บทที่ 13 เชื่อในความเป็นนิรันดร์หรือไม่?
ควรจะตอบว่า “มี” หรือ “ไม่มี” กันแน่? หากบอกว่าไม่มี แล้วผู้พิทักษ์จะไม่พอใจหรือไม่ที่เมืองใต้ดินอันกว้างใหญ่เช่นนี้กลับไม่มีผู้ศรัทธาในความเป็นนิรันดร์เลย? แต่ถ้าบอกว่ามี วิหารทั้งสองแห่งที่เคยมีอยู่ หนึ่งแห่งก็รกร้างจนกลายเป็นที่เก็บโลงศพ อีกแห่งก็อยู่ในสภาพกึ่งตายกึ่งเป็น มีเพียงโครงกระดูกเงินตัวเดียวเฝ้าอยู่ ไม่มีแม้แต่ผู้ประกอบพิธี จะเรียกว่าวิหารได้อย่างไร?
หากผู้พิทักษ์เห็นสภาพนี้ เขาจะคิดหรือไม่ว่าเขาขาดความตั้งใจ? ปล่อยให้ศรัทธาในความเป็นนิรันดร์เสื่อมถอยจนถึงขั้นนี้?
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาไม่ตั้งใจ ความพิเศษของวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์คือผู้ศรัทธาต้องเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งมีชีวิตอันเดดนั้นมีดวงจิตที่ถูกตราประทับไว้อยู่แล้ว พวกมันไม่ต้องการวิหารเลยด้วยซ้ำ
นับแต่สถานีส่งถ่ายระหว่างโลกถูกปิดลง จักรวรรดิอันเดดไม่ได้ปรากฏตัวบนโลกนี้มากว่าพันปี แม้แต่ศรัทธาที่แข็งแกร่งที่สุดก็เสื่อมถอยลงตามกาลเวลาและหายไปในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น วิหารแห่งความเป็นนิรันดร์ในอดีตมีท่าทีปล่อยปละละเลย ศรัทธาในวิหารไม่มีรางวัลสำหรับผู้ศรัทธา และผู้ลบหลู่ก็ไม่มีบทลงโทษ ตราบใดที่ไม่ยืนด่าหน้าวิหารหรือถ่มน้ำลายใส่ จะด่าว่า “ศรัทธาในความเป็นนิรันดร์คือความโง่เขลา” จากที่ไกล ๆ ก็ไม่มีใครสนใจ
แน่นอนว่าการด่าจักรพรรดินั้นไม่ได้เด็ดขาด ใครกล้าด่าจักรพรรดิอันเดดผู้ครอบครองดวงจิตและความเป็นนิรันดร์ ต่อให้หนีไปมิติอื่นก็ยังมีคนตามล่า
ท่าทีปล่อยวางเช่นนี้ต่างจากหุบเขาอสูรโดยสิ้นเชิง ปีศาจในหุบเขาอสูรชอบล่อลวงจิตใจมนุษย์ ผู้ศรัทธาสามารถแลกเปลี่ยนได้ทั้งเงินทอง หญิงงาม อำนาจ และพลัง
เมื่อพันปีก่อน เฟลินเคยได้ยินเกี่ยวกับศาสนาที่เรียกว่า “แสงสว่าง” ศาสนานี้มีวิธีล่อลวงจิตใจที่ร้ายกาจกว่า แต่หลังจากสถานีส่งถ่ายระหว่างโลกถูกปิดลง พวกเขาก็หายไปจากโลกนี้เช่นกัน
ในช่วงเวลาชั่วพริบตา เฟลินตัดสินใจบอกว่า “มี” เพราะวิหารยังคงมีอยู่ แม้จะเสื่อมโทรม แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา หากโกหกผู้พิทักษ์ย่อมถือเป็นบาปใหญ่
“มี ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีวิหารแห่งหนึ่ง” เฟลินส่งข้อความถึงตำแหน่งของวิหารด้วยจิต
ข้อดีของสิ่งมีชีวิตอันเดดคือสามารถสื่อสารกันโดยตรงผ่านชั้นดวงจิต สิ่งที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดสามารถส่งผ่านด้วยความคิดได้ในทันที
หลังจากรับตำแหน่งที่ตั้ง อังก์ก็นำซอมบี้น้อยมุ่งหน้าสู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ตำแหน่งของอังก์ก็อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เป็นส่วนของถ้ำที่แยกออกมา ซึ่งแทบไม่มีใครย่างกราย ส่วนวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ลาดเอียงที่เป็นส่วนหนึ่งของเขตเมืองหลัก
เมื่ออังก์มาถึงบริเวณนั้น เขาพบว่าที่นั่นเงียบสงัด ไร้วี่แววของวิญญาณแม้แต่ดวงเดียว พื้นดินปกคลุมไปด้วยมอสส์ ทำให้ลื่นและยากต่อการเดินทาง
เพียงเดินผ่านเส้นทางด้านหน้าเข้าสู่ขอบเขตของวิหาร พื้นที่กลับปราศจากมอสส์และสิ่งสกปรก มีร่องรอยของการทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้าน
จากระยะไกลมีเสียงกวาดพื้นดังแว่วมา
อังก์เดินตามเสียงไปจนถึงมุมหนึ่ง เขาพบโครงกระดูกสีเงินถือไม้กวาดอยู่ มันกำลังกวาดพื้นไปมา เมื่อรับรู้ถึงการมาถึงของอังก์ โครงกระดูกเงินหันเบ้าตากลวง ๆ มามองในทิศทางนั้น
ซอมบี้น้อยตัวแข็งทื่อก่อนจะซุกตัวไปอยู่ข้างหลังอังก์ในทันที
ตามความจริงแล้ว โครงกระดูกสีเงินตัวนี้อาจเป็นโครงกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดที่อังก์เคยพบในพันปี ดวงจิตของมันมีความแข็งแกร่งรองจากเฟลินเท่านั้น มันมีพลังในการกดข่มสิ่งมีชีวิตอันเดดระดับต่ำ
แต่อังก์กลับไม่รู้สึกกดดันเลย แม้แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเฟลินในครั้งก่อนก็เช่นกัน อังก์ไม่เคยรู้ว่าตนเองอยู่ในระดับใด เพราะโครงกระดูกสีเทาของเขาไม่ได้ถูกฝึกฝนมาอย่างจริงจัง แต่เก็บมาจากพระราชวังสุขคติ
ถ้าโครงกระดูกสีเงินไม่สามารถกดดันเขาได้ แสดงว่าดวงจิตของมันไม่ได้แข็งแกร่งกว่าของเขามากนัก
โครงกระดูกสีเงินมองดูอังก์ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากวาดพื้นต่อไป งานเดิมที่มันทำซ้ำมานับพันปี และอาจต้องทำต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่มีไม้กวาดใดที่สามารถทนการใช้งานนับพันปีได้โดยไม่พัง เว้นแต่ไม้กวาดนั้นจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เมื่อมองอย่างใกล้ชิดจะเห็นควันสีดำลอยออกมาจากไม้กวาดในขณะกวาด นั่นคืออาวุธจิตวิญญาณของโครงกระดูกเงิน
อาวุธจิตวิญญาณ คืออาวุธที่ถูกหล่อหลอมด้วยพลังดวงจิตของสิ่งมีชีวิตอันเดดระดับสูง มีคุณสมบัติพัฒนาตนเอง และสามารถซ่อมแซมตัวเองได้หากเกิดความเสียหาย
อังก์ได้ใช้เคียวและจอบของเขามานานกว่าพันปีแล้ว
เมื่อเห็นว่าโครงกระดูกสีเงินไม่ได้สนใจพวกเขา อังก์ก็ไม่ได้ใส่ใจ เดินสำรวจรอบวิหารตามใจตนเอง ไนเกรสกล่าวให้เขาค้นหาวิหารแห่งความเป็นนิรันดร์เพื่อพยายามเชื่อมต่อกับเครือข่ายดวงจิต แต่จะเชื่อมต่ออย่างไรนั้น อังก์ไม่มีเบาะแสใด ๆ เลย
หลังจากเดินสำรวจจนหมด เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเรียกไนเกรสอีกครั้ง
ทันทีที่ไนเกรสเชื่อมโยงเข้าสู่ดวงจิตของอังก์ เสียงบ่นก็ดังขึ้น “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีผู้ใดเรียกนามเทพของข้าเพียงเพื่อใช้งานข้าเหมือนเป็นวิญญาณรับใช้ นับแต่นี้ข้าจะไม่มอบนามของข้าเป็นรางวัลอีกแล้ว เจ้าโครงกระดูกน้อย ข้ามิใช่ผู้ดูแลวิญญาณของเจ้า”
อังก์ไม่สนใจคำบ่นของไนเกรส ตอบกลับอย่างเรียบง่ายว่า “วิหาร ไม่มี เครือข่ายดวงจิต”
ไนเกรสถอนหายใจ ในอดีตเขาเคยเป็นมังกรทองสัมฤทธิ์ เทพแห่งปัญญา ผู้ที่มีสิทธิ์รู้จักนามเทพของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง แต่ละคำถามที่ถามนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการไขปริศนาแห่งมิติหรือแก้ปัญหาความท้าทายด้านเวทมนตร์ ซึ่งต่างจากอังก์ที่ถามเพียงเรื่องพื้นฐานทั่วไป จนทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นวิญญาณรับใช้จริง ๆ
แต่กฎที่เขาวางไว้ เขาต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้จะไม่พอใจก็ตาม
ไนเกรสมองไปรอบ ๆ และพูดด้วยความจำใจ “หากไม่มีผู้ศรัทธา จะมีเครือข่ายดวงจิตได้อย่างไร แม้แต่เปลวไฟแห่งวิญญาณบนแท่นบูชายังมอดดับ เจ้าจงจุดไฟนั้นขึ้นใหม่ก่อน แล้วจึงไปหาผู้ศรัทธาที่แท้จริง”
“โอ...” อังก์ตอบ
ไนเกรสที่คุ้นเคยกับนิสัยของอังก์ถอนใจอีกครั้ง “เจ้าอาจจะถามข้าว่าจะจุดไฟอย่างไร ใช่ไหม?”
“ใช่ พรุ่งนี้” อังก์ตอบอย่างเรียบง่าย เพราะเขาเป็นโครงกระดูกที่ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
“ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ ข้าจะสอนเจ้าเดี๋ยวนี้เลย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าจะแบ่งเวลาเป็นหลายวันไปทำไม เจ้ามีความอดทน แต่ข้าไม่มี” ไนเกรสยอมจำนนอย่างหมดท่า สำหรับเทพแห่งปัญญาเช่นเขา การต้องอธิบายเรื่องพื้นฐานเช่นนี้ถือเป็นการลบหลู่เกียรติยศของตนเอง
ภายใต้การแนะนำของไนเกรส อังก์จุดเปลวไฟแห่งวิญญาณขึ้นบนแท่นบูชา
เพียงใช้พลังดวงจิตเล็กน้อย เปลวไฟแห่งวิญญาณก็ลุกโชนขึ้นมาในทันที เกือบจะพร้อมกันกับที่เปลวไฟติด เสียงกวาดพื้นในวิหารก็เงียบลง โครงกระดูกสีเงินเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และคุกเข่าต่อแท่นบูชาด้วยท่าทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เสียงหัวกระโหลกกระทบพื้นดังสะท้อนในวิหาร ทุกครั้งที่มันก้มลงกราบ เปลวไฟแห่งวิญญาณก็พุ่งสูงขึ้นเล็กน้อยราวกับตอบสนอง
อังก์ชี้ไปที่โครงกระดูกสีเงิน และถามไนเกรสว่า “ผู้ศรัทธา?”
ไนเกรสหัวเราะเบา ๆ “นี่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา ถือว่าเป็นนักบวชก็แล้วกัน จักรพรรดิของเจ้าช่างโง่เง่า ปล่อยให้โครงกระดูกสีเงินตัวหนึ่งเป็นนักบวช เขาไม่รู้หรือว่านักบวชอีกชื่อหนึ่งคือผู้เผยแพร่ศรัทธา? โครงกระดูกโง่เง่าแบบนี้จะไปล่อลวงผู้คนได้อย่างไร?”
“ผู้ใดเหมาะจะเป็นผู้ศรัทธา?” อังก์ถามต่อ
“ใครก็ได้ ไม่สำคัญว่าเป็นใคร แต่สิ่งสำคัญคือ ‘ศรัทธา’ หากไม่มีความเชื่อที่แท้จริง ต่อให้มีคนมากมายเพียงใดก็ไร้ค่า เจ้าอย่าออกไปหาเอง เจ้าคือโครงกระดูก เมื่อใครเห็นเจ้าก็จะระแวง เจ้าควรปลอมตัวหรือขอให้ผู้อื่นช่วย”
ไนเกรสอธิบายด้วยความละเอียดลออ เขาไม่เคยกระตือรือร้นในการเผยแพร่ศรัทธาขนาดนี้มาก่อนในอดีต
อังก์ครุ่นคิดก่อนจะหยิบหมวกฟางที่เขาใช้ไล่นกขึ้นมาสวม หมวกฟางนี้เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นต่ำ สามารถสร้างภาพลวงตาได้สองถึงสามแบบ เช่น เหยี่ยว หรือมนุษย์
แม้เวทมนตร์ของหมวกฟางจะอ่อนแอและง่ายต่อการถูกเปิดเผย แต่มีข้อดีคือสามารถสร้างเสียงได้ ซึ่งอังก์ไม่สามารถพูดได้โดยตรง เพราะการสื่อสารกับเฟลินต้องใช้พลังดวงจิต
อังก์สร้างภาพลวงตาของชายธรรมดาคนหนึ่ง เดินออกจากวิหารไปได้ไม่ไกลก็พบมิโนทอร์หญิงร่างใหญ่ อังก์ชี้ไปที่เธอและถามว่า “คนนี้ได้ไหม?”
ไนเกรสหัวเราะเบา ๆ “มิโนทอร์หัวแข็ง หากนางยอมศรัทธาในเจ้า ข้าจะยอมคลานเหมือนจิ้งจกเลย” มิโนทอร์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความหัวแข็ง พวกเขาศรัทธาเพียงบรรพบุรุษของตนเองเท่านั้น การทำให้พวกเขาศรัทธาในวิญญาณแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อังก์หยิบคริสตัลวิญญาณที่ได้รับจากเฟลินก่อนหน้านี้ออกมา และหลอมรวมพลังงานเข้าสู่เครื่องประดับที่ข้อมือ ก่อนจะเรียกอาหารหนึ่งถุงออกมา และนำไปให้มิโนทอร์หญิง
“เจ้า เชื่อในความเป็นนิรันดร์หรือไม่?” อังก์เอ่ยถาม