ตอนที่แล้วบทที่ 21 สิ่งใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 23 แม่มดเฒ่า

บทที่ 22 นี่มันโกงชัด ๆ!


ดอกเห็ดลักษณะคล้ายร่ม ทั้งตัวขาวสะอาด ก้านเห็ดยาวประมาณความยาวนิ้วมือ มีความหนาเท่าครึ่งนิ้ว นี่มันอะไรกัน?

“เห็ด มันขึ้นเห็ดในดิน แต่ว่าที่นี่ทั้งชื้นและแฉะ การที่เห็ดจะขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ นี่น่าจะเป็นเห็ดเนื้อนะ มีเนื้อหนานุ่ม กินแล้วรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ ตอนนี้มันอยู่ในช่วงวัยอ่อน อีกสองวันน่าจะโตได้อีกจนมีความหนาเท่าแขน”

สมกับเป็นเทพแห่งปัญญา เห็ดธรรมดามีอยู่เป็นพันชนิด หากเป็นเห็ดที่ไม่ธรรมดาก็ยิ่งมีมากกว่านั้น แต่ไนเกรสกลับสามารถมองออกในทันทีว่านี่คือเห็ดชนิดใด

แต่หลังจากพูดอธิบายมายืดยาว อังก์กลับจับได้เพียงคำเดียวว่า “กินได้?”

“เอ่อ ก็กินได้นะ แต่ใครจะกินเห็ดกัน? ทั้งไม่อร่อยและไม่มีสารอาหารอะไรเลย” ไนเกรสกล่าว

ในยุคที่ทรัพยากรหายาก เห็ดถือเป็นสิ่งที่แทบไม่มีใครกิน เพราะต้องใช้น้ำมันและเครื่องปรุงจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นก็จะรสชาติแย่ยิ่งกว่าเดิม สำหรับเมืองใต้ดินที่แม้แต่เสบียงยังขาดแคลน จะเอาน้ำมันมาจากไหนกัน? หากเอาน้ามิโนทอร์มาต้ม อาจจะได้ไขมันวัวหลายสิบปอนด์

ดังนั้น คนที่กินเห็ดจึงมีเพียงนักล่าสัตว์และคนเลี้ยงสัตว์ที่มีน้ำมันสัตว์อยู่มากพอสำหรับทำซุปเห็ดเข้มข้น

“อ้อ” อังก์ตอบรับ หากไม่อร่อยและไม่มีประโยชน์อะไร เขาก็ไม่คิดจะปลูกต่อ มือของเขาเตรียมจะถอนเห็ดออก แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องดังขึ้นจากด้านหลัง

“อ๊ะ นี่มันเห็ดศักดิ์สิทธิ์นี่!”

เมื่อหันกลับไป อังก์พบว่าลิซ่าในชุดเดรสผ้าบางสีดำกำลังยืนมองเห็ดเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ

ชุดเดรสผ้าบางสีดำแนบลำตัวของลิซ่า เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันอวบอิ่มของเธอ ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงเธอกับลิชที่ซูบซีดเมื่อวันก่อน

“เห็ดศักดิ์สิทธิ์คืออะไร?” อังก์เอ่ยถาม

“มันก็คือเห็ดเนื้อที่ถูกรดด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดคุณสมบัติพิเศษ เช่น การล้างผลกระทบด้านลบต่าง ๆ พิษ โรคระบาด คำสาป หรือโรคร้ายแรง ตราบใดที่ไม่รุนแรงจนเกินไป เห็ดนี้ก็สามารถรักษาได้” ลิซ่าอธิบาย

หลังจากอธิบายจบ เธอยิ้มเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า “วิหารแห่งแสงมักจะปลูกเห็ดศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก จากนั้นนำไปตากแห้ง บดเป็นผง และแจกจ่ายให้กับนักบวชหรือแม่ชีเพื่อใช้แสดงปาฏิหาริย์ เมื่อเรารักษาเด็กที่เป็นพิษจากอาหารจนหาย ก็สามารถสร้างความศรัทธาและความซาบซึ้งใจจากครอบครัวของเด็กคนนั้นได้ไม่ยากเลย”

อังก์ไม่ได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่ลิซ่ากล่าว แต่ไนเกรสในดวงจิตของเขากลับตะโกนด้วยความโกรธ “ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง? ไร้ยางอายสิ้นดี! น่ารังเกียจจริง ๆ นี่มันโกงชัด ๆ โกงชัด ๆ! ไม่แปลกใจเลยที่วิหารแห่งแสงประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ความเชื่อ ก็เพราะพวกเขาใช้วิธีลอบวางยาคนอื่นแบบนี้นี่เอง!”

อย่างไรก็ตาม คำตะโกนของไนเกรสมีเพียงอังก์ที่ได้ยิน ลิซ่าไม่ได้ยิน เธอเพียงกล่าวต่อไปว่า “พระเจ้าแห่งข้า หากเราปลูกเห็ดศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากและแปรรูปเป็นยารักษาโรค มันจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน และผู้คนจะหันมาปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับแสงสว่างของท่าน”

แม่ชีที่ไม่สามารถเผยแผ่ความเชื่อได้ย่อมไร้ค่า อดีตนักบวชแห่งแสงผู้นี้จึงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะถวายพลังของเธอให้กับอังก์ เพื่อให้พระเจ้าของเธอเมตตาและประทานพลังแก่เธอมากขึ้น

“มันใช้แลกเปลี่ยนกับเสบียงและเมล็ดพันธุ์ได้ไหม?” อังก์เอ่ยถาม เขาไม่ได้สนใจเรื่องการเผยแผ่แสงสว่างให้ผู้อื่น แต่หากมันกินได้หรือแลกกับเสบียงและเมล็ดพันธุ์ได้ เขาก็พร้อมจะปลูกมัน

“เสบียงหรือ? ก็แลกเปลี่ยนได้ แต่เสบียงเป็นสินค้าหลักที่ขาดแคลนทั้งสามเมืองในแถบนี้ ต่อให้มีคนยินดีแลก ก็แลกได้ไม่มากนัก ส่วนเมล็ดพันธุ์นั้น พวกเขามีอะไรเราก็มีเช่นกัน แต่เมืองแห่งเหมันต์มีสถานีส่งถ่ายระหว่างโลกเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับโลกมนุษย์ ซึ่งสามารถใช้แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์พิเศษหรือสินค้าที่มีมูลค่าสูงจากโลกมนุษย์ได้” ลิซ่ากล่าว

“สถานีส่งถ่ายระหว่างโลก? เป็นวงเวทย์ส่งผ่านอย่างนั้นหรือ?” อังก์เอียงศีรษะ เขารู้แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าสถานีส่งถ่ายระหว่างโลกก็คือวงเวทย์ส่งผ่าน เป็นสถานที่เดียวกับที่อังก์ถูกส่งมาจากพระราชวังสุขคติ

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันเป็นเพียงวงเวทย์ส่งผ่านขนาดเล็กมาก เล็กจนไม่สามารถส่งคนผ่านไปได้ ส่งได้แค่สิ่งของมีค่า เช่น ผลึกเวทมนตร์ หรือเครื่องประดับเวทมนตร์เท่านั้น” ลิซ่ากล่าวพร้อมกับทำท่าทางประกอบ ตามคำอธิบายของเธอ วงเวทย์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงเจ็ดถึงแปดสิบเซนติเมตร ซึ่งไม่สามารถส่งสิ่งของขนาดใหญ่ผ่านไปได้เลย

“ผลึกเวทมนตร์? มนุษย์มีผลึกเวทมนตร์ด้วยหรือ?” หากอังก์มีหู คงจะตั้งชันขึ้นในตอนนี้ เขาเคยติดตามเอบส์โก้มายังเมืองใต้ดินเพื่อค้นหาผลึกเวทมนตร์โดยเฉพาะ เพราะผลึกเวทมนตร์สามารถใช้เพื่อเปิดใช้งานเสาหินส่งผ่าน หากได้ผลึกเหล่านั้น อังก์ก็จะสามารถกลับไปยังพระราชวังสุขคติได้อีกครั้ง

หลังจากที่อังก์เคยสอบถามเฟลินเกี่ยวกับผลึกเวทมนตร์ เขาก็ได้รับคำตอบอย่างน่าเสียดายว่า เมืองใต้ดินไม่มีผลึกเวทมนตร์เลย ส่วนผลึกเวทมนตร์ที่เอบส์โก้เคยมีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นนั้น เป็นของที่เขาเคยแลกมาจากเมืองน้ำแข็ง และใช้หมดไปแล้วตั้งแต่กลับมายังเมืองใต้ดิน

“เมืองน้ำแข็งมีวงเวทย์ส่งผ่านที่สามารถแลกเปลี่ยนผลึกเวทมนตร์กับโลกมนุษย์ได้ แต่พวกเราไม่มีสินค้าที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ในปริมาณมาก ดังนั้น ผลึกที่ได้มาก็มีจำนวนน้อย” ลิซ่าอธิบาย

อังก์ชี้ไปที่ดอกเห็ดศักดิ์สิทธิ์พร้อมกล่าวว่า “แลกผลึกเวทมนตร์”

ในเมื่อจะใช้เห็ดศักดิ์สิทธิ์แลกผลึกเวทมนตร์ ปริมาณเห็ดจึงต้องมากพอ อังก์จึงตัดสินใจเปลี่ยนพื้นที่ปลูกบนแผ่นหินทั้งหมดให้กลายเป็นแปลงเพาะเห็ดศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยเห็นเห็ดที่เติบโตบนไม้ผุ และเข้าใจดีว่ามันขยายพันธุ์อย่างไร

เมื่อเห็ดศักดิ์สิทธิ์รุ่นแรกโตเต็มที่และเริ่มปล่อยสปอร์ อังก์ใช้เวทย์ผสมเกสรเพื่อเคลื่อนย้ายสปอร์ไปยังดิน และโรยดินนี้อย่างสม่ำเสมอบนแปลงปลูกบนแผ่นหิน

สองสัปดาห์ผ่านไป อังก์เก็บเกี่ยวเห็ดศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงห้าสิบปอนด์

ลิซ่ามองภาพนั้นด้วยความประหลาดใจ “มากขนาดนี้เชียวหรือ? ข้าไม่เคยเห็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ท่านทำได้อย่างไร? เมื่อก่อนตอนข้าอยู่ที่วิหาร เขตหนึ่งในหนึ่งปีจะได้เห็ดศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว แต่นี่ท่านใช้เวลาแค่สิบกว่าวันเอง?”

“ทำแบบนี้” อังก์ตอบพลางอธิบายวิธีการปลูกของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีของลิซ่า ก็พบความแตกต่างหลายจุด

ประการแรก วิหารไม่เคยเก็บสปอร์ ประการที่สอง พวกเขาไม่ได้ปรับดินหรือควบคุมความชื้น และประการที่สาม พวกเขาไม่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ในปริมาณมากเพียงพอที่จะใช้รดอย่างสม่ำเสมอ

ในความเป็นจริง วิหารแห่งแสงไม่ได้มองว่าเห็ดศักดิ์สิทธิ์เป็นพืชผล แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า หากเห็ดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นที่ใด พวกเขาก็จะล้อมรั้วพื้นที่นั้นไว้ และมอบหมายให้บาทหลวงสวดมนต์ในพื้นที่ พร้อมกับรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไปเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักบวชที่สามารถชำระล้างน้ำศักดิ์สิทธิ์มีภารกิจยุ่งมากอยู่แล้ว

วิธีการปลูกแบบนี้จึงแทบไม่มีทางได้ผลผลิตที่ดี

ส่วนวิธีของอังก์ เขาเก็บสปอร์มาปลูกและจัดตั้งกลุ่มทดลองโดยใช้ปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณแสง น้ำ ความชื้น และอุณหภูมิที่แตกต่างกัน รวมถึงการรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการชำระล้างห้าครั้งหรือหกครั้ง แล้วเปรียบเทียบดูว่าการตั้งค่ากลุ่มใดให้ผลผลิตที่ดีที่สุด

ผลการทดลองพบว่า ดินที่สะอาดแต่มีสารอินทรีย์สูง และการรดน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการชำระล้างห้าครั้ง ให้ผลผลิตที่ดีที่สุด

สารอินทรีย์แบบใดดีที่สุด? คำตอบคือมอสส์แห้ง หากใช้มอสส์สดมันจะเน่าเปื่อยง่ายและให้ผลลัพธ์ที่แย่ลง

“พวกนี้เพียงพอหรือยัง? จะแลกเปลี่ยนกับ...” อังก์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจำได้ว่าเอบส์โก้เคยใช้ผลึกเวทมนตร์สีฟ้าราวสิบก้อน ดังนั้นเขาควรแลกผลึกเวทมนตร์กลับมาอย่างน้อยสี่สิบก้อน “สี่สิบก้อน”

“พอแล้ว พอแล้ว” ลิซ่าหัวเราะ “เห็ดศักดิ์สิทธิ์ห้าสิบปอนด์ เมื่อนำไปบดจะได้ผงราวสิบปอนด์ ซึ่งตามราคาของวิหารแห่งแสงในอดีต หนึ่งปอนด์ของผงเห็ดศักดิ์สิทธิ์สามารถแลกเปลี่ยนกับผลึกเวทมนตร์ได้ถึงยี่สิบก้อน แน่นอนว่าวิหารไม่ขาดแคลนผลึกเวทมนตร์เหล่านี้ และในตลาดทั่วไปก็แทบไม่มีใครหาซื้อได้ ข้าจะนำห้าปอนด์ไปก่อน นั่นก็เพียงพอสำหรับการแลกเปลี่ยนผลึกเวทมนตร์หนึ่งร้อยกว่าก้อน หากนำไปมากเกินไป อาจทำให้ราคาตกลงได้”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลิซ่าเผยรอยยิ้มพร้อมแววตาเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม “เมื่อเห็นข้าในสภาพนี้ ยัยแม่มดเฒ่าแห่งเมืองน้ำแข็งคงต้องคุกเข่าอ้อนวอนให้ข้าแสดงพลังอำนาจพระเจ้าของท่านแก่นางแน่ ๆ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด