บทที่ 19 หา? แสงศักดิ์สิทธิ์!
โรคระบาดนี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่าหกสิบชีวิต ในเมืองใต้ดินที่มีประชากรเพียงห้าพันกว่าคน การสูญเสียครั้งนี้ถือว่าใหญ่หลวงยิ่งนัก และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า จำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงสุดอย่างแน่นอน
หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ อาจมีคนเสียชีวิตถึงพันหรือสองพันคน เฟลินจึงกระวนกระวายอย่างหนัก แต่ก็ไร้หนทาง เมืองใต้ดินมีนักเวทรักษาเพียงน้อยนิด ไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ต้องปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเขตกักกัน หรือหากออกไปข้างนอก ก็จะถูกโครงกระดูกสังหาร
เสียชีวิตในบ้านยังพอทำเนา แต่การออกไปข้างนอกนั้นยอมไม่ได้ แม้เฟลินจะทนดูไม่ได้ แต่ก็เข้าใจถึงความสำคัญ หากต้องเสียคนไปพันหรือสองพันคน เขาก็ยอม ขอเพียงสามารถรักษาชีวิตอีกสามหรือสี่พันคนที่เหลือไว้ได้
อย่างไรก็ตาม เขารับรู้ถึงความผิดปกติในพื้นที่แห่งหนึ่ง โครงกระดูกของเขาเหมือนจะหวาดกลัว บ่งบอกว่ามีคนหนีออกไป และวิ่งเข้าไปในวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์ แถมยังทำให้เหล่าโครงกระดูกของเขาล่าถอยด้วยความกลัว
เฟลินรีบรุดไปทันที ไม่ใช่เพื่อกล่าวโทษ แต่เพื่อกล่าวคำขอโทษ ผู้ป่วยที่หนีเข้าไปในวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์ไม่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ในนั้น โรคระบาดจึงไม่สามารถแพร่กระจายได้ แต่ที่เขากังวลคือการที่ผู้พิทักษ์ซึ่งไม่ค่อยแสดงอารมณ์ กล่าวให้โครงกระดูกหยุดการกระทำ เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านผู้พิทักษ์โกรธ?
เมื่อไปถึง เขาไม่พบใครนอกจากผู้ป่วยที่หลบหนี ซึ่งตอนนี้ดูสดใสราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน เฟลินตกตะลึง และคิดไปได้อย่างเดียวว่า ท่านผู้พิทักษ์ได้รักษาผู้ป่วยจากโรคระบาดปีศาจแล้ว
เฟลินรู้สึกเสียใจยิ่งนัก ที่เขาไม่คิดขอความช่วยเหลือจากท่านผู้พิทักษ์เสียแต่แรก หากมีใครสามารถหยุดโรคระบาดครั้งนี้ได้ คนผู้นั้นก็คือท่านผู้พิทักษ์
ในอดีต เมื่อเกิดโรคระบาดในเมืองใต้ดิน แนวปฏิบัติคือการกักกันผู้ป่วย เฟลินจึงดำเนินการตามนั้นทันที แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะมีท่านผู้พิทักษ์อยู่
หลังจากรอคอยอย่างยาวนาน ในที่สุดอังก์ก็กลับมาพร้อมกะโหลกหัววัว
“เอ่อ ท่านผู้พิทักษ์ไปขุดสุสานมา? ข้าสามารถจัดส่งโครงกระดูกดี ๆ ให้ท่านได้” เฟลินพูดอย่างประจบ พร้อมรีบกล่าวต่อว่า “ท่านผู้พิทักษ์ ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้โปรดช่วยเมืองใต้ดินด้วยเถิด ข้ายินดีซื้อยารักษาเช่นเดียวกับที่รักษาเด็กคนนั้น”
ขณะพูด เฟลินยื่นคริสตัลวิญญาณทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ในช่วงนี้ จำนวนประมาณสี่สิบกว่าก้อน
นับตั้งแต่รู้ว่าคริสตัลวิญญาณสามารถใช้แลกอาหารจากอังก์ได้ เฟลินก็มุ่งมั่นรวบรวมทุกวิถีทาง แม้กระทั่งค้นบ้านของตนและสิ่งมีชีวิตอันเดดขั้นสูงในเมืองใต้ดิน คริสตัลวิญญาณต้องใช้สิ่งมีชีวิตอันเดดที่มีสติปัญญาสูงเป็นผู้สร้างขึ้น โดยต้องยอมเสียพลังดวงจิตของตนเอง กว่าจะสร้างได้หนึ่งก้อนต้องพักฟื้นถึงเจ็ดหรือแปดวัน และหากสร้างมากกว่านั้น พลังดวงจิตจะลดลงอย่างมากจนต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานเป็นเดือน
หากการแลกคริสตัลวิญญาณนั้นได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่เฟลินใช้คริสตัลเหล่านี้แลกอาหารที่สิ่งมีชีวิตอันเดดไม่จำเป็นต้องใช้ ทำให้พวกมันไม่พอใจ
เฟลินต้องพยายามพูดให้พวกมันเข้าใจ เช่นกล่าวว่าประชากรคือรากฐานของสังคม คนเป็นคือแหล่งผลิต หากมนุษย์ตายหมด เหลือเพียงสิ่งมีชีวิตอันเดด เมืองใต้ดินจะกลายเป็นสุสานในที่สุด ในที่สุดเขาก็ทำให้พวกมันยอมรับได้
หลังจากรวบรวมเงินเพื่อซื้ออาหารมาได้ ก็ต้องมาเจอโรคระบาดอีก และเมื่อรู้ว่าท่านผู้พิทักษ์มีวิธีรักษาโรคระบาด เฟลินไม่ลังเลเลยว่าเขาต้องเสียสละอีกครั้ง กฎการแลกเปลี่ยนเท่าเทียมของท่านผู้พิทักษ์เป็นที่รู้กันดี หากอาหารยังแพงขนาดนั้น ของที่ช่วยชีวิตคนย่อมแพงยิ่งกว่า
“ไม่ต้องใช้เงิน” อังก์ปฏิเสธคริสตัลวิญญาณ พร้อมหยิบถังน้ำสำหรับรดมอสส์ออกมา แล้วร่ายเวทมนตร์ชำระล้างลงไป
“ไม่ต้องใช้เงิน? อะไรนะ!? แสง…แสงศักดิ์สิทธิ์!” เฟลินอุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นแสงจากเวทมนตร์ในมือของอังก์
อังก์ไม่สนใจเขา เมื่อชำระล้างน้ำเสร็จจึงชี้ไปที่ถังน้ำ “นี่ รักษาโรคระบาดปีศาจ”
เฟลินชี้ไปที่ถังน้ำ “แสงศักดิ์สิทธิ์” แล้วชี้ไปที่มือของอังก์ “แสงศักดิ์สิทธิ์?” จากนั้นหันไปมองอังก์อีกครั้ง “แสงศักดิ์สิทธิ์!”
แสงศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างเงาในจิตใจของสิ่งมีชีวิตอันเดด แม้แต่ลิชที่มีอายุกว่าพันปีอย่างเฟลินยังถูกทำให้ตกใจจนพูดได้เพียงคำว่า “แสงศักดิ์สิทธิ์”
อังก์เข้าใจผิดคิดว่าเฟลินสนใจแสงศักดิ์สิทธิ์ จึงเปิดฝ่ามือเผยให้เห็นเวทมนตร์ชำระล้างที่ส่องแสงเจิดจ้า
เฟลินรีบยกมือขึ้นป้องกันตัว แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าแสงนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายหรือทรมานเหมือนเคย
ในอดีต เคยมีตัวแทนจากวิหารแห่งแสงมายังสถานีส่งถ่ายระหว่างโลก พวกเขามักมีท่าทีหยิ่งยโส แต่เมื่ออยู่ในดินแดนของจักรพรรดิกลับต้องระมัดระวังตัว ทว่ากลิ่นอายของพวกเขายังคงทำให้ผู้คนรู้สึกไม่พอใจ
แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ในมือของอังก์กลับไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เฟลินรู้สึกไม่พอใจ
เฟลินลดมือลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลองเข้าใกล้แสงนั้น และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้ปลายนิ้วแตะเข้าไปในแสงนั้น
เมื่อมองดูสิ่งสกปรกและคราบบนปลายนิ้วทั้งหมดถูกชำระล้างจนหมดสิ้น เฟลินถอนนิ้วออกมาดู พบว่านิ้วขาวสะอาดราวกับเพิ่งปอกเปลือกไข่ต้มจนเงาวาว ซึ่งสีตัดกับส่วนอื่นของมืออย่างชัดเจน
เฟลินรู้สึกกระดากเล็กน้อย เขารีบซ่อนมือกลับเข้าไปในเสื้อคลุมของตน น่าอายยิ่งนัก สำหรับลิช การอาบน้ำเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง การโดนน้ำทำให้เนื้อหนังเน่าเปื่อย แม้จะใช้เวทมนตร์ทำความสะอาดได้ แต่ก็เพียงลบคราบน้ำที่ติดอยู่บนผิวชั้นนอก ส่วนที่ซึมเข้าสู่เซลล์นั้นไม่อาจทำให้สะอาดได้ วิธีเดียวคือปล่อยให้แห้งสนิท
โอ้ หรืออีกวิธีหนึ่งที่ง่ายยิ่งกว่า คือการฝังตัวเองลงในดินและพักฟื้น
แล้วลิชปกติทำความสะอาดร่างกายอย่างไร? พวกเขาทำเหมือนการดูแลรักษาหนังสัตว์ เริ่มจากปัดฝุ่น เช็ดทำความสะอาด แล้วลงน้ำมันเล็กน้อย น้ำมันแกะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการบำรุงรักษา
แต่ไม่ว่าวิธีทำความสะอาดและดูแลรักษาจะพิถีพิถันเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ร่างกายสะอาดหมดจดได้ โดยเฉพาะสำหรับลิชที่มีอายุกว่าพันปี คราบ‘เก่า’ที่สะสมมานานนั้นหนาเสียจนแทบจะมองไม่เห็นสีดั้งเดิมของร่างกาย
แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว เวทมนตร์ชำระล้างเพียงหนึ่งบทล้างคราบสะสมเป็นพันปีออกจนหมด เฟลินจึงเพิ่งรู้ว่าตนเองสกปรกเพียงใด เขาอับอายอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องใช้เงิน ขจัดโรคระบาดได้แล้ว ให้คนมาที่นี่” อังก์ชี้ไปที่เปลวไฟแห่งวิญญาณบนแท่นบูชา เพียงพลังวิญญาณที่ศรัทธาชนถวายให้ทุกวันก็ทำให้อังก์ไม่สนใจคริสตัลวิญญาณเล็กน้อยเหล่านั้นแล้ว
เฟลินกล่าวคำขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วนก่อนจะจากไป เดิมทีเขาเพียงคิดลองเสี่ยงดู แต่ผลที่ได้รับกลับทำให้เขายินดีจนเกินคาด
แม้ว่าท่านผู้พิทักษ์จะไม่ต้องการค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจนิ่งเฉย เมื่อคิดถึงกะโหลกหัววัวที่อังก์ถือกลับมา คงไม่ใช่เพื่อนำไปต้มน้ำซุปแน่ แต่คงมีวัตถุประสงค์อื่น
ดังนั้นเฟลินจึงสั่งให้ผู้คนขนโครงกระดูกล้ำค่าทั้งหมดในคอลเลกชันของเขามายังวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์
ในขณะที่อังก์กำลังงงงวยต่อกองโครงกระดูกที่ไม่รู้แหล่งที่มา จู่ ๆ ลิชหญิงผู้สะอาดสะอ้านและงดงามก็ลากเฟลินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
เมื่อเธอยืนยันว่าอังก์คือเป้าหมายที่เธอตามหาอยู่ เธอก็ดึงตัวเฟลินมาด้านหน้า ชี้ไปที่นิ้วที่มีสีแตกต่างจากส่วนอื่นอย่างชัดเจน พร้อมถามอย่างเร่งด่วนว่า “ท่าน...ท่านทำให้มันสะอาดและสวยงามได้อย่างไร? ท่านสอนข้าได้หรือไม่? ข้ายินดีมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี”
ทันทีที่เธอพูดจบ เปลวไฟแห่งวิญญาณขนาดมหึมาก็พุ่งออกมาเข้าสู่ร่างของอังก์ และทิ้งสัญลักษณ์ประหลาดอีกหนึ่งอันไว้บนดวงจิตของเขา