บทที่ 4 ลมปราณภูติอุดร
บทที่ 4 ลมปราณภูติอุดร
หลินฝูตกตะลึงในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะคำว่าเซียนเหรินนั้นเลื่อนลอยเกินไป
แต่หากสิ่งที่ซูจี้เหนียนพูดไม่เป็นความจริง แล้วสิ่งที่ซูจี้เหนียนทำในตอนนี้ก็ดูไม่สมจริง เพราะหลินฝูรับใช้ตระกูลซูมาสองรุ่นแล้ว ซูจี้เหนียนเรียกได้ว่าหลินฝูเฝ้าดูเขาเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ซูจี้เหนียนจะทำอาหารรสเลิศเช่นนี้ได้เมื่อไหร่กัน?
แล้วยังมีเมล็ดพันธุ์นี้ เมล็ดพันธุ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
หรือว่านายน้อยของตนได้พบกับเซียนเหรินจริงๆ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลมหายใจของหลินฝูก็หนักอึ้งขึ้น หากเรื่องนี้เป็นความจริง เมืองหวังข่งก็คงมีอนาคตที่ดีแล้ว!
เมื่อเห็นท่าทางของหลินฝู ซูจี้เหนียนก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงหลอกลวงท่านผู้เฒ่าเช่นนี้
หลินฝูไปประกาศคำสั่งในเมือง เมื่อคำสั่งนี้ออกมา ชาวเมืองทั้งหมดก็ตกตะลึง
จับแมลงมารร้าย?
แมลงมารร้ายห้าสิบตัวแลกเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ?
ทันใดนั้นชาวเมืองทั้งหมดก็ฮือฮา แมลงมารร้ายที่น่ารังเกียจนี้พวกเขาอยากจะกำจัดให้หมดอยู่แล้ว สิ่งนี้ในนาข้าวไม่ใช่ว่าจับได้มากมายหรอกหรือ?
แค่ตักขึ้นมาไม่กี่ครั้งก็ได้ห้าสิบตัวแล้วใช่ไหม?
เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ!
อย่างน้อยก็ซื้อซาลาเปาได้สองลูก แบบนี้พวกเขาก็จะไม่อดตายแล้ว!
“ท่านพ่อบ้านหลิน ท่านพูดจริงหรือ?”
บางคนไม่อยากจะเชื่อ
“จริง นี่เป็นคำสั่งที่ท่านเจ้าเมืองเพิ่งออก!”
หลินฝูยืนยันอีกครั้ง
“ขอให้ท่านเจ้าเมืองจงเจริญ!”
ตอนนี้ทุกคนไม่กล้ารีรอ ต่างกลับบ้านไปหาภาชนะสำหรับใส่กุ้งเครย์ฟิช แล้วตรงไปที่นาข้าวในเมือง ตอนนี้พวกเขาแค่อยากจับให้ได้เยอะๆ แลกเงินให้ได้เยอะๆ จะได้ไม่อดตาย
เมื่อเห็นชาวเมืองต่างพากันไป ซูจี้เหนียนก็ให้ซูเยว่ไปจัดเตรียมบ่อขนาดใหญ่ แล้วนำกุ้งเครย์ฟิชไปเลี้ยงไว้ในนั้น
“กุ้งเครย์ฟิชหนึ่งหมื่นตัว”
ตอนนี้ซูจี้เหนียนสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่ไม่ใช่งานเล็กๆ ซูจี้เหนียนเพิ่งไปดูในครัว กระทะที่ใหญ่ที่สุด ผัดหนึ่งครั้งได้มากสุดแค่ห้าร้อยตัว กุ้งเครย์ฟิชหนึ่งหมื่นตัวก็คือยี่สิบกระทะ นี่เป็นงานที่ต้องใช้พลังงานอย่างมาก
“ในประวัติศาสตร์มีเจ้าเมืองคนไหนที่น่าสงสารเหมือนข้าบ้างไหมนะ? ต้องลงมือทำอาหารขายเองเพื่อเลี้ยงดูชาวเมือง”
ซูจี้เหนียนหัวเราะเยาะตัวเอง
จากนั้นก็นั่งลง ด้วยพละกำลังของตนเอง หากต้องการผัดกุ้งเครย์ฟิชหนึ่งหมื่นตัว หลังจากนั้นอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้ ดังนั้นซูจี้เหนียนจึงตั้งใจจะฝึกฝนสักพัก เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
“ฮู่—”
หายใจออกยาวๆ
ลมปราณภูติอุดรนี้ เรียกได้ว่าเป็นวิชาฝึกพลังภายในชั้นยอด และเพราะข้ามขั้นตอนการเริ่มต้น ในร่างกายของซูจี้เหนียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณภูติอุดร แม้ว่าพลังปราณนี้จะมีเพียงเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอแล้ว
หลังจากโคจรพลังปราณภูติอุดรไหลเวียนในร่างกายหนึ่งรอบใหญ่
“หืม?”
ซูจี้เหนียนลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน เขารู้สึกประหลาดใจ ซูจี้เหนียนไม่แน่ใจว่าทุกคนที่ฝึกลมปราณภูติอุดรเป็นแบบนี้หรือเป็นแค่เขา แค่ไหลเวียนพลังปราณหนึ่งรอบใหญ่ เขาก็รู้สึกว่าพลังปราณภูติอุดรแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถสัมผัสได้
คิดถึงในนิยายและละคร มักจะฝึกฝนกันหลายสิบปีหรือร้อยปี หรือเป็นเพราะพวกเขาฝึกฝนช้างั้นหรือ?
ซูจี้เหนียนไม่คิดมากอีกต่อไป และยังคงนั่งฝึกฝนต่อ เขาไหลเวียนพลังปราณไปเรื่อยๆ พลังปราณภูติอุดรก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังปราณไหลเวียนไปทั่วร่างกาย อบอุ่น ทำให้ซูจี้เหนียนรู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาพที่ดีมาก เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง!
“นายน้อย ข้าเตรียมบ่อเสร็จแล้ว”
ในเวลานี้ซูเยว่เดินเข้ามา แต่เมื่อนางเห็นท่าทางของซูจี้เหนียน รูม่านตาก็หดเล็กลงทันที
“เตรียมบ่อเสร็จแล้วหรือ?”
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนก็ลืมตาขึ้น พอดีกับที่ไหลเวียนพลังปราณครบหนึ่งรอบใหญ่ ซูจี้เหนียนสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่ซูเยว่แล้วพูดออกมา
บรรยากาศที่แข็งแกร่งเมื่อครู่ก็ค่อยๆ สงบลง
“นายน้อย ท่าน…” ในเวลานี้ซูเยว่ตกใจมาก “เมื่อครู่ท่านกำลังฝึกฝนอยู่หรือ?”
“ใช่ ทำไมหรือ?”
ซูจี้เหนียนมองไปที่ซูเยว่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าก็เป็นถึงเจ้าเมือง ต้องมีความสามารถในการป้องกันตัวบ้างสิ ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง ข้าไม่เคยเห็นท่านฝึกฝนมาก่อน” ซูเยว่พูดอย่างงุนงง
“ใช่ ข้าเพิ่งฝึกฝนเป็นครั้งแรกน่ะ” ซูจี้เหนียนไม่ได้ปฏิเสธ
“ฝึกฝนครั้งแรกก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณแล้ว?” ซูเยว่ไม่อยากจะเชื่อ นางตกใจมาก “จริงหรือ? แถมสัมผัสปราณเมื่อครู่ยังแข็งแกร่งมาก!”
“สัมผัสปราณ?”
ซูจี้เหนียนไม่ค่อยเข้าใจ ถามว่า “เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ มันคืออะไร?”
ซูเยวยังคงตกตะลึง ดูจากท่าทางของซูจี้เหนียนแล้วไม่เหมือนโกหก แต่การฝึกฝนครั้งแรกก็ได้สัมผัสปราณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ซูเยว่ไม่อยากจะเชื่อ
แต่ซูเยว่ก็ยังคงอธิบายว่า “ในทวีปทะเลดาราของเรามีระบบการฝึกฝนสองแบบ แบบหนึ่งคือปราณยุทธ์ อีกแบบหนึ่งคือพลังเวทย์ ปราณยุทธ์เกือบทุกคนสามารถฝึกฝนได้ แต่การฝึกฝนพลังเวทย์นั้น ต้องใช้พรสวรรค์ที่สูงมาก ในพันคนอาจจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถฝึกฝนพลังเวทย์ได้ ดังนั้นผู้ฝึกฝนส่วนใหญ่จึงฝึกฝนปราณยุทธ์”
“การฝึกฝนปราณยุทธ์ เริ่มจากการสัมผัสได้ถึงพลังปราณ จากนั้นก็ฝึกฝนจนปราณยุทธ์มีรูปร่าง แล้วก็สามารถปล่อยปราณยุทธ์ออกมาภายนอก จากนั้นปราณยุทธ์สามารถเปลี่ยนรูปร่าง จนมาถึงขั้นสุดท้าย ซึ่งเล่าลือกันว่าสามารถเหาะเหินเดินอากาศ รวมทั้งเคลื่อนย้ายภูเขาถมทะเลได้!”
ซูเยว่กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “และแน่นอนว่า หากสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นสุดท้ายได้จริงๆ ย่อมมีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกขานว่ามหาปรมาจารย์”
“มหาปรมาจารย์?”
ซูจี้เหนียนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มหาปรมาจารย์แบบนี้มีเยอะไหม?
ในอาณาจักรหลิงเจี้ยนของเรามีกี่คน?”
“กี่คน?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจี้เหนียน ซูเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านคิดว่ามหาปรมาจารย์เป็นผักกาดขาวหรือไง ยังมีกี่คนอีกเนี้ยนะ? ไม่มีแม้แต่คนเดียว! อาณาจักรหลิงเจี้ยนของเราไม่มีมหาปรมาจารย์ประจำการ มิเช่นนั้น อาณาจักรเล็กๆ รอบๆ จะกล้าจ้องจะรุกรานอาณาจักรหลิงเจี้ยนของเรางั้นหรือ?
แต่ก็มีเรื่องเล่าลือว่าอาณาจักรหลิงเจี้ยนของเรามีบุคคลที่ใกล้เคียงกับมหาปรมาจารย์ แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวลือ คนแบบนี้จะถูกเรียกว่าครึ่งก้าวปรมาจารย์ ถือว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากแล้ว!”
“แล้วเจ้าล่ะ ถึงขั้นไหนแล้ว?”
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนมองไปที่ซูเยว่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซูจี้เหนียนรู้ว่าซูเยว่เป็นคนที่บิดาผู้ล่วงลับของเขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก และเคยเป็นหัวหน้าองครักษ์ของเมืองหวังข่ง!
ฝีมือคงไม่ธรรมดา
“ข้าหรือ?”
เมื่อเห็นซูจี้เหนียนถามตนเอง ซูเยว่ก็ยกมือขึ้น ใช้นิ้วชี้ออกไป ในทันที ซูจี้เหนียนก็รู้สึกถึงพลังหนึ่งพุ่งผ่านใบหูของตน การชี้ด้วยนิ้วที่ดูเหมือนธรรมดานี้ มันกลับทะลุกำแพงได้โดยตรง!
“โอ้โห ดัชนีหนึ่งสุริยัน!”
ซูจี้เหนียนไม่อยากจะเชื่อ
“วิชาดัชนีหนึ่งสุริยันอะไรกัน? นี่เป็นแค่ผลของการที่ปราณยุทธ์ของข้าสามารถปล่อยออกมานอกร่างกายได้เท่านั้น”
ซูเยว่ส่ายหน้า “น่าเสียดายที่เมื่อถึงระดับข้าแล้ว การฝึกฝนก็เริ่มช้าลง การที่จะทำให้ปราณยุทธ์เปลี่ยนรูปร่างได้ ยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน”
“แค่นี้เจ้าก็เก่งมากแล้ว”
เดิมทีซูจี้เหนียนไม่รู้ แต่ตอนนี้กลับเข้าใจว่าซูเยว่ที่อยู่ข้างกายตน ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!
ตนเองก็ต้องฝึกฝนให้ดี เพื่อที่จะป้องกันตัวในโลกนี้ได้ แต่สิ่งที่ซูจี้เหนียนไม่รู้ก็คือ สิ่งที่เขาฝึกฝนไม่ใช่ปราณยุทธ์ แต่เป็นพลังภายในของโลกยุทธภพ ไม่รู้ว่าพลังภายในกับปราณยุทธ์ อันไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน?
เมื่อเห็นฝีมือของซูเยว่ ซูจี้เหนียนก็เลือกที่จะฝึกฝนต่อไป ส่วนซูเยว่ก็อยู่ข้างกายซูจี้เหนียนเพื่อคอยปกป้อง ในขณะเดียวกัน ในใจของซูเยว่ก็ไม่สงบ เพราะซูเยว่พบว่า เพียงแค่หนึ่งวัน ปราณยุทธ์ของซูจี้เหนียนกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตอนเย็น ซูเยว่ถึงกับสงสัยว่าปราณยุทธ์ของซูจี้เหนียนมีรูปร่างแล้วหรือไม่?
แต่สิ่งที่ซูเยว่ไม่รู้ก็คือ สิ่งที่ซูจี้เหนียนฝึกฝนไม่ใช่ปราณยุทธ์ แต่เป็นพลังภายใน!
“ท่านเจ้าเมือง”
ในเวลานี้หลินฝูวิ่งเข้ามา พูดกับซูจี้เหนียนว่า “เราจับแมลงมารร้ายได้เยอะมาก”
“ไปดูกันเถอะ”
ซูจี้เหนียนพยักหน้า แล้วเดินตามหลินฝูไปที่บ่อขนาดใหญ่ เมื่อเห็นกุ้งเครย์ฟิชมากมายในบ่อ ดวงตาของซูจี้เหนียนก็เป็นประกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเงินทั้งสิ้น
“เรียกคนมาช่วยหน่อยสิ”
ซูจี้เหนียนไม่สามารถล้างกุ้งเครย์ฟิชจำนวนมากเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นซูจี้เหนียนจึงเรียกคนมาหลายคน สอนพวกเขาวิธีการล้างกุ้งเครย์ฟิชและเอาเส้นดำออก จากนั้นซูจี้เหนียนก็เตรียมส่วนผสม และเริ่มผัดกุ้งเครย์ฟิช
ส่วนซูเยว่ก็อยู่ข้างกายซูจี้เหนียนเพื่อคอยช่วยเหลือ แน่นอนว่า ซูเยว่เองก็อยากดูว่าซูจี้เหนียนผัดกุ้งเครย์ฟิชอย่างไร?
ไม่นาน กลิ่นหอมก็ฟุ้งไปทั่วจวนเจ้าเมือง
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีกุ้งเครย์ฟิชผัดหม่าล่า ยังมีกุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียม กุ้งเครย์ฟิชห้าเครื่องเทศอีกสองรสชาติ
เมื่อเห็นเมนูทั้งสามนี้ น้ำลายของซูเยว่แทบจะควบคุมไม่ได้!