บทที่ 6 เจ้าเมืองที่อ่อนโยน
บทที่ 6 เจ้าเมืองที่อ่อนโยน
“สิ่งนี้เรียกว่าข้าวโพด ต้มกิน ย่างกิน ก็อร่อย” ซูจี้เหนียนหยิบข้าวโพดออกมาจากกระทะ ตอนต้มข้าวโพดไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลย แต่กลิ่นหอมหวานนั้นก็ทำให้คนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
เมล็ดข้าวโพดบนฝักข้าวโพดแน่นมาก แต่ละเมล็ดดูเรียงตัวอย่างสวยงาม
จากนั้นซูจี้เหนียนก็หยิบข้าวโพดย่างออกมาสองฝักจากกองไฟ
ข้าวโพดย่างต่างจากข้าวโพดปิ้ง ข้าวโพดย่างดูไหม้เกรียมกว่า แต่ถึงอย่างนั้น เปลวไฟก็กักเก็บกลิ่นหอมของข้าวโพดไว้ข้างใน ดมดูเหมือนไม่มีกลิ่นอะไร แต่กินแล้วกลับอร่อยมาก
“พวกเจ้าลองชิมดูสิ”
ส่งข้าวโพดต้มให้ตั้วหมัวหนึ่งฝัก และข้าวโพดย่างให้หานซือหนึ่งฝัก ทั้งสองคนไม่คิดว่าซูจี้เหนียนจะให้พวกเขากินก่อน ชายสองคนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็จ้องมองชายสองคน พวกเขาอยากรู้ว่ารสชาติของสิ่งนี้เป็นอย่างไร?
“ฟู่ๆ”
ชายสองคนรู้สึกถึงความร้อน รีบเป่าด้วยปาก จากนั้นตั้วหมัวก็เอาข้าวโพดต้มเข้าปาก กัดกินคำใหญ่ๆ
ในทันทีที่เข้าปาก ความรู้สึกพึงพอใจอย่างแรงกล้าทำให้ตั้วหมัวพูดไม่ออก!
เมล็ดข้าวโพดนี้ดูเหมือนเป็นเมล็ดๆ แต่พอกินเข้าไป มันกลับนุ่มมาก กัดคำเดียวเมล็ดข้าวโพดจำนวนมากก็รวมกัน รสชาติหวานก็ระเบิดออกมาในเวลานี้!
หอม หวาน สองรสชาติเต็มปาก กลิ่นหอมของข้าวโพดเข้มข้น ในเวลานี้ตั้วหมัวแทบไม่อยากจะเชื่อว่าของที่อร่อยขนาดนี้เป็นสิ่งที่ตนเองปลูกออกมา
ส่วนหานซือในเวลานี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน ข้าวโพดย่างนี้ดูดำๆ ไม่น่ากินเลย เหมือนท่อนไม้ที่ถูกเผา หานซือถึงกับสงสัยว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่? แต่พอกัดเข้าไปคำหนึ่ง หานซือก็พบว่าตนเองคิดผิดจริงๆ
ข้าวโพดย่างเมื่อเทียบกับข้าวโพดต้มแล้ว กลิ่นหอมนั้นด้อยกว่า แต่นั่นเป็นเพราะการเผาด้วยไฟแรง ทำให้รสชาติในเมล็ดข้าวโพดถูกกักเก็บไว้ข้างใน ส่วนที่เป็นสีดำด้านนอกกรอบมาก ภายใต้ความกรอบยังซ่อนความหวานของข้าวโพด พอกินแล้วกลิ่นหอมก็ระเบิดออกมา ไม่ด้อยไปกว่าข้าวโพดต้ม ในขณะเดียวกันในด้านรสสัมผัส รสสัมผัสที่กรอบนั้นกลับเหนือยิ่งกว่า!
ในชั่วขณะนี้ ชายสองคนถึงกับน้ำตาคลอ นี่คือความซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก!
“อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?”
ชาวบ้านรอบๆ ในเวลานี้ต่างน้ำลายไหล
“ข้าก็อยากกินบ้าง!”
“อร่อยขนาดนั้นเชียว? สีหน้าของพวกเขาทั้งสองดูเกินจริงไปหน่อยไหม?”
หลายคนกลืนน้ำลายไปพลาง พูดด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปพลาง
“ข้าเองก็อยากกิน”
ในเวลานี้ เด็กหญิงอายุประมาณห้าหกขวบมุดออกมาจากใต้ดาบขององครักษ์ ดวงตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่านางหิวมานานแล้ว
เด็กหญิงเดินมาที่ข้างกายซูจี้เหนียนโดยตรง มองไปที่ซูจี้เหนียนอย่างน่าสงสาร
“นี๋เอ๋อร์!”
เมื่อเห็นเด็กคนนี้เดินเข้าไป แถมยังไปที่ข้างกายซูจี้เหนียน หญิงคนหนึ่งในฝูงชนก็ตกใจมาก นั่นคือเจ้าเมืองเชียวนะ ห้ามล่วงเกิน!
“นี๋เอ๋อร์ กลับมาเร็วเข้า” หญิงคนนั้นพยายามจะเดินเข้าไป แต่ถูกองครักษ์ขวางไว้ หญิงคนนั้นคุกเข่าลงต่อหน้าซูจี้เหนียนทันที ร้องอุทานว่า “ใต้เท้าเจ้าเมือง นางเป็นแค่เด็กน้อย ไม่รู้เรื่องราว ใต้เท้าอย่าโกรธเลย หากจะลงโทษ ก็ลงโทษข้าเถอะ!”
ชาวบ้านรอบๆ เห็นฉากนี้ กลับไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาไม่กล้าขอร้อง ขุนนางจะสนใจคำขอร้องของชาวบ้านธรรมดาๆ ได้อย่างไร ใช่ไหม?
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนไม่ได้สนใจหญิงคนนี้ เพียงแค่ยื่นมือออกไปหยิบมันฝรั่งย่างออกมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านี่ชื่อนี๋เอ๋อร์งั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ”
นี๋เอ๋อร์พยักหน้าอย่างเขินอาย
“หิวแล้วใช่ไหม?” ซูจี้เหนียนปอกเปลือกมันฝรั่งออกครึ่งหนึ่ง แล้วยื่นให้เด็กหญิง “ระวังร้อนนะ ของแบบนี้ต้องกินตอนร้อนๆ มันถึงจะอร่อย”
นี๋เอ๋อร์รับมันฝรั่งมาอย่างระมัดระวัง แล้วกัดคำเล็กๆ อย่างใจร้อน เมื่อเข้าปากก็ร้อนจนต้องรีบเป่าปาก แต่ต่อมาก็ตาโตขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อร่อยไหม?” ซูจี้เหนียนถามยิ้มๆ
“อร่อยเจ้าค่ะ!” นี๋เอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ ของสิ่งนี้อร่อยจริงๆ
“เอาไปอีกอัน ไปกินกับมารดาของเจ้าสิ” ซูจี้เหนียนหยิบมันฝรั่งย่างออกมาอีกหนึ่งลูก แล้วยื่นให้นี๋เอ๋อร์
นี๋เอ๋อร์รีบหันหลังวิ่งไปหาหญิงคนนี้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ ท่านลองชิมสิ ของนี้อร่อยมากเลยนะ”
หญิงคนนี้เห็นว่าซูจี้เหนียนไม่ได้โกรธ นางก็รู้สึกขอบคุณอย่างมาก ชาวบ้านรอบๆ ก็รู้สึกอบอุ่นใจ ดูเหมือนว่าเจ้าเมืองคนใหม่จะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดสินะ?
เห็นได้ชัดว่าหญิงคนนี้ก็หิวแล้วเช่นกัน นางหยิบมันฝรั่งย่างขึ้นมา ค่อยๆ แกะเปลือกออก ทันใดนั้นกลิ่นหอมของมันฝรั่งก็พุ่งเข้าปะทะจมูก เนื้อมันฝรั่งสีขาวดูเนียนมาก นางค่อยๆ กัดคำหนึ่ง ความร้อนก็เข้ามาในปากทันที แต่ในความร้อนนี้กลับมีกลิ่นหอมแปลกๆ
เนื้อมันฝรั่งนุ่ม กลิ่นหอมแปลกๆ นี้ผสมผสานกับเนื้อมันฝรั่ง มันช่างหอมมาก รสชาติของมันฝรั่งจืดๆ แต่รสชาติจืดๆ นี้กลับขับเน้นรสชาติของวัตถุดิบเองออกมาอย่างเต็มที่
รสชาติของมันฝรั่งย่างไม่ได้อร่อยจนน่าตกใจ แต่ความรู้สึกเรียบง่ายแบบนี้กลับทำให้คนติดใจ แค่กินมันฝรั่งหนึ่งลูก ก็รู้สึกอิ่มท้องขึ้นมาทันที
“เอาล่ะ” ซูจี้เหนียนมองไปที่หลินฝู แล้วกล่าวว่า “ลุงฝู ให้ทุกบ้านมารับข้าวโพดและมันฝรั่ง คิดตามจำนวนคน คนละสองฝักข้าวโพดและสองลูกมันฝรั่งต่อวัน”
“ขอรับ” หลินฝูพยักหน้า
“จะแจกให้พวกเรากินหรือ?” ชาวบ้านรอบๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ เมื่อครู่พวกเขาแค่ได้กลิ่น เห็นคนอื่นกิน ก็แทบจะอดใจไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ซูจี้เหนียนกลับบอกว่าจะแจกอาหารชนิดนี้ให้พวกเขา ทุกคนต่างพากันตื่นเต้นมาก
พวกเขาอยากจะรีบลองชิมว่ารสชาติของสิ่งนี้เป็นอย่างไร?
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ ซูจี้เหนียนก็กลับไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อจัดการเรื่องของตัวเองต่อ เขาผัดกุ้งเครย์ฟิชต่อไป เพราะยังมีกุ้งเครย์ฟิชอีกห้าพันตัวที่ยังไม่ได้ทำ
ซูจี้เหนียนตัดสินใจหาคนมาสักสองสามคน ให้พวกเขารับผิดชอบผัดกุ้งเครย์ฟิชโดยเฉพาะ ซูจี้เหนียนรู้สึกว่าต่อไปตนเองอาจจะเห็นกุ้งเครย์ฟิชแล้วรู้สึกคลื่นไส้ก็เป็นได้
…
ในเทือกเขาแห่งนี้ มีเมืองหลายสิบเมือง แต่เมืองที่ใกล้ที่สุดกับเมืองหวังข่งคือเมืองว่านเซียง(เมืองว่านเซียง)
แต่หากถามว่าเมืองไหนเจริญเจริญรุ่งเรืองที่สุด? แน่นอนว่า มีเพียงเมืองว่านเซียงเท่านั้น
เมืองว่านเซียงเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านไปยังเมืองหลวง ดังนั้นเมืองว่านเซียงจึงเป็นสถานที่สำคัญ ความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ณ หอการค้าเฉียนอวิ๋น
ที่นี่มีร้านอาหาร และแน่นอนว่ามันเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองว่านเซียง มันคือธุรกิจหนึ่งของหอการค้าเฉียนอวิ๋น
“คุณชายถี”
ในช่วงเช้า ชายหนุ่มแต่งกายหรูหราเดินเข้าไปในหอการค้าเฉียนอวิ๋น ผู้จัดการหอการค้าเฉียนอวิ๋นรีบเข้ามาต้อนรับ เพราะเขารู้จักชายหนุ่มคนนี้ เขาชื่อถีฉี เขาเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองว่านเซียง
“ท่านไม่มาที่นี่นานแล้วนะ” ผู้จัดการรีบพูดด้วยรอยยิ้ม
“เฮอะ!” ถีฉีแค่นเสียงอย่างเย็นชา “วันนี้ร้านไจ้เยว่เหลา(ร้านจัทร์จรัส)มีปลาย่าง มันอร่อยมาก ถ้าปลาของพวกเขาไม่หมด แถมผู้คนยังเยอะอีก ข้าก็คงไม่มาที่นี่หรอก”
“ขอรับๆ”
แม้ว่าถีฉีจะพูดเช่นนี้ ผู้จัดการก็ทำได้เพียงยิ้มรับ แต่จู่ๆ ผู้จัดการกลับพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ปลาย่างของร้านไจ้เยว่เหลานั้นอร่อยก็จริง ทว่าหอการค้าเฉียนอวิ๋นของเราก็มีของอร่อยอย่างหนึ่ง เพิ่งส่งมา คุณชายถีสามารถลองชิมได้”
“คืออะไร?”
ถีฉีถามอย่างไม่ใส่ใจ
“กุ้งเครย์ฟิชผัดหม่าล่า!”
ผู้จัดการตอบ
“มันคืออะไร?”
เห็นได้ชัดว่าถีฉีไม่เคยได้ยินชื่อแปลกๆ นี้มาก่อน
ผู้จัดการให้คนนำโถใบเล็กๆ มาอย่างลึกลับ แล้วหยิบกุ้งเครย์ฟิชผัดหม่าล่าออกมาหนึ่งตัว วางไว้ในจาน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายถี ไอ้นี่แหละ”
“ทำไมของสิ่งนี้ถึงดูเหมือนแมลงมารร้าย?”
ถีฉีมองไปที่ผู้จัดการด้วยความประหลาดใจ
“คุณชายลองชิมดูก็รู้แล้ว” ผู้จัดการยิ้ม “ตัวนี้ข้าเลี้ยงเอง เชิญคุณชายลองชิม”
พูดจบ ผู้จัดการก็แกะกุ้งเครย์ฟิชให้ แล้วยื่นเนื้อกุ้งไปที่หน้าถีฉี
“ถ้าเจ้าหลอกลวงข้า เจ้าตายแน่!” ถีฉียื่นมือออกไป หยิบเนื้อกุ้งเครย์ฟิชเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ ในใจก็นึกดูถูก ของสิ่งนี้จะอร่อยได้ขนาดไหนกันเชียว?