี่ได้?"
แอนนาเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง มองสำรวจเทวทูตกะโหลกพร้อมเอ่ยว่า "ไม่ใช่เทวทูตนักสู้ มันไม่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์"
ส่วนบรีซที่ถูกกะโหลกเงินจ้องเขม็งอยู่นั้น ไม่สามารถเข้ามาได้ จึงตะโกนออกมาด้วยความร้อนใจ
"ไม่ว่าจะเป็นอะไร รีบหาเสื้อผ้ามาใส่ให้เธอก่อนเถอะ"
"โอ้ โอ้ โอ้" แอนนาลนลาน ใช้มือขัดถูวงแหวนบนนิ้วก่อนจะพลิกมือไปมา แล้วในที่สุดก็มีเสื้อผ้าสีขาวปรากฏขึ้นในมือของเธอ ที่แท้ก็เป็นแหวนเก็บของ
แอนนาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้เพื่อพยายามสวมเสื้อให้เทวทูตกะโหลก แต่ก็ไม่แปลกใจเลยที่ถูกโจมตีกลับมา
เธอก้าวเข้าไปข้างหน้า ย่อตัว บิดไหล่ และพุ่งชนเข้ากับร่างของเทวทูตกะโหลกจนมันกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ การพุ่งชนครั้งเดียวนี้ทำให้แอนนาประเมินระดับของมันได้ จึงกล้ากระทำการที่เด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น เธอยื่นมือจับข้อเท้าของเทวทูตกะโหลก ดึงมันกลับมาจากกลางอากาศอีกครั้ง
เธอถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ลากเทวทูตกะโหลกไปจนสุดปลายเชือก ร่างกายและเชือกตึงจนมันลอยเคว้งในอากาศ เชือกพันรอบคอของมัน และแอนนายังคงดึงข้อเท้าของมันไว้ ทำให้ร่างกายของเทวทูตกะโหลกที่ลอยอยู่นั้นดิ้นรนได้เพียงแค่กระตุกขาไปมาอย่างไร้ผล
แอนนาขว้างเสื้อผ้าให้ลิซ่า ก่อนจะจับข้อเท้าอีกข้างของเทวทูตกะโหลกไว้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
"รีบใส่ให้เสร็จเร็วเข้า!"
ลิซ่ามองไปที่คอของเทวทูตกะโหลกด้วยความกังวล ก่อนจะอดเอ่ยขึ้นไม่ได้
"เธอ เธอจะรุนแรงเกินไปแล้วหรือเปล่า ระวังคอของเธอจะดึงขาดเสียก่อน"
"ไม่มีทาง ถ้าเธอรีบทำให้เสร็จ มันก็จะไม่ขาด แต่ถ้าเธอชักช้า มันก็จะดิ้นจนตัวเองขาดเองนั่นแหละ" แอนนาเร่งด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ในที่สุดลิซ่าก็จัดแจงสวมเสื้อให้เทวทูตกะโหลกอย่างลนลาน พอปล่อยมันลง แอนนาก็รู้สึกเสียใจทันที เพราะเสื้อที่เธอหยิบมาเป็นชุดเดรสสีขาวยาวเกินไป ทำให้เทวทูตกะโหลกกลิ้งลงไปกับพื้นเมื่อถูกปล่อย
แอนนาต้องเข้าไปควบคุมมันอีกครั้ง ทนรับหมัดจากเทวทูตกะโหลกหลายครั้งจนสามารถฉีกส่วนที่ยาวเกินออกไป เหลือไว้แค่ความยาวที่คลุมถึงหัวเข่า แม้จะไม่รุ่มร่าม แต่คราบสกปรกบนเสื้อผ้าก็ยังล้างออกไม่ได้ สีขาวสะอาดตากลายเป็นสีด่างเทาอย่างไม่อาจเลี่ยง
"นี่มันอะไรกันแน่?"
หลังจากพยายามจัดการกับเสื้อผ้าของมันจนเสร็จ แอนนาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย เธอสังเกตเห็นว่าการเคลื่อนไหวของมันคล่องแคล่วมาก แม้จะถูกจำกัดด้วยระยะของเชือก แต่ถ้าพลังของมันมีมากกว่านี้ เธอเองก็อาจไม่สามารถควบคุมมันได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ลิซ่าใช้โอกาสนี้เพ่งดวงจิตสำรวจ และไม่นานก็ได้ข้อสรุป "กะโหลกที่มีเนื้อหนังปกคลุม! เทวทูตกะโหลกที่มีเนื้อหนังปกคลุม! สวรรค์ นี่ต้องเป็นผลงานของพระเจ้าอังก์แห่งข้าอีกแน่ ๆ"
"เอ่อ แล้วท่านอังก์ไปอยู่ที่ไหนกัน?" แอนนาถามขึ้น
ต้องยอมรับว่าการหาคนที่สามารถสื่อสารได้ตามปกติในวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์นั้นเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย ในที่สุดมิโนทอร์หญิงก็ให้คำตอบกับพวกเธอว่า "โอ้ นายท่านไปหาพื้นที่สำหรับปลูกพืชแห่งใหม่ ท่านเจ้าเมืองพาเขาไปเอง"
ภายใต้การนำของเฟลิน อังก์ถูกพามายังพื้นที่เพาะปลูกของเมืองใต้ดิน ที่นี่คือศูนย์กลางการผลิตอาหารหลักของเมืองใต้ดิน ซึ่งหล่อเลี้ยงประชากรกว่าห้าพันคน อาหารที่จำเป็นเหล่านี้มาจากการเพาะปลูกในพื้นที่แห่งนี้
แม้จะเรียกว่าพื้นที่เพาะปลูก แต่ความจริงแล้วมันคือหลุมยักษ์ที่เกิดจากการยุบตัวของพื้นดิน การกัดเซาะของสายน้ำใต้ดินทำให้เกิดโพรงขนาดใหญ่ขึ้นใต้ดิน และเมื่อเวลาผ่านไป พื้นผิวที่ยุบตัวลงมาทำให้เกิดหลุมลึกที่มีผนังตั้งฉาก ด้านล่างของหลุมสะสมดินอุดมสมบูรณ์จนสามารถปลูกพืชได้
ในพื้นที่รอบเมืองใต้ดินมีหลุมลักษณะนี้อยู่หลายสิบแห่ง โดยเจ็ดหลุมที่มีสภาพดีที่สุดได้รับการพัฒนาให้เป็นพื้นที่เพาะปลูก เฟลินพาอังก์มายังหนึ่งในหลุมเหล่านี้
เพราะหลุมยักษ์นี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ลมจากพื้นดินไม่อาจพัดลงไปถึง แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือการขาดแสงสว่าง
บนผนังหินรอบขอบหลุมมีการสลักวงเวทย์ขนาดใหญ่สำหรับให้แสงสว่าง เอบส์โก้ยืนอยู่หน้าวงเวทย์นั้นและกำลังถ่ายพลังเวทย์สุดท้ายของเขาเข้าสู่วงเวทย์ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ก่อนจะพึมพำว่า “เฮ้อ… แก่แล้วแก่เลย สู้ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้แค่สามรอบก็หมดแรง แต่ก่อนฉันเดินไปกลับเจ็ดรอบยังสบาย ๆ เลย”
เฟลินได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็พลันบึ้งตึงทันที เพราะคำพูดของเอบส์โก้ฟังดูเหมือนกำลังเสียดสีเขา
“เจ้าแก่เท่าข้าหรือยัง? ยังไม่ถึงหกสิบก็ร้องแก่แล้ว ข้าดูว่าเจ้าไม่ได้แก่หรอก เจ้าน่ะขี้เกียจต่างหาก”
เอบส์โก้สะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืนตรง พร้อมหันมายิ้มแหย ๆ ให้เฟลิน
“ท่านมาได้อย่างไร? เอ่อ…ท่านผู้นี้คือ?”
ชาวเมืองล้วนได้ยินเรื่องของผู้มาเยือนลึกลับ โดยเฉพาะหลังจากที่วิหารถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง และมีข่าวเรื่องการสำรวจทุ่งมอสส์เรืองแสง สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลลึกลับผู้นั้น
แม้เฟลินจะพยายามเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ผู้คนต่างคาดเดาว่าผู้นี้อาจเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิอันเดด เพราะเฟลินมักออกล่าคริสตัลวิญญาณเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร
แม้ทุกคนจะรู้ข่าวลือ แต่เอบส์โก้ก็ไม่เคยพบเห็นบุคคลลึกลับผู้นี้มาก่อน เขาเคยได้ยินเพียงว่าผู้นั้นคือโครงกระดูก และตอนนี้ เมื่อเห็นโครงกระดูกที่เฟลินให้ความเคารพอย่างยิ่งยวดอยู่เคียงข้าง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือบุคคลเดียวกัน เพียงแต่โครงกระดูกนี้ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด
อังก์โบกมือให้เขา พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย
ท่าทีการเอียงศีรษะนี้ทำให้เอบส์โก้แน่ใจในทันทีว่า “จริง ๆ แล้วเป็นเจ้านี่เองหรือ?”
บุคคลลึกลับที่ถูกกล่าวถึงทั่วเมือง กลับกลายเป็นโครงกระดูกที่เขาเคยพากลับมาเมื่อก่อน เพราะห่วงว่ามันจะเผชิญอันตรายจากสัตว์ร้ายภายนอก เขายังพูดโอ้อวดอีกว่าเมืองใต้ดินปลอดภัยเพียงใด
สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับนี้ จะมีที่ไหนที่ไม่ปลอดภัยได้กันเล่า? เอบส์โก้รู้สึกอับอายและหน้าแดงเล็กน้อย
“พวกท่านมาที่นี่ทำไม?” เอบส์โก้รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ท่านอังก์อยากมาดูพื้นที่เพาะปลูกที่ถูกปล่อยร้าง และพิจารณาว่าจะสามารถปลูกพืชได้หรือไม่” เฟลินตอบ
“ท่านอังก์หรือ?” เอบส์โก้นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “มอสส์เรืองแสงที่ช่วยเพิ่มแสงนี่เป็นผลงานของท่านอังก์หรือ? มันมีประโยชน์มากจริง ๆ แต่ก่อนที่เรายังไม่มีมอสส์เรืองแสง เราต้องเติมพลังเวทย์ถึงเจ็ดครั้งต่อวัน แสงถึงจะเพียงพอ แต่ตอนนี้แค่เติมพลังสามครั้งก็เพียงพอแล้ว”