บทที่ 21
บทที่ 21
"ดังนั้น พี่เหลียง นั่นหมายความว่าพระพุทธรูปที่ขุดได้จากแม่น้ำและโลงศพที่พบในฟาร์มเลี้ยงปลา ต้องมีอายุอย่างน้อยสามร้อยปีใช่ไหมครับ?"
"ใช่ เราสามารถเข้าใจได้อย่างนั้น แต่สิ่งที่แปลกคือ แม้เวลาสามร้อยปีจะนานมาก แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ประเพณีการบูชา 'เจ้าแม่ตระกูลไป๋' หายไปจนหมดสิ้น แม้แต่คนแก่ในท้องถิ่นก็ยังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอเลย
ทั้งที่ในบันทึกท้องถิ่นเขียนไว้ชัดเจน เรายังขุดพบวัดของเธอ มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรและซากโบราณสถาน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีร่องรอยในวัฒนธรรมพื้นบ้านเหลืออยู่เลย มันแปลกมาก"
หลี่จื้อหยวนส่ายหน้าพลางกล่าว "พี่เหลียง มีศาสตราจารย์เกษียณท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า สิ่งที่ดำรงอยู่อาจไม่สมเหตุสมผลเสมอไป แต่การดำรงอยู่ย่อมต้องมีเหตุผลของมัน"
"หมายความว่า การไม่ดำรงอยู่ก็ต้องมีเหตุผลเช่นกันสินะ จื้อหยวน?"
"ครับ ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะเจ้าแม่ตระกูลไป๋ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการบูชา และไม่เหมาะที่จะกลายเป็นประเพณี ภาพลักษณ์ของเธอ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือภาพลักษณ์ของตระกูลไป๋และเมืองไป๋ อาจแตกต่างจากที่เราจินตนาการไว้มาก
ผมเพิ่งได้อ่านบันทึกท้องถิ่นที่พี่เหลียงเอามา ในนั้นมีบันทึกเรื่องราวของเจ้าแม่ตระกูลไป๋ไว้มากมาย พวกเธอทำสิ่งต่างๆ มากมายในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง รูปแบบการบันทึกคล้ายกับนิทานปรัมปราอื่นๆ แต่มีบางอย่างที่ขาดหายไป...
ในตอนจบของนิทานปรัมปราเหล่านั้น มักจะมีข้อความว่า 'ชาวบ้านในท้องถิ่นระลึกถึงพระคุณของเธอ จึงสร้างวัดและรูปปั้น มีผู้คนมาบูชาไม่ขาดสาย'
แต่ในบันทึกท้องถิ่นเกี่ยวกับเจ้าแม่ตระกูลไป๋ มีแค่การบันทึกเรื่องราวเท่านั้น ถ้าเป็นแค่ครั้งสองครั้งที่ไม่ได้เขียนก็คงไม่เป็นไร แต่ในบันทึกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกลับไม่มีเลย
ทั้งที่ในท้องถิ่นนี้มีวัดอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ พระและนักพรตในตำนาน แม้แต่เจ้าชายมังกรแห่งทะเลตะวันออก ก็ล้วนมีบันทึกแบบที่ผมกล่าวถึง
แม้ว่าปัจจุบันความเจริญรุ่งเรืองของวัดเหล่านั้นจะแตกต่างกันไป แต่อย่างน้อยก็ยังพอหาร่องรอยวัดที่ใช้บูชาได้
ดังนั้นผมคิดว่า การที่เจ้าแม่ตระกูลไป๋ไม่มีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมพื้นบ้านในท้องถิ่น ย่อมมีเหตุผลที่แน่นอน
เรื่องราวของพวกเธอเกี่ยวกับการ 'ปราบปีศาจ' แต่จุดประสงค์ของการกระทำ อาจไม่ใช่เพื่อ 'ปกป้องท้องถิ่น'"
เสี่ยวเหลียงมองหลี่จื้อหยวนด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง เขาลืมไปแล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เขามองเด็กคนนี้ด้วยสายตาแบบนี้ในวันนี้
"พี่เหลียง พี่จำลักษณะภายนอกของวัดที่ขุดพบที่แม่น้ำได้ไหม?"
"จำได้ มันเล็กและแคบมาก ถ้าไม่ใช่เพราะความสูงของพระพุทธรูปบ่งบอก ผมถึงกับสงสัยว่าคนสร้างวัดคงจะสร้างตามขนาดของศาลเจ้าที่อยู่ริมถนนในหมู่บ้าน"
"แล้วโซ่ตรวน..."
"ใช่ โซ่ตรวน พระพุทธรูปนั้นถูกล่ามด้วยโซ่ ปลายโซ่อีกด้านเชื่อมต่อกับผนังวัดโดยรอบ ถ้าไม่ทุบโซ่ให้แตก ใช้แรงคนคงยากที่จะทำลายวัดได้"
"นั่นไม่ใช่วัดสำหรับบูชา แต่เป็นที่สำหรับกักขัง"
"กักขัง?" เสี่ยวเหลียงแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที "ใช่แล้ว มันก็เป็นแบบนั้นนี่นา ที่ไหนมีการบูชาด้วยรูปลักษณ์แบบนั้น!"
จากนั้นเสี่ยวเหลียงก็เดินไปมาด้วยความตื่นเต้น:
"การจัดวางในโลงศพที่ฟาร์มเลี้ยงปลาและตัวอักษรที่แกะสลักบนไม้ก็บอกชัดเจนว่าเป็นการกักขัง ตรรกะการกระทำของเจ้าแม่ตระกูลไป๋ทั้งสองแห่งก็สอดคล้องกันไม่ใช่หรือ?
แต่ทำไมชาวบ้านถึงไม่ซาบซึ้งในการเสียสละตนเองเช่นนี้?"
"ถ้าตระกูลไป๋แค่สนใจกระบวนการแต่ไม่สนใจผลลัพธ์ล่ะครับ?"
"จื้อหยวน นายหมายความว่า เจ้าแม่ตระกูลไป๋แค่ต้องการวิธีการกักขังวิญญาณร้ายด้วยตัวเอง ส่วนสิ่งที่ถูกกักขังนั้นเป็นวิญญาณร้ายจริงหรือไม่ และวิญญาณร้ายนั้นมาจากไหน มันน่าคิดนะ?
อ๋า... ถ้าวิญญาณร้ายพวกนั้นเป็นสิ่งที่พวกเธอปล่อยออกมาเอง เลี้ยงดูขึ้นมาเอง แล้วก็กักขังเองด้วย งั้นชาวบ้านก็คงไม่เพียงแค่ไม่ระลึกถึงบุญคุณ แต่ยังพากันหลีกหนีด้วยซ้ำ
แบบนี้ก็อธิบายได้ทุกอย่างแล้ว"
"ครับ"
หลี่จื้อหยวนพยักหน้า ใน《บันทึกเรื่องประหลาดในยุทธภพ》มีบันทึกเกี่ยวกับนักพรตสายมารที่ตายไปมากมาย พวกที่แสวงหาการเลี้ยงศพเพื่อขึ้นสวรรค์พวกนี้ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย
ในกลุ่มพวกเขามีความเชื่อร่วมกันอย่างกว้างขวางว่า:
ทะเลสาบคือที่เลี้ยงศพ แม่น้ำคือบันไดขึ้นสวรรค์ แม่น้ำไหลลงทะเล นั่นก็คือการขึ้นประตูสวรรค์
หนานทงตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำแยงซี เกาะฉงหมิงยิ่งเป็นประตูแม่น้ำ มองในมุมมองความคิดประหลาดๆ ของพวกเขา นี่ก็เท่ากับเป็นหน้าประตูสวรรค์ไม่ใช่หรือ?
พวกนักพรตสายมารจากเมืองภูเขาทางต้นน้ำ บ้างก็ทุ่มเทเวลาเลี้ยงดูศพตัวเอง บ้างก็แย่งชิงโลงศพผู้อื่น พอถึงเวลาเหมาะสมก็ล่องตามแม่น้ำลงมา มุ่งตรงสู่ทะเล ต้องใช้เวลาและแรงงานวางแผนมากมาย
ส่วนตระกูลไป๋นั้นง่ายและตรงไปตรงมากว่า พวกเขาตั้งหลักที่ประตูสวรรค์เลย "กักขังวิญญาณร้าย" ด้วยการเหยียบเท้าขวาด้วยเท้าซ้าย แล้วมุ่งสู่การขึ้นสวรรค์
คิดถึงตรงนี้ หลี่จื้อหยวนก็ยกมือขยี้ขมับ พวกเขามีความคิดที่แปลกประหลาด แต่ก็มีโลกทัศน์ที่สามารถทำความเข้าใจได้ และตัวเขาเองก็เข้าใจมันแล้ว
"จื้อหยวน นี่ก็อธิบายได้ว่าทำไมปู่ย่าของพี่สาวนายถึงต้องตายอย่างทรมาน เจ้าของฟาร์มเลี้ยงปลาแม้จะยังไม่พบตัว แต่อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว
ตามหลักการแล้วไม่ควรเป็นแบบนี้
ถ้าเจ้าแม่ตระกูลไป๋เป็นฝ่ายธรรมะ และสิ่งที่ถูกผนึกในไหเซรามิกเป็นวิญญาณร้าย ทำไมวิญญาณร้ายถึงต้องรีบทำร้ายผู้มีพระคุณที่ปลดปล่อยมันออกมาอย่างโหดเหี้ยม ไม่เหลือทางรอดให้เลย?
ดังนั้น คนที่โกรธแค้นจนเสียสติและเริ่มฆ่าคน จึงเป็นเจ้าแม่ตระกูลไป๋ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของความยุติธรรมนั่นเอง!"
หลี่จื้อหยวนมองเสี่ยวเหลียงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ต้องรู้ว่าเสี่ยวเหลียงไม่เคยอ่าน《บันทึกเรื่องประหลาดในยุทธภพ》มาก่อน แต่เขากลับวิเคราะห์จากร่องรอยปกติได้ลึกซึ้งมาก
"งั้นจ้าวเหอเฉวียน..." เสี่ยวเหลียงยังห่วงเพื่อนร่วมชั้นของเขา "ก็แปลว่าถูกเจ้าแม่ตระกูลไป๋จากแม่น้ำนั่นจับตามองแล้ว และการแก้แค้นทั้งหมดก็มุ่งไปที่เขาใช่ไหม?"
ถ้าแค่ล่วงเกิน ขอโทษพูดดีๆ ก็คงจบ แต่ถ้าคุณทำลายแผนการของเขา ก็ต้องเจอการแก้แค้นถึงตายกันไปข้าง!
เสี่ยวเหลียงสงสัยถามว่า "แต่ทำไมเธอถึงละเว้นฉันกับนาย? ไม่สิ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายอยู่แล้ว ควรจะพูดว่าทำไมถึงปล่อยฉันไป?"
"อาจเป็นเพราะเธอเลือกได้แค่คนเดียว"
ฉากในความฝันคืนนั้นชัดเจนมาก หญิงผู้นั้นพาไปได้แค่คนเดียว เธอถึงได้ลังเลระหว่างเขากับจ้าวเหอเฉวียนหลายครั้ง ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างในตัวเขา ทำให้เธอลำบากใจอยู่พักใหญ่
"หา?"
"ในหนังสือเขียนไว้"
"อ๋อ มีกฎแบบนี้ด้วย งั้นจ้าวเหอเฉวียนก็คงจบแน่?"
"รู้สึกว่าใช่ครับ"
"งั้นพวกเรา..." เสี่ยวเหลียงโบกมือให้หลี่จื้อหยวน "รีบจัดโต๊ะบูชาเร็ว รีบตัดความสัมพันธ์กับเธอให้สิ้นซะที!"
พอนึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใจกว้างยกโทษให้ตน แต่เป็นเพราะยังไม่มีเวลามาจัดการ เสี่ยวเหลียงก็รู้สึกถึงความเร่งด่วน
"ครับ" หลี่จื้อหยวนเห็นด้วยกับเสี่ยวเหลียง เขาชี้ไปที่ตู้ของตัวเอง "พี่เหลียง ขนมอยู่ข้างใน ข้างนอกยังมีม้านั่งไม้ พี่เก็บมันมาจัดเป็นสองโต๊ะ ต้องเป็นเลขคู่นะ... แต่ละโต๊ะวางสี่ชุด ผมจะลงไปเอาธูปเทียนกับกระดาษเงินกระดาษทอง"
หลังจากแบ่งงานกันแล้ว หลี่จื้อหยวนก็ลงไปชั้นล่าง นำเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองมา พอขึ้นมา เสี่ยวเหลียงก็จัดโต๊ะบูชาเล็กๆ สองตัวในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองคนเริ่มพิธีบูชาทันที
...ที่ห้องทิศตะวันออก ชินหลี่ที่กำลังนอนหลับอยู่พลันลืมตาขึ้น
หลิวอวี้เหมยที่นั่งพัดพัดใบตาลพลางหลับตาพักผ่อนอยู่ข้างๆ ก็ตื่นขึ้นตามกัน เธอใช้พัดปิดใบหน้าหลานสาว บังสายตาของเธอไว้ พลางพูดเสียงนุ่มนวลว่า:
"เด็กดี ไม่เป็นไร พวกเขากำลังตัดความสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย หนูนอนพักเถอะ พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปเล่นกับจื้อหยวนอีกนะ"
ชินหลี่ค่อยๆ หลับตาลง
หลิวอวี้เหมยมองไปที่หน้าต่างมุ้งลวด ผ่านตรงนั้นสามารถมองเห็นท้องฟ้ายามราตรีด้านนอก
ผ่านไปนาน เธอพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเยาะหยันเล็กน้อย:
"ยุคสมัยอะไรแล้ว ยังฝันหวานแบบนั้นอยู่อีก?"
แต่ทว่า ในจังหวะที่เธอเพิ่งหลับตาจะนอนต่อ
ในวินาถัดมา
หลิวอวี้เหมยและชินหลี่ลืมตาขึ้นพร้อมกัน
ครั้งนี้ ดวงตาของชินหลี่ลึกล้ำ แม้จะไม่ได้มองหลี่จื้อหยวน แต่ม่านตาของเธอก็แสดงความชัดเจนในการโฟกัสอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น
สีหน้าของหลิวอวี้เหมยก็จริงจังกว่าครั้งก่อน แต่เธอยังคงถือพัดใบตาล โบกไปมาเหนือชินหลี่ ราวกับกำลังตัดอะไรบางอย่าง
ชินหลี่มองไปที่ย่าข้างกาย
หลิวอวี้เหมยพูดว่า "เด็กดี อันนี้ไม่ใช่หาจื้อหยวนนะ นอนเถอะ คืนนี้อย่าซนล่ะ ไม่งั้นจะไม่สดชื่น หนูคงไม่อยากมีรอยคล้ำใต้ตาตอนไปเจอจื้อหยวนใช่ไหม?"
ชินหลี่หลับตาลงอีกครั้ง
หลิวอวี้เหมยรู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย ตอนนี้เธอค่อยๆ ชินกับการใช้ชื่อหลี่จื้อหยวนในการสื่อสารกับหลานสาว รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็ใช้ได้ผลดี
ลุกขึ้น ลงจากเตียง หลิวอวี้เหมยดึงมุ้งลวดออก แล้วปิดหน้าต่างด้านนอก ตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
"ตาไม่เห็น ใจไม่วุ่น นอนเถอะ"
...พิธีบูชาเสร็จสิ้น เสี่ยวเหลียงรับหน้าที่เก็บกวาดเถ้ากระดาษที่เผา เขาทำงานละเอียดรอบคอบเสมอ
เมื่อเขากลับมา ก็เห็นหลี่จื้อหยวนมองมาที่เขา "พี่เหลียง ดูแขนของพี่สิ"
เสี่ยวเหลียงได้ยินดังนั้น รีบพับแขนเสื้อขึ้นดู พบว่าไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่เลย เขารีบถามด้วยความตื่นเต้น:
"ไม่มีร่องรอยเลยสักนิด จื้อหยวน แล้วนายล่ะ?"
"ผมก็ไม่มีแล้วครับ"
"ฮู้..." เสี่ยวเหลียงถอนหายใจยาว "งั้นพวกเราก็สำเร็จแล้วสินะ?"
"ครับ น่าจะใช่ แต่เพื่อนของพี่คนนั้น..."
พวกเขาสองคนตัดความสัมพันธ์ไปแล้ว เจ้าแม่รูปปั้นตระกูลไป๋ก็คงจะรวมสมาธิทั้งหมดไปแก้แค้นคนนั้นแล้ว
แต่เสี่ยวเหลียงกลับไม่ได้เศร้าใจเท่าไร ตรงกันข้าม เขาใช้นิ้วแตะที่หน้าผากและไหล่ทั้งสองข้างตามลำดับ พูดว่า:
"พระเจ้าจะคุ้มครองเขาเอง"
หลี่จื้อหยวนกลั้นยิ้มที่มุมปาก
เขารู้สึกได้ว่าก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวเหลียงบอกว่าจะช่วยเพื่อนนั้นจริงใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางการที่เขาจะวางมือ หลังจากพบว่าสถานการณ์น่ากลัวและร้ายแรงเกินไป
เสี่ยวเหลียงเอามือลูบจมูกหลี่จื้อหยวนเบาๆ พูดว่า:
"ทุกเรื่องน่ะ ต้องคิดให้โล่งใจหน่อย อยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ก็ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธการบั่นทอนอารมณ์"
พูดจบ เสี่ยวเหลียงหันตัวถามว่า "ห้องอาบน้ำอยู่ด้านหลังใช่ไหม ฉันจะไปอาบน้ำก่อน"
มองดูเงาร่างที่เดินออกไป หลี่จื้อหยวนค่อยๆ จมลงสู่ภวังค์ความคิด
คำพูดของเสี่ยวเหลียงสร้างความรู้สึกกระทบใจให้เขา
อาจเป็นเพราะตัวเองคิดแต่จะแสดงบทบาทของตัวเองให้ดี กลับยิ่งทำให้ไม่เหมือนตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
...บนผนังห้องนอนของหลี่ซานเจียง ติดรูปเทพเจ้าเต็มไปหมด
พวกนี้ล้วนเป็นของที่เขาซื้อมาครั้งเดียวตอนไปงานเทศกาลวัดเมื่อสองปีก่อน แล้วเก็บไว้ในตู้มาตลอด วันนี้จึงได้นำมาใช้ทั้งหมด
ในนั้นมีภาพวาดหนึ่ง เป็นชายชราที่มีใบหน้าเมตตา ดูสง่างามเหมือนเซียน หลี่ซานเจียงวางภาพนั้นไว้ตรงกลาง
เขาคิดว่านั่นคือเล่าจื๊อ แต่จริงๆ แล้ว... เป็นขงจื๊อ
เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน จัดการเสร็จ เขาก็เข้านอนแต่หัวค่ำ
แล้วเขาก็ฝัน
แปลกมาก ดูเหมือนว่าตั้งแต่ทำพิธีเปลี่ยนโชคชะตากับหลานชายแล้ว เขามักจะฝันบ่อยขึ้น
แต่ครั้งนี้ ฝันไม่ได้อยู่ที่ดาดฟ้าโรงพยาบาลอำเภอ แต่อยู่บนถนน
หันไปมองทางขวา เห็นประตูคุ้นตา ข้างประตูยังมีป้ายที่เขาจูบหลายครั้งในตอนกลางวัน
ด้านหลัง มีเสียงฝีเท้า
หลี่ซานเจียงหันไปมอง เห็นร่างเล็กๆ ค่อยๆ เดินออกมาจากเงามืด แผ่ความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง
ไม่รอช้า หลี่ซานเจียงวิ่งเข้าสถานีตำรวจไปเลย
เด็กหญิงยืนอยู่นอกสถานีตำรวจ สีหน้าเคียดแค้น ปากขยับเปิดปิด
คืนแรกที่ฝัน ได้ยินเสียงขู่ชัดเจน เธอต้องการให้เขาตาย ตอนงีบบนรถแทรกเตอร์ เสียงเธอเริ่มไม่ชัด
และตอนนี้
เขาแค่เห็นปากเล็กๆ นั้นขยับเปิดปิดไม่หยุด แม้จะฟังไม่ได้ยินเลย แต่เธอคงกำลังด่าอย่างหยาบคาย
"ฮิฮิ"
หลี่ซานเจียงหัวเราะเบาๆ แล้วนอนลงเอง
เจอคนที่พอจะพูดเหตุผลด้วยได้ เขาไม่รังเกียจที่จะลดตัว อ้อนวอนพูดจาอ่อนหวาน แม้ให้คุกเข่าก่มกราบก็ไม่มีปัญหา
แต่วิญญาณร้ายก็คือคนที่กลายมาเป็น บางคนพูดคุยกันได้ แต่บางคน ก็ไม่มีทางสื่อสารกันได้
เจอแบบนี้ แค่สนใจมากไปก็เสียเวลาเปล่า
อย่างน้อยในความฝัน หลี่ซานเจียงก็เป็นคนมากประสบการณ์ จะว่าไปก็เคยเป็นหัวหน้านำผีดิบเต้นแอโรบิกในพระราชวังต้องห้ามในความฝันมาแล้ว
ดังนั้น หลี่ซานเจียงจึงนอนลงเลย เอามือวางซ้อนกันบนสะดือ
เหนื่อยแล้ว นอนดีกว่า
ด้านนอกห้องในความเป็นจริง เสี่ยวเหลียงเช็ดผมพลางเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เขามองต้นหลิวที่อยู่เยื้องกับตัวบ้านด้วยความสงสัย
กิ่งหลิวไหวไปมาไม่หยุด เหมือนถูกลมพัด แต่แปลกที่ตรงที่เขายืนกลับไม่รู้สึกถึงลมเลย
"แปลกจัง ทำไมลมถึงพัดไม่เข้ามา?"
เขาก็ไม่ได้คิดมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะเรื่องที่เจอวันนี้ประหลาดเกินไป จึงไม่มีอารมณ์จะไปสนใจเรื่องทิศทางลมอีก
กลับเข้าห้องนอน เห็นหลี่จื้อหยวนนั่งที่โต๊ะเปิดโคมไฟอ่านหนังสืออยู่
เข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าตัวอักษรในนั้นแน่นขนัดและเล็กมาก อดเป็นห่วงไม่ได้:
"อ่านตัวหนังสือเล็กขนาดนี้ตอนกลางคืน จะสายตาสั้นได้นะ"
"ไม่หรอกครับพี่เหลียง ชินแล้ว แค่กวาดตาก็อ่านออกแล้ว"
"เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?" เสี่ยวเหลียงไม่ได้รู้สึกว่าหลี่จื้อหยวนโกหก เขาขึ้นเตียงไป
เตียงไม้แบบเก่ามีลักษณะเด่นคือกว้างพอ
"จื้อหยวน นายจะนอนด้านนอกหรือด้านใน?"
"ผมไม่เกี่ยงครับ"
"งั้นฉันนอนด้านนอกดีกว่า เด็กๆ นอนด้านในจะได้รู้สึกปลอดภัย"
"ครับ"
"แล้วนายจะนอนกี่โมง?"
"อ่านอีกสักพักแล้วจะไปอาบน้ำนอนครับ"
"ฉันว่านะ เอาไว้เป็นงานอดิเรกก็พอ ควรทุ่มเทใจให้กับการเรียนมากกว่า"
"ครับ ผมรู้"
ปกติแล้ว เสี่ยวเหลียงจะต้องเทศนาอีกหลายประโยค แต่วันนี้เขากลับพูดไม่ออก พอคิดดูดีๆ วันนี้เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากหนังสือไร้สาระที่หลี่จื้อหยวนอ่านนี่แหละ
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงพูดว่า "จื้อหยวนเอ๋ย คิดดูแล้วก็น่าสนใจนะ ก่อนวันก่อน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าโลกนี้จะมีสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ไม่รู้ทำไม ฉันดูไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่กลัว แต่ไม่ได้ตื่นตระหนกมาก"
"ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ พี่เหลียงยังสืบจนรู้บ้านเดิมของเจ้าแม่ตระกูลไป๋ได้เลย จะมีอะไรน่ากลัวอีก"
"จริงด้วย แต่นายว่า ฉันควรอ่านหนังสือแนวนี้บ้างไหม มีอะไรแนะนำไหม?"
หลี่จื้อหยวนลังเลสักครู่ พูดว่า "หนังสือพวกนี้เป็นของทวดผม ผมให้ยืมเองไม่ได้ พี่ต้องถามทวดก่อน"
"งั้นช่างมันเถอะ ทวดนายทำงานสายนี้โดยตรง หนังสือพวกนี้คงเป็นของล้ำค่าของเขา คงไม่ยอมให้คนนอกยืมง่ายๆ หรอก"
ในข้อนี้ เสี่ยวเหลียงคิดผิดไป
หลายปีมานี้ หลี่ซานเจียงแค่เอาหนังสือหลายหีบนี้ไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินให้จับฝุ่น
"จื้อหยวนเอ๋ย เบอร์โทรศัพท์หมู่บ้านของพวกนายเท่าไหร่ เก็บเบอร์ติดต่อกันไว้ไหม?"
หลี่จื้อหยวนบอกเบอร์โทรศัพท์ของที่ทำการหมู่บ้าน แถมบอกเบอร์ร้านขายของชำในหมู่บ้านด้วย
โดยทั่วไป คนในหมู่บ้านที่ต้องการโทรศัพท์จะไปใช้ที่สองแห่งนี้ ถ้ามีโทรศัพท์จากข้างนอกเข้ามาก็จะโทรมาที่นี่ บอกว่าจะหาใครแล้วก็วางสาย เว้นเวลาให้ไปตามคน แล้วค่อยโทรกลับมาใหม่หลังจากผ่านไปสักหนึ่งก้าน
หลี่จื้อหยวนจำเบอร์โทรศัพท์นี้ไว้ก็เพราะหวังว่าแม่จะโทรมาหา และแม่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ไม่เคยโทรมาสักครั้ง
"ช่างเถอะ ฉันจดไว้ดีกว่า" เสี่ยวเหลียงลงจากเตียง เดินไปที่โต๊ะ หยิบกระดาษปากกาจดเบอร์ แล้วถอนหายใจ
แม้หลี่จื้อหยวนจะก้มหน้าอ่านหนังสือตลอด แต่ก็ยังสามารถแบ่งความสนใจได้สองทาง พูดว่า:
"พี่เหลียง พี่กำลังจะพูดว่าสักวันหนึ่ง ทุกบ้านจะมีโทรศัพท์ใช่ไหม?"
"มันต้องมีวันนั้นแน่ นายเชื่อไหม?"
"ผมเชื่อครับ แต่ตอนนี้ดูเหมือนวิทยุติดตามตัวกำลังฮิตนะ"
เมื่อไม่กี่ปีก่อน เครื่อง BP เริ่มเข้ามาในประเทศ และแพร่หลายอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวในเมืองถือเป็นความภาคภูมิใจที่มีเครื่อง BP ห้อยที่เอว
"ฉันกำลังจะซื้อสักเครื่องพอดี งั้นซื้อให้นายด้วยเลยไหม ว่าไง จื้อหยวน?"
หลี่จื้อหยวนส่ายหน้า "ผมไม่ได้ใช้หรอกครับ"
"อ๋อ จริงด้วย" เสี่ยวเหลียงตบหน้าผาก "บอกว่าจะซื้อขนมกับของเล่นให้นาย แต่ดันลืมไปเลย พอฉันกลับโรงเรียนแล้วจะส่งมาให้นะ"
"ขอบคุณพี่เหลียงครับ"
"งั้นฉันนอนก่อนละ" เสี่ยวเหลียงขึ้นเตียง ไม่นานก็หลับไป
หลี่จื้อหยวนอ่านม้วนในมือจบแล้ว จึงไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ เมื่อเดินผ่านหน้าห้องนอนทวด ก็ได้ยินเสียงกรนของทวดดังลอดออกมาจากบานประตูชัดเจน
ดูเหมือนทวดจะหลับสบายดีนะ
กลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง วางแปรงสีฟันอันใหม่ไว้ในอ่างล้างหน้า แล้วปีนขึ้นไปนอนด้านในของเตียง หลับตา
รุ่งเช้า เสี่ยวเหลียงตื่นแต่เช้า
เขามีลักษณะพิเศษคือ นอกจากคุณภาพการนอนจะดีแล้ว ยังใช้เวลานอนน้อยกว่าคนอื่นครึ่งหนึ่ง แต่กลับได้พลังงานกลับคืนมาดีกว่าคนอื่น
ลืมตาขึ้น มองดูหลี่จื้อหยวนที่ยังไม่ตื่นข้างๆ เสี่ยวเหลียงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเด็กคนนี้สอบเข้ามหาวิทยาลัยไห่เหอได้จริงและมาเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกับตนก็คงสนุกดี
ค่อยๆ ลงจากเตียง เห็นแปรงสีฟันใหม่ในอ่างล้างหน้า เขาหยิบอ่างขึ้นมา ตั้งใจจะไปล้างหน้า แต่พอเปิดประตู
"แม่เจ้า!!!"
เสี่ยวเหลียงตกใจจนทำอ่างในมือหล่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดหน้า และแก้วน้ำกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ใครจะไม่ตกใจ เมื่อเปิดประตูตอนเช้าตรู่แล้วพบเด็กผู้หญิงยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตู
หลี่จื้อหยวนถูกปลุกให้ตื่น รีบลงจากเตียง ขณะที่ขยี้ตาข้างหนึ่งก็วิ่งมา ใช้มืออีกข้างจับมือชินหลี่ เร่งเร้า:
"พี่เหลียง รีบไปล้างหน้าเถอะครับ"
"อ้อ ได้"
เสี่ยวเหลียงรีบเก็บของแล้วออกไป เขาไม่รู้ว่าถ้าหลี่จื้อหยวนลงจากเตียงช้ากว่านี้อีกนิด เขาอาจจะบาดเจ็บไปทั้งตัว
เพราะตอนที่หลี่จื้อหยวนจับมือชินหลี่ ร่างของเธอก็สั่นสะท้านแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าเธอกำลังจะลงมือ
ปกติแล้ว ตามนิสัยหลี่จื้อหยวนจะนอนตื่นสายได้ แม้ชินหลี่มาแล้วตัวเองยังไม่ตื่น เธอก็จะนั่งเงียบๆ รอให้เขาตื่น
แต่เพราะเสี่ยวเหลียงนอนที่นี่เมื่อคืน จึงทำให้นิสัยนี้ถูกขัดจังหวะ
และเพราะเสียงร้องของเขา ทำให้ทุกคนในบ้านต้องตื่นมากินอาหารเช้าเร็วขึ้น
ขณะกำลังกินอาหารเช้า ป้าจางจากร้านขายของชำในหมู่บ้านก็ตะโกนข้ามทุ่งนามา "ลุงซานเจียง มีโทรศัพท์!"
"โอ้ มาแล้ว!"
หลี่ซานเจียงคีบผักดองใส่ปาก แล้วถือชามโจ๊กพลางกินไปด้วยเดินออกไปด้วย
มาถึงร้านขายของชำ รอจนสูบบุหรี่หมดหนึ่งมวน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง รับสาย เป็นเฉินเสี่ยวหลิง ภรรยาของน้าเขยอิ้งจื๋อโทรมา
ในโทรศัพท์บอกว่า พบตัวเจ้าของฟาร์มเลี้ยงปลาแล้ว ตายอยู่ในบ้านหญิงม่ายในเมือง หญิงม่ายคนนั้นดูจะรักใคร่เขามาก กำลังเตรียมจัดงานศพให้
แต่ของไม่พบ บอกว่านักร้องคนนั้นก็เคยมา พวกเขาสามคนมักจะอยู่ด้วยกันเสมอ
นักร้องคนนั้นไม่ใช่คนท้องถิ่น ไปสอบถามที่ทำงานของเธอแล้ว บอกว่าเธอหายไปจากงานตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วโดยไม่บอกกล่าว ข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ก็เป็นของปลอม
ตอนนี้สงสัยว่าเครื่องประดับและไหเซรามิกที่หายไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แต่หาตัวเธอได้ยากมาก
ส่วนโจวไห่คงจะได้รับการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ จะได้รับการปล่อยตัวตอนเที่ยง
เฉินเสี่ยวหลิงถามอย่างกังวลว่าสามีภรรยาเธอควรทำอย่างไร เพราะเมื่อคืนเธอฝันร้ายอีกแล้ว
หลี่ซานเจียงอดทนปลอบใจเธอไว้สองสามประโยค แนะนำให้รอจนโจวไห่ออกมาแล้วให้ทั้งคู่ไปจุดธูปที่เจดีย์จื่อหยุนใต้เขาหลาง
เฉินเสี่ยวหลิงถามอย่างลังเลว่าแค่นี้พอหรือ?
หลี่ซานเจียงจึงแนะนำให้พวกเขาไปจุดธูปที่ภูเขาอีกสี่ลูกด้วย คือ ภูเขาจวิน ภูเขาหวงนี่ ภูเขาหม่าอาน และภูเขาเจี้ยน
จริงๆ แล้ว ใช้ได้หรือไม่ได้ หลี่ซานเจียงก็ไม่แน่ใจ เขาแค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว
เมื่อวานเขาก็ตัดขาดกับเจ้าแม่ตระกูลไป๋แล้ว จะดีหรือร้ายก็ตัดแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องลงแรงเพื่อสามีภรรยาโจวไห่อีก ไม่ได้เก็บเงิน ไม่ใช่ญาติสนิท แล้วสิ่งนั้นก็ดุร้ายนัก จะทำไปทำไม?
อีกอย่าง เรื่องนี้เกิดจากความโลภและความโง่เขลาของพวกเขาเอง ตัวเขาก็ทำดีที่สุดแล้ว
คิดถึงการจุดธูปที่ภูเขาทั้งห้า เฉินเสี่ยวหลิงก็รู้สึกมั่นใจขึ้น เธอไม่หยุดขอบคุณหลี่ซานเจียงในโทรศัพท์ แล้วรีบวางสายก่อนจะครบหกสิบวินาที
ป้าจางยิ้มพลางพูดว่า "ลุงซานเจียงตอนนี้งานเยอะจริงๆ ฉันไปซื้อของที่ร้านส่งในสือกั่งยังได้ยินคนคุยถึงเรื่องของลุงเลย"
"ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งหมดหรอก อยู่ไปวันๆ นั่นแหละ เอาบุหรี่ต้าเฉียนเหมินมาให้ผมซองหนึ่ง"
"ได้เลยค่ะ"
นี่เป็นความเข้าใจกันในหมู่บ้าน คุณจะปล่อยให้คนวิ่งมาบอกโทรศัพท์เปล่าๆ ไม่ได้ ถ้ารับโทรศัพท์ก็ต้องซื้อของบ้าง แม้จะแค่ซื้อลูกอมให้เด็กสองเม็ดก็ตาม
เอาบุหรี่ใส่กระเป๋าแล้วเดินกลับบ้าน เดินมาถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านก็เห็นเสี่ยวเหลียงกำลังเดินออกมา
"ทวด ผมกลับโรงเรียนแล้วนะครับ"
"อะไรนะ จะกลับแล้วเหรอ?"
"ครับ ผมลาแค่วันเดียว"
"งั้นระวังตัวด้วยล่ะ"
"ครับ ทวด เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมใหม่"
"ฮึฮึ"
หลี่ซานเจียงหัวเราะแห้งๆ พลางโบกมือ มานอนที่บ้านคืนหนึ่ง กินข้าวเช้าแล้วจะไป ยังไม่ทันสอนพิเศษให้เหลนเลย นักศึกษาพวกนี้ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ
กำลังจะเดินเข้าไป ก็เห็นคนขี่จักรยานมาทางตัวเองแต่ไกล ดูคุ้นตา นึกอยู่สักพัก ถึงนึกออกว่านี่น่าจะเป็นคนตระกูลหนิว ลูกชายคนเล็กของหนิวฟู่
คนผู้นั้นรีบลงจากจักรยาน เข็นวิ่งมาหาหลี่ซานเจียง พูดอย่างเร่งร้อน:
"ลุงซานเจียง ขอร้องล่ะ ช่วยไปดูพ่อผมอีกทีเถอะ พ่อผมเป็นอะไรไปแล้ว"
หลี่ซานเจียงขมวดคิ้ว พูดตรงๆ ว่า "เฮ้อ สุดท้ายก็เกิดขึ้นจนได้ แต่มันไม่เกี่ยวกับฉันแล้วนะ นั่นมันโชคชะตาฟ้าลิขิต"
ตลก ลี่ซานเจียงไม่ใช่คนขายทีวีในห้างสรรพสินค้านี่ จะให้รับประกันหลังการขายได้ยังไง?
"ไม่ได้หรอกครับ ทวด จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่พ่อผมที่เป็นอะไรไป อาสองและป้าก็เป็นด้วย ทุกคนกลัวกันมาก ให้ผมมาขอร้องท่าน"
"ไม่ได้ ไม่ได้หรอก ฉันผิดกฎครั้งหนึ่งก็แย่แล้ว จะให้ผิดอีก ฉันจะเอาชีวิตอยู่ยังไง โลงศพฉันยังไม่ได้ทาสีเลย"
"ทวด จริงๆ นะครับ ขอร้องล่ะ ตอนนี้ที่บ้านหวังพึ่งแต่ท่านแล้ว" พูดพลางล้วงซองแดงจากกระเป๋าออกมา ยัดใส่มือหลี่ซานเจียง
ท่าทีของหลี่ซานเจียงอ่อนลงตามความหนาของซองแดง
"งั้น... ฉันก็แค่ไปดูหน่อย จริงๆ นะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก ทำได้ก็แค่สวดมนต์ให้พวกเจ้าพวกหลานๆ ปกป้องคุ้มครอง ทำความสะอาดฮวงจุ้ย"
"ดีแล้วครับ แค่นี้ก็ดีแล้ว ท่านทำแค่นี้ก็พอ จริงๆ ครับ พวกเราขอบคุณมาก"
จริงๆ แล้ว พวกคนรุ่นหลังไม่ได้ห่วงคนแก่ทั้งสามคนนั้นเท่าไหร่ แต่กลัวว่าหลังจากสามคนนั้นเกิดเรื่องติดๆ กัน รอบต่อไปก็จะถึงคิวพวกเขา
"เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ฉันต้องจัดเตรียมของ บ่ายๆ จะไป"
"ได้ครับ ทวด พวกเรารอท่านที่บ้าน"
รอให้อีกฝ่ายขี่จักรยานไปไกล หลี่ซานเจียงก็เดินตามทางเลียบทุ่งนา พลางแกะซองแดงออกดู หลังจากยืนยันว่าแต่ละใบเป็นธนบัตรมูลค่าสูง ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม
เฮ้อ รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้เงินตั้งแต่เช้า
จริงอยู่ ทำไมจะต้องให้ตัวเองรับงานแย่ๆ ตลอดล่ะ
จริงๆ แล้ว เหมือนที่หลิวจินเซียเคยพูดไว้ อาชีพนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหลอกลวงบ้าง หลายครั้งก็แค่แสดงละครไปตามเรื่อง
แต่ก็ต้องแยกแยะคนด้วย พวกที่ทำเรื่องเลวร้ายมาเอง หลอกเอาเงินพวกเขาก็ถือว่าหลอกไปแล้ว ถือซะว่าช่วยให้พวกเขาเสียทรัพย์เพื่อลดเคราะห์ ก็ถือว่าช่วยเขาแล้ว
กลับถึงบ้าน หลี่ซานเจียงก็ไม่ได้เตรียมอะไร นอนเอกเขนกบนเก้าอี้หวายที่ระเบียงชั้นสอง เปิดวิทยุ เตรียมงีบหลับจนถึงบ่ายค่อยออกไป
กำลังจัดท่านอนอยู่ หลี่ซานเจียงก็เห็นที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือ เด็กสองคนนอนเก้าอี้นอนคนละตัว เรียงข้างกัน
และเก้าอี้นอนนั้นทำมาแปลก ตัวหนึ่งขาดที่วางแขนด้านขวา อีกตัวขาดด้านซ้าย เอามาชนกันพอดีเป็นคู่ ตรงกลางไม่มีอะไรกั้น
"ไอ้หนูนี่ รู้จักมีความสุขกับชีวิตดีนะ"
ใกล้เที่ยง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถอดเสื้อผลักรถเข้ามาที่คันดิน เป็นรุ่นเซิง
เขาอยู่ดูแลตาซานจนใส่ฟันปลอมเสร็จ ดูแลอาการบาดเจ็บอีกสองวัน หลังจากใช้เงินที่ได้จากงานบ้านหนิวซื้อข้าวของเครื่องใช้แล้ว ก็ถูกตาไล่ออกจากบ้าน
หลิวซื่อทักทายอย่างสุภาพ "รุ่นเซิงมาแล้วเหรอ หิวไหม? เดี๋ยวจะทำอาหารแล้ว ฮิฮิ"
รุ่นเซิงพยักหน้า "หิวมากเลยครับ ตั้งแต่วันก่อน ตาก็ไม่ให้ผมกิน บอกให้เก็บท้องไว้มากินที่นี่"
"ดีเลย ฉันทำธูปชุดใหม่ รอกินข้าวแล้วช่วยชิมรสชาติหน่อย ดูว่าถูกไหม"
"ได้ครับ ผมรอ"
รุ่นเซิงพูดพลางเช็ดมุมปาก
(จบบทที่ 21)