บทที่ 21 สิ่งใหม่
อังก์เอียงศีรษะอย่างสงสัย แต่ไนเกรสกลับอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึกด้วยความตกตะลึง
"นักบวชแห่งแสง!? ไม่แปลกใจเลยที่นางจะเข้าใจศาสตร์แห่งศาสนาอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ อะเฮอะ! เจ้านี่แต่งงานกับนักบวชแห่งแสงเชียวหรือ? อะเฮอะ!"
การที่ลิชแต่งงานกับนักบวชแห่งแสงนั้น เสมือนการแช่ตัวในอ่างกรดกำมะถันอย่างไม่เกรงกลัวความสูญเสียใดๆ อังก์เพียงแต่คิดว่าเรื่องนี้ดูเสี่ยงเกินไปไม่น้อย
ลิซ่าผู้เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจจนแทบหลั่งน้ำตา ได้ออกเดินทางไปพร้อมกับความเชื่อมั่นอันศรัทธา ทิ้งให้อังก์เอียงศีรษะอย่างงุนงง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเกินความเข้าใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อ ศรัทธา พลังแห่งเทพ หรือพลังแห่งชีวิต เขารู้เพียงว่าลิซ่าได้ยืมพลังเวทมนตร์ของเขาไป และจะตอบแทนด้วยไฟวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม โดยที่เขาเองก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเพิ่มเติม นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
อังก์มองไปยังกองกระดูกที่เฟลินทิ้งไว้ จากนั้นมองกลับไปยังมอสส์เรืองแสงที่เขาปลูกไว้ เขาโยนหัวกระโหลกวัวลงไปในกองกระดูกอย่างไม่ใยดี แล้วรีบกลับไปดูแลมอสส์เรืองแสงต่อไป สำหรับเขา สิ่งที่เข้าใจได้ง่ายเช่นนี้ย่อมดีกว่าพลังซับซ้อนที่ไม่อาจหยั่งถึง
มอสส์เรืองแสงเติบโตขึ้นอย่างงดงาม เมื่อเทียบกับตอนที่เขาเก็บมันกลับมาจากรอยแยกของหิน ความสูงเพิ่มขึ้นถึงสี่หรือห้าเท่าตัว ดูคล้ายกับพืชตระกูลเฟิร์นที่ขึ้นตามพื้นดิน
หากจะใช้เป็นอาหาร การเติบโตถึงระดับนี้ถือว่าเก็บเกี่ยวได้แล้ว หากปล่อยให้โตไปมากกว่านี้ก็จะแก่เกินไป แต่เห็นได้ชัดว่าอังก์ไม่ได้ปลูกมันเพื่อเป็นอาหาร แต่ใช้เป็นเครื่องมือให้แสงสว่างแทน เขาจัดแบ่งมันออกเป็นแถว ๆ นำดินที่อุดมสมบูรณ์มาถม สร้างแนวดินขึ้นระหว่างแถว แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป เหมือนกับการปลูกในแปลงมอสส์เรืองแสง
ครั้งนี้เขาลองปลูกบนแผ่นหิน ซึ่งแนวดินไม่สามารถถมได้หนาเกินไป แต่เขาไม่ได้กังวล เพราะคิดว่าเมื่อพืชเติบโตขึ้นจนแนวดินไม่สามารถยึดรากไว้ได้ เขาจะย้ายพืชเหล่านั้นไปปลูกที่อื่น
หลังจากจัดการปลูกพืชบนแผ่นหินจนเป็นสวนเล็ก ๆ อังก์เตรียมที่จะรดน้ำ แต่ทันใดนั้นก็คิดถึงเวทมนตร์ชำระล้างขึ้นมา เวทมนตร์นี้สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกได้ ดังนั้นมันอาจใช้ชำระล้างสิ่งปนเปื้อนในดินและน้ำได้เช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อังก์ก็ลงมือทดลองทันที เขาเลือกแผ่นหินแผ่นหนึ่ง ใช้เวทมนตร์ชำระล้างดิน จากนั้นหว่านเมล็ดพันธุ์ และขีดเส้นหนึ่งขีดที่ขอบแผ่นหิน
จากนั้นเขาเลือกแผ่นหินอีกแผ่น ใช้น้ำมนตร์ที่ผ่านการชำระล้างรด และขีดเส้นสองขีดที่ขอบแผ่นหิน
สุดท้าย เขาเลือกแผ่นหินที่สาม ใช้เวทมนตร์ชำระล้างดินก่อน และรดด้วยน้ำมนตร์ที่ผ่านการชำระล้าง แล้วขีดเส้นสามขีดไว้ที่ขอบแผ่นหิน
ด้วยวิธีนี้ เขาจึงสร้างกลุ่มทดลองขึ้นเพื่อเปรียบเทียบว่าแผ่นหินใดจะให้ผลผลิตที่เติบโตได้ดีที่สุด
นิสัยนี้ของอังก์เริ่มต้นตั้งแต่สมัยเขาทดลองใช้ผงกระดูกในไร่นา ในปีแรกเขาใช้กระดูกดิบ ทำให้พืชเติบโตดีขึ้น ในปีถัดมาเปลี่ยนเป็นผงกระดูก พืชก็เติบโตดียิ่งขึ้น แต่เมื่อปีที่สามเขาใส่ผงกระดูกมากเกินไป พืชทั้งหมดกลับแห้งเหี่ยว
อังก์ใช้เวลาหลายเดือนคิดหาวิธีแก้ไข จนในที่สุดเขาตัดสินใจแบ่งพื้นที่ห้าสิบไร่ใส่ผงกระดูกในสัดส่วนที่ต่างกัน เพื่อหาสัดส่วนที่ดีที่สุด และใช้วิธีนี้ต่อเนื่องมาตลอด
ในที่สุด เขาก็นำสิ่งที่หาได้จากพระราชวังสุขคติ เช่น ผงกระดูก เถ้าถ่าน และมูลนก มาทดลองเพิ่มเติม แม้ว่ามูลนกจะมีปริมาณน้อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถหาสัดส่วนที่เหมาะสมได้ชัดเจน แต่เขาก็พยายามบันทึกผลลัพธ์ไว้อย่างเป็นระเบียบ
อังก์ตั้งกลุ่มทดลองสามชุดบนแผ่นหิน รวมทั้งหมดเก้าแผ่นหิน ก่อนจะกลับไปนำน้ำมาใช้ ระหว่างที่เดินผ่านกองกระดูก เสียงกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยวพลันดังขึ้น
จากกองกระดูกนั้น โครงกระดูกขนาดใหญ่ที่มีหัวกะโหลกวัวค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ดวงจิตที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นสถิตอยู่ในหัวกะโหลกนั้น ซึ่งเป็นหัวกะโหลกที่อังก์โยนทิ้งลงไปก่อนหน้านี้
การที่ต้องถูกแขวนไว้บนผนังเป็นเวลาหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นดวงจิตใดก็คงไม่ต่างจากหัววัวนี้ที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ด้วยความโชคร้าย มันไม่มีมือหรือเท้าให้ช่วยตัวเองหลุดพ้นจากผนังได้
ในบรรดากองกระดูกที่เฟลินส่งมา มีโครงกระดูกของมิโนทอร์ครบชุดอยู่พอดี คาดว่าเฟลินน่าจะเห็นอังก์ถือหัววัวอยู่จึงจงใจส่งมาให้ มันใช้เวลาสักพักในการเชื่อมสัมพันธ์กับกระดูกเหล่านั้น และในที่สุดโครงกระดูกหัววัวก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ มันพร้อมที่จะเหยียบย่ำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า!
โครงกระดูกหัววัวที่เต็มไปด้วยความโกรธลุกขึ้นยืน มันก้าวแรกไปข้างหน้า มันเห็นอังก์อยู่เบื้องหน้า มันคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด ก้มศีรษะลงชี้เขาวัวอันแหลมคมตรงไปที่อังก์ มันพุ่งชน และมัน…ล้มลง!
ซอมบี้น้อยพุ่งออกมาจากด้านข้าง ชนเข้าที่เข่าของหัววัวอย่างจัง ทำให้กระดูกขาหลุดออกจากกัน ร่างโครงกระดูกทั้งตัวล้มลงกับพื้นเสียงดังสนั่น กระดูกขาที่หลุดออกไปยังถูกซอมบี้น้อยคว้าไว้ในมืออีกด้วย
หัววัวโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยความโกรธพยายามลุกขึ้นใหม่ แต่ทันทีที่มันเงยหน้า ก็ถูกซอมบี้น้อยใช้กระดูกขาของมันเองฟาดเข้าที่ใบหน้า ฟาดตรงจุดที่มันเคยถูกฟันโดยโครงกระดูกสีเทามาก่อน
ตำแหน่งดังกล่าวนับเป็นจุดอ่อนสำคัญของโครงกระดูก เมื่อโดนกระแทกเข้าไป ทำให้ดวงจิตของมันสั่นสะเทือนอย่างหนัก คล้ายกับมนุษย์ที่ได้รับการกระแทกจนสมองสะเทือน หลังจากที่ดวงจิตของหัววัวส่งเสียงหวีดหวิวอยู่นาน กว่าจะฟื้นตัวได้ ก็โดนกระดูกในมือซอมบี้น้อยฟาดซ้ำอีกครั้ง ส่งผลให้มันสั่นสะเทือนหนักขึ้นอีก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง จนท้ายที่สุด โครงกระดูกหัววัวก็เรียนรู้ได้ว่าการต่อสู้ต่อไปนั้นไร้ประโยชน์ มันจึงกอดกะโหลกของตัวเองและนอนแนบพื้นโดยไม่ยอมลุกขึ้นอีก
ซอมบี้น้อยจับขาที่เหลืออยู่ของมันลากออกไป หากไม่ใช่เพราะอังก์ห้ามไม่ให้ซอมบี้น้อยฆ่าโครงกระดูกเหล่านี้อย่างไร้เหตุผล เกรงว่าหัววัวตัวนี้อาจถูกหักกระดูกคอ ดวงจิตแห่งเปลวเพลิงถูกควักออกจากเบ้าตา บีบให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วถูกกลืนกินไปเสียแล้ว
จนกระทั่งโครงกระดูกหัววัวถูกลากออกไป อังก์ถึงได้ยืดตัวตรงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเตรียมพร้อมที่จะ "ร้อง" ออกไปแล้ว ด้วยพลังดวงจิตที่เขามีในตอนนี้ หากเขาปล่อยเสียงกรีดร้องแห่งดวงจิตออกไป ดวงจิตของโครงกระดูกหัววัวนี้คงแตกสลายทันที ดังนั้นซอมบี้น้อยจึงนับว่าได้ช่วยชีวิตหัววัวโครงกระดูกนี้ไว้โดยปริยาย
เช้าวันถัดมา อังก์สังเกตว่าแผ่นหินสามแผ่นที่รดด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว มอสส์เรืองแสงบนแผ่นหินเหล่านั้นดูจะส่องแสงสว่างขึ้นเล็กน้อย แม้จะมองไม่ออกหากดูเพียงแผ่นเดียว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแผ่นหินอื่นที่ไม่ได้รดน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
สำหรับแผ่นหินสามแผ่นที่ชำระล้างดินอย่างเดียวโดยไม่รดน้ำศักดิ์สิทธิ์ มอสส์เรืองแสงกลับดูเหี่ยวเฉาลงไปเล็กน้อย
ส่วนแผ่นหินอีกสามแผ่นที่ทั้งชำระล้างดินและรดด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม้มอสส์เรืองแสงจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กลับปรากฏสิ่งใหม่ที่เติบโตขึ้นจากดินแทน