บทที่ 17 ผู้ศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “โฮ้ว ๆ” นั้นมาจากซอมบี้น้อย มันพุ่งชนโครงกระดูกจนกระเด็นกระจายไปคนละทิศคนละทาง ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกตัวอื่น แต่ทันใดนั้นอังก์ก็ร้อง “โฮ้ว” ออกมา ทำให้มันต้องถอยกลับด้วยความไม่พอใจ
อังก์มองซอมบี้น้อยด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนี้ ความเร็วของมันเหนือกว่าซอมบี้ธรรมดา โครงกระดูก และแม้แต่มนุษย์ที่วิ่งเต็มกำลัง
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซอมบี้น้อยจึงสามารถก่อกวนโครงกระดูกสีเทาได้โดยไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยความเร็วนี้ ไม่มีอะไรในทุ่งรกร้างที่จะตามมันทัน
ส่วนโครงกระดูกที่ถูกชนกระเด็นกระจายเหลือเพียงแขนข้างเดียว มันมองอังก์ด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับพยายามหยิบชิ้นส่วนของตัวเองขึ้นมาประกอบ เริ่มจากแขนข้างหนึ่ง ตามด้วยแขนอีกข้าง ใช้สองแขนยันตัวเองขึ้น ต่อด้วยขาทั้งสองข้าง และเมื่อประกอบร่างเสร็จ มันก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับเพื่อนร่วมทางของมัน พอได้ยินเสียงร้องของอังก์ก็วิ่งหนีไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง
“รอดแล้ว” เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่พลังของเขาหมดลง ทำให้เขาไม่สามารถอุ้มน้องสาวได้อีกต่อไป ทั้งสองกลิ้งลงไปบนพื้น
เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เด็กชายรีบคลานเข่าไปหา พยายามประคองน้องสาวขึ้นมา สายตาของเขามองไปที่อังก์ ซอมบี้น้อย และโครงกระดูกสีเงิน เขาไม่มั่นใจในตัวใครเลย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอุ้มน้องสาวไปยังแท่นบูชาแล้วก้มกราบอย่างหมดหวัง พร้อมกับการก้มกราบ เปลวไฟแห่งดวงจิตของเขาพุ่งเข้าสู่เปลวไฟแห่งวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ราวกับไม่มีวันหมดสิ้น
อังก์มองเด็กชายอย่างงุนงงจนกระทั่งไนเกรสทนไม่ไหว “ช่วยพวกเขาเถอะ! เจ้าจะยืนเฉยอยู่ทำไม? เด็กคนนี้คือผู้ศรัทธาที่คลั่งไคล้ หากเจ้าไม่ช่วย ความศรัทธาอันแรงกล้าของเขาจะกลายเป็นความเคียดแค้น และเขาจะกลายเป็นผู้ศรัทธาที่หลงผิด!”
อังก์เอียงศีรษะและถามว่า “ช่วยอย่างไร?” เขาเป็นเพียงโครงกระดูกที่ปลูกผัก การให้อาหารคนยังเคยทำให้คนติดคอเลย เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ดูไม่ได้หิว เขาไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ไนเกรสถอนหายใจ “ข้าช่างซวยจริง ๆ ที่มาเจอเจ้า”
ตั้งแต่เจออังก์ ไนเกรสต้องทำลายกฎเกณฑ์ของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาถูกผนึกไว้และหมดหวังกับชีวิต แต่สาเหตุที่ใหญ่กว่านั้นคืออังก์ช่างทำตัวน่าหงุดหงิด เขามักจะทำในสิ่งตรงกันข้ามกับที่ผู้คนคาดหวัง หากไม่กำกับดูแล เขาก็พร้อมจะปล่อยให้ทุกอย่างเลวร้ายที่สุด
ไนเกรสบ่นพึมพำในใจ “ผู้ศรัทธาผู้คลั่งไคล้ ข้าไม่เคยพบมาก่อน แต่เจ้านี่โชคดีจริง!” เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “นี่คือโรคระบาดปีศาจ ทำให้ผู้ติดเชื้ออาเจียนและท้องเสียจนตายด้วยการขาดน้ำ การรักษาไม่ยาก เจ้ารู้จักใครที่นี่หรือไม่? ขอแค่เป็นนักเวทที่ไม่ใช่แค่เด็กฝึกหัดพึ่งเรียนรู้เวทมนตร์ก็พอ”
อังก์ตอบว่า “ข้ารู้เวทมนตร์”
ไนเกรสหัวเราะเยาะ “เจ้า? โครงกระดูกจะรู้เวทมนตร์? อย่าล้อเล่น ไปหาคนมาเถอะ!”
อังก์กล่าวด้วยความจริงจัง “ข้ารู้สี่คาถา เรียกฝน เผาตอซัง ผสมเกสร และพรวนดิน”
พร้อมกับคำพูดนั้น เขาแสดงคาถา “เรียกฝน” โดยยื่นมือออกไปเหนือพื้นที่เล็ก ๆ ตรงหน้า องค์ประกอบในอากาศเริ่มก่อตัว และในไม่ช้าน้ำก็โปรยปรายลงมาเหมือนฝนตกในพื้นที่เล็ก ๆ
ไนเกรสถึงกับอึ้ง “นี่มันคาถาอะไร? ทำไมทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการปลูกผัก? อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดค้นเอง?”
อังก์พยักหน้า เขาคิดค้นเองจริง ๆ ในฐานะโครงกระดูกที่ปลูกผัก การรดน้ำเป็นงานประจำ แต่ก่อนเขาต้องไปตักน้ำจากบ่อน้ำเพื่อรดแปลงเกษตร
จนกระทั่งหลังจากดวงจิตแห่งความเป็นนิรันดร์หายไปห้าปี บ่อน้ำใกล้ฟาร์มก็แห้งขอด
อังก์มองดูพืชผลที่เหี่ยวเฉาด้วยความสิ้นหวังและพยายามหาวิธีแก้ปัญหา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาสังเกตเห็นความชื้นในอากาศและตัดสินใจดึง “น้ำ” จากอากาศมารดแปลงเกษตร
ในปีแรก เขาสามารถสร้างน้ำเพียงพอสำหรับรดพืชไม่กี่ต้นเท่านั้น ปีที่สองเขาพัฒนาขึ้นและสามารถรดน้ำหนึ่งแถวได้ และในปีที่สามจนถึงปีที่สามร้อยยี่สิบ เขาสามารถใช้คาถา “เรียกฝน” ได้ต่อเนื่องจนทั่วทั้งฟาร์ม
ด้วยประสบการณ์จากคาถา “เรียกฝน” อังก์ยังคิดค้นคาถา “พรวนดิน” เพื่อให้การเตรียมแปลงเกษตรง่ายขึ้น คาถา “ผสมเกสร” สำหรับพื้นที่ที่แมลงน้อย และคาถา “เผาตอซัง” เพื่อปรับปรุงคุณภาพดิน
เมื่อพูดถึงการทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ อังก์สังเกตว่าในบริเวณที่มีโครงกระดูกล้มตายลง หญ้าขึ้นหนาแน่นกว่าที่อื่น เขาจึงลองโยนกระดูกที่แตกหักลงในแปลงเกษตร ปรากฏว่าที่ดินที่มีโครงกระดูกย่อยสลายจะอุดมสมบูรณ์กว่าที่ดินที่ไม่มี และหากบดกระดูกให้เป็นผงแล้วโรย ผลลัพธ์จะยิ่งดีกว่าเดิม
ไม่มีที่ไหนที่มีกระดูกหนาแน่นเท่ากับพระราชวังสุขคติอีกแล้ว กระดูกที่เสื่อมโทรมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แค่เก็บบางส่วนกลับมาก็เพียงพอให้เขาใช้ได้เป็นเวลานาน
นี่คือเหตุผลที่อังก์สามารถใช้เวทมนตร์ได้
“เจ้าใช้เวทมนตร์ได้จริง ๆ เพียงแต่พลังเวทย์ของเจ้ามีน้อยมาก ระดับน่าจะเทียบเท่ากับนักเวทขั้นแรกเท่านั้น แต่ทำไมเจ้าถึงสามารถใช้เวทมนตร์ได้ต่อเนื่องกัน? ปกติพลังเวทย์เพียงน้อยนิดจะหมดไปทันทีหลังจากร่ายเวทย์ครั้งเดียว ลองอีกครั้งสิ” ไนเกรสพูดด้วยความงุนงง
อังก์ทำตามคำแนะนำของไนเกรส เขาใช้เวทย์เรียกฝนหนึ่งครั้ง รอให้หยดน้ำตกลงพื้น จากนั้นเขาก็ใช้เวทย์เรียกฝนอีกครั้ง กระบวนการนี้ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนว่ามือของเขากลายเป็นฝักบัวที่พ่นน้ำอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด
“คำอธิบายเดียวคือ เจ้ามีจิตวิญญาณที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำให้พลังเวทย์ของเจ้าฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” ไนเกรสคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง พลังเวทย์สามารถรับรู้ได้ แต่จิตวิญญาณนั้นไม่สามารถรับรู้โดยตรงได้ สิ่งที่ทำให้คนดูเหมือนมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งมักเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่จะดูออกได้อย่างไรว่าโครงกระดูกมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง?
“ในเมื่อเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ งั้นลองทำเช่นนี้” ไนเกรสกล่าวพร้อมให้คำแนะนำ “หาน้ำสักแก้วมา นี่คือคาถาชำระล้าง มันเป็นเวทมนตร์แสงระดับหนึ่งที่เรียบง่าย น้ำที่ผ่านการชำระล้างจะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถขจัดโรคระบาดปีศาจได้”
ไนเกรสพูดไปพลาง หัวเราะไปพลาง ราวกับคิดถึงเรื่องที่สนุก “ฮะ ฮะ ถ้าพวกลัทธิแสงสว่างในโบสถ์รู้ว่าโครงกระดูกเรียนรู้คาถาชำระล้างของพวกมัน ข้าละอยากเห็นจริง ๆ ว่าพวกมันจะทำหน้าอย่างไร”