บทที่ 5 ข้าวโพดและมันฝรั่งสุกแล้ว
บทที่ 5 ข้าวโพดและมันฝรั่งสุกแล้ว
“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”
หลังจากผัดติดต่อกันสิบกระทะ ซูจี้เหนียนรู้สึกว่าพลังงานในร่างกายเกือบหมดเกลี้ยง แม้ว่าจะมีลมปราณภูติอุดรคอยช่วยเหลือ แต่กุ้งเครย์ฟิชสิบกระทะก็ทำให้ซูจี้เหนียนรู้สึกเหมือนร่างกายถูกสูบพลังงานไปจนหมดอยู่ดี
“อร่อย!”
เสียงของซูเยว่ดังขึ้น “กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียมก็อร่อย เมื่อเทียบกับรสเผ็ด กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียมมีรสชาติเข้มข้นกว่า กลิ่นหอมของกระเทียมซึมเข้าไปในเนื้อกุ้งเครย์ฟิช ยิ่งกินยิ่งอยากกินเพิ่มไม่หยุด!”
“ห้าเครื่องเทศก็อร่อย กลิ่นหอมแบบนี้ข้าไม่เคยกินมาก่อน หลายคนอาจจะรับรสเผ็ดไม่ได้ แต่ห้าเครื่องเทศแบบนี้เหมาะกับพวกเขามาก”
“แน่นอนอยู่แล้ว กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียมและกุ้งเครย์ฟิชห้าเครื่องเทศ มัน…”
ซูจี้เหนียนหันกลับมา เขากำลังจะพูดอะไรกับซูเยว่ แต่เมื่อเขาเห็นเปลือกกุ้งที่กองเป็นภูเขา ซูจี้เหนียนก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา “นี่เอาไว้ขาย และเอาไว้ใช้หนี้นะ ถ้าเจ้ากินจนหมด จะให้ข้าเอาเจ้าไปใช้หนี้แทนหรือไง?”
ซูจี้เหนียนรู้สึกหมดคำพูดกับซูเยว่ที่ตะกละตะกลาม
เพื่อป้องกันไม่ให้ซูเยว่แอบกิน หลังจากทำกุ้งเครย์ฟิชเสร็จแล้ว ซูจี้เหนียนก็แจ้งหยาหลี่ทันที ให้หยาหลี่ส่งคนมารับ
ซูจี้เหนียนทำอาหารจากกุ้งเครย์ฟิชห้าพันตัว หยาหลี่ก็ส่งคนมาพร้อมกับเหรียญทองสามสิบเหรียญ บวกกับเงินมัดจำยี่สิบเหรียญก่อนหน้านี้ กุ้งเครย์ฟิชห้าพันตัวก็ชำระเงินเสร็จเรียบร้อย
ตอนนี้ซูจี้เหนียนมีเหรียญทองสามสิบห้าเหรียญในมือ
ซูจี้เหนียนมอบเหรียญทองห้าเหรียญให้หลินฝู ให้หลินฝูไปซื้ออาหารง่ายๆ อย่างน้อยก่อนที่พืชผลจะโต ก็ให้ทุกคนได้อิ่มท้องก่อน
ซาลาเปาที่ง่ายที่สุด เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญได้สองลูก เหรียญทองห้าเหรียญสามารถซื้อได้เป็นภูเขา แต่ร้านซาลาเปาทั้งเมืองก็ไม่มีมากขนาดนั้น สุดท้ายก็ต้องซื้ออาหารจากหอการค้าเฉียนอวิ๋นมาให้พวกเขากินอยู่ดี
จากนั้นให้คนแจกจ่ายอาหารให้คนในจวนเจ้าเมืองทุกคน
ตลอดทั้งคืน
ซูจี้เหนียนไม่ได้นอน แต่ใช้วิธีการฝึกฝนเพื่อผ่านพ้นไป การฝึกลมปราณภูติอุดร ทำให้ซูจี้เหนียนรู้สึกว่าพลังภายในของตนเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นรู้สึกว่ามันจะระเบิดออกมา
พอเขายื่นฝ่ามือออกไป ซูจี้เหนียนก็เห็นพลังปราณภูติอุดรเล็กน้อยรวมตัวกันที่ฝ่ามือ
หากซูเยว่อยู่ที่นี่ เห็นฉากนี้นางคงจะตกใจมาก เพราะซูจี้เหนียนสามารถทำให้ปราณยุทธ์เป็นรูปร่างได้แล้ว โดยปกติแล้วการที่จะทำเช่นนี้ได้ อย่างน้อยต้องฝึกฝนประมาณหนึ่งปี
ตอนนี้ซูจี้เหนียนคิดได้อย่างชัดเจนแล้ว ในเมื่อตนเองข้ามโลกมายังทวีปทะเลดาราโดยไม่รู้สาเหตุ เขาควรจะสร้างความสงบสุขในชีวิตด้วยนิ้วทองของเจดีย์มิติเป็นตัวช่วย ต่อไปเขาต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน อีกอย่างก็คือเมืองหวังข่ง เพราะที่นี่เป็นฐานที่มั่นของตน ต่อไปต้องพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง
งั้นต้องรอขายกุ้งเครย์ฟิชที่เหลือออกไป ตนเองก็จะสามารถใช้หนี้ที่บิดาผู้ล่วงลับเป็นผู้ก่อได้หมด
รุ่งเช้าวันรุ่งขึ้น
ฟ้าเพิ่งสาง
มีร่างสองร่างแบกจอบเดินไปทางนาของเมืองหวังข่งอย่างเฉื่อยชา
“หาว— ง่วงยิ่งนัก! ตั้วหมัว เจ้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองเพ้อเจ้อจริงๆ หรือไม่? ตอนนี้ขาดแคลนอาหาร แต่ให้พวกเราปลูกพืชผลตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ใช่ไหม? อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูหนาวแล้ว เมล็ดพันธุ์เหล่านี้คงจะถูกแช่แข็งตายก่อนที่จะงอกเงย”
ชายคนหนึ่งพูดอย่างจนใจ
“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองสั่ง พวกเราทำตามก็พอแล้ว” ชายที่ชื่อตั้วหมัวส่ายหน้า พูดว่า “ได้ยินมาว่าท่านเจ้าเมืองกำลังเร่งหาเงิน พอใช้หนี้หมดแล้ว เมืองหวังข่งของเราก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย พูดจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากย้ายออกไป แต่ถ้าไม่จำเป็น ใครจะอยากย้ายบ้านกันล่ะ ใช่ไหม?”
ชายสองคนเดินไปคุยไป แล้วก็มาถึงที่นา ในเวลานี้ชายสองคนก็ถึงกับอึ้ง
ตั้วหมัวขยี้ตาอย่างแรง อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า “หานซือ เจ้าหยิกข้าหน่อยสิ ข้าฝันไปหรือไม่?”
“ข้า…” หานซือหยิกตัวเองอย่างแรง เขารู้สึกเจ็บมาก หานซือพูดอย่างเจ็บปวดว่า “ไม่ใช่ฝัน มันคือเรื่องจริง!”
ในเวลานี้ชายสองคนมองไปที่ภาพตรงหน้าอย่างตะลึง เมื่อวานผืนนาก็ยังว่างเปล่า ตอนนี้กลับกลายเป็นทุ่งข้าวโพดเขียวขจี สูงท่วมหัว ส่วนมันฝรั่งที่ปลูกอีกผืนหนึ่งก็โตได้ดี เปลือกสีทอง เนื้อแน่น ดูแล้วน่ากิน จนอยากจะกัดสักคำ
“ท่านเจ้าเมือง”
ซูจี้เหนียนยังคงฝึกฝนอยู่ ในเวลานี้ก็มีเสียงร้อนรนของหลินฝูดังขึ้นจากข้างนอก
“เข้ามาเถอะ”
ซูจี้เหนียนลืมตาขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกสดชื่น ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย
“ท่านเจ้าเมือง” หลินฝูผลักประตูเข้ามา ใบหน้ายังคงตกใจ รีบพูดว่า “ท่านรีบไปดูที่จัตุรัสเถอะ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซูจี้เหนียนมองไปที่หลินฝูด้วยความประหลาดใจ
“ข้าวโพดและมันฝรั่งโตแล้ว!” หลินฝูพูดด้วยความดีใจ “ตั้วหมัวกับหานซือขนส่วนหนึ่งมาที่จัตุรัส ตอนนี้ชาวเมืองจำนวนมากกำลังดูอยู่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินอย่างไร เมื่อกี้มีชาวเมืองสองคนกัดมันฝรั่งดิบๆ พวกเขารู้สึกว่าไม่อร่อยเลย”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ซูจี้เหนียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “กินดิบๆ จะอร่อยได้อย่างไร?”
“ไปเถอะ เราไปดูกัน”
ซูจี้เหนียนเดินตามหลินฝูไปที่จัตุรัสของเมืองหวังข่ง
“ท่านเจ้าเมือง!”
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
ระหว่างทาง ผู้คนที่พบเจอซูจี้เหนียนต่างคุกเข่าลง เมื่อเห็นฉากนี้ ซูจี้เหนียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ในโลกนี้ ความแตกต่างทางชนชั้นนั้นเกินกว่าจะจินตนาการได้
ความแตกต่างระหว่างชาวบ้านและขุนนางยิ่งเกินกว่าจะพูดถึง ขุนนางทุกคน ล้วนมีอำนาจในการตัดสินชาวบ้าน
คำพูดของขุนนางเพียงคำเดียว ย่อมสามารถตัดสินชีวิตและความตายของชาวบ้านได้เลย!
แม้แต่ขุนนางระดับต่ำสุดอย่างซูจี้เหนียน ซึ่งเป็นเพียงหนานเจวี๋ย(ศักดินาเทียบชั้นบารอน) ในสายตาของชาวบ้านก็สูงส่งเกินเอื้อม
เมื่อซูจี้เหนียนมาถึงจัตุรัส ณ จัตุรัสมีชาวบ้านจำนวนมากมุงดูอยู่ ส่วนองครักษ์ของเมืองหวังข่งก็กำลังรักษาความสงบเรียบร้อย
“คารวะท่านเจ้าเมือง!”
เมื่อเห็นซูจี้เหนียนเดินมา พวกเขาก็รีบคุกเข่าลง บางคนถึงกับอยากจะหนีไป แต่ก็ไม่กล้า
ซูจี้เหนียนอยากจะพูดว่า ข้าหล่อเหลาขนาดนี้ พวกเจ้ายังอยากจะหนีอีกหรือ?
แต่ซูจี้เหนียนก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะความแตกต่างทางชนชั้นเช่นนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทำได้เพียงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
“พวกเจ้าสองคน ทำได้ดีมาก”
ซูจี้เหนียนมองไปที่ข้าวโพดและมันฝรั่งที่กองอยู่ แล้วชมเชยตั้วหมัวกับหานซือ เมื่อชายสองคนได้ยินซูจี้เหนียนชมเชย ทั้งสองก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง รีบก้มลงคำนับทันที
“ใครไปเอากระทะใบใหญ่มาสิ แล้วก็หาฟืนมาด้วย”
ซูจี้เหนียนสั่งการ
องครักษ์หลายคนรีบไปหา ทุกคนมองไปที่ซูจี้เหนียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าซูจี้เหนียนจะทำอะไร?
ไม่นาน สิ่งของก็ถูกนำมา หลินฝูรีบหยิบหินไฟสองก้อนออกมา เขากำลังจะจุดไฟให้ซูจี้เหนียน แต่พอซูจี้เหนียนมองดู เขากลับหยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าโดยตรง นี่คือไฟแช็กที่ซูจี้เหนียนซื้อมาจากเจดีย์มิติ ใช้เหรียญทองแดงเพียงห้าเหรียญ
เมื่อเห็นซูจี้เหนียนหยิบของแปลกๆ ออกมา ทุกคนก็อยากรู้อยากเห็นว่าของในมือของซูจี้เหนียนคืออะไร?
“แชะ”
มีเสียงดังขึ้นมา จากนั้นเปลวไฟปรากฏขึ้นบนไฟแช็กในมือของซูจี้เหนียน
“ซู๊ดดดด!”
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็สูดหายใจเข้าอย่างแรง
นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีเปลวไฟออกมาได้เอง?
แม้แต่หลินฝูที่ผ่านโลกมามาก เขาเองก็ตกตะลึง ในเวลานี้หลินฝูเชื่อในสิ่งที่ซูจี้เหนียนพูดหมดแล้ว ซูจี้เหนียนต้องได้พบกับเซียนเหรินแน่ๆ มิเช่นนั้นจะมีอาวุธวิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร ถูกต้องไหม?
ซูจี้เหนียนแกะเปลือกข้าวโพดออกเกือบหมด โยนลงไปในกระทะที่มีน้ำ จากนั้นก็ก่อไฟอีกกองหนึ่ง โยนมันฝรั่งและข้าวโพดลงไปในกองไฟ
การต้มข้าวโพดต้องเหลือเปลือกไว้สองชั้น ข้าวโพดที่ต้มออกมาถึงจะอร่อย ส่วนการย่างมันฝรั่งและข้าวโพด ยิ่งเป็นอาหารที่ซูจี้เหนียนชอบกินมาก เพราะมันทั้งถูกทั้งอร่อยจริงๆ
ในเวลานี้ ทุกคนจ้องมองอย่างไม่วางตา
แต่พอมองไปมองมา ผลก็คือ กลิ่นหอมที่ไม่อาจอธิบายได้กระจายไปทั่วจัตุรัส
กลิ่นหอมของมันฝรั่งย่าง โดยเฉพาะกลิ่นหอมของข้าวโพดต้ม ในกลิ่นหอมมีความหวาน กลิ่นนี้ทำให้คนกลืนน้ำลายอย่างแรง
“หอมมาก!”
ตั้วหมัวและหานซือก็จ้องไปที่ข้าวโพดและมันฝรั่ง ของที่หอมขนาดนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาปลูกออกมาเองงั้นหรือ?