บทที่ 35 ภูตวิญญาณที่ป่วยเป็นไข้
บทที่ 35 ภูตวิญญาณที่ป่วยเป็นไข้
ไม่แปลกที่วิชาธนูของเขาจะร้ายกาจเช่นนี้
“พาคนผู้นี้ไปที่ห้องข้า”
ซูจี้เหนียนหันหลังกลับไปที่จวนเจ้าเมือง ซูจี้เหนียนต้องการพูดคุยกับเขาให้ดีๆ ดูว่าสามารถรับเขาไว้ใช้งานได้หรือไม่? เพราะเผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณนั้นหาได้ยาก นักธนูภูตวิญญาณยิ่งหายากกว่า ในเมื่อได้พบกับเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ลูกครึ่ง ซูจี้เหนียนก็อยากจะเก็บเขาไว้
สิ้นเสียง สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แถมยังเอามือลูบก้นของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ตัวเขายังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมเช่นนี้หรือ?
สีหน้าของทหารผู้พิทักษ์สิบสองนักษัตรก็ยังแปลกๆ นายน้อยของพวกเขามีนิสัยเช่นนี้ด้วยหรือ?
ขุนนางเหล่านี้ช่างเดาใจยากจริงๆ ของที่พวกเขาชอบนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก นายน้อยของพวกเขาก็ไม่เว้นสินะ?
ซูจี้เหนียนไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนเองนั้นสร้างความเข้าใจผิดมากมาย หากซูจี้เหนียนรู้ความคิดของพวกเขา ซูจี้เหนียนคงจะลงโทษพวกเขาไปแล้ว
ข้าหล่อเหลาขนาดนี้ ในใจของพวกเจ้าข้ากลับเป็นคนเช่นนี้เนี้ยนะ?
บัดซบ! น้องสาวซูเยว่ตัวไม่หอมหรือไง?
จะเอาผู้ชายคนนี้ไปเพื่อ!?
ซูจี้เหนียนกลับไปที่ห้อง ไม่นาน ชายหนุ่มก็ถูกพามา ทหารผู้พิทักษ์หลายคนยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็รีบจากไป
ชายหนุ่มถูกมัดไว้ทั้งตัว จ้องมองซูจี้เหนียน เขาตัดสินใจแล้ว หากซูจี้เหนียนทำอะไรเขา เขาจะกัดลิ้นตาย
“เจ้าชื่ออะไร?”
ซูจี้เหนียนมองดูชายหนุ่มอย่างใจเย็น
“หลินเค่อ”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมา
“มาที่เมืองหวังข่งของข้าทำไม?” ซูจี้เหนียนถามต่อ
ครั้งนี้หลินเค่อกลับไม่พูดอะไร
“ข้าเป็นเจ้าเมืองหวังข่ง หากเจ้ามีเรื่องอะไร ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ดีกว่าที่เจ้าแอบทำแบบนี้ ใช่หรือไม่?” ซูจี้เหนียนถามต่อ
“เหอะ! คำพูดของขุนนาง เชื่อถือได้หรือ?”
หลินเค่อแสยะยิ้ม “หากคำพูดของขุนนางเชื่อถือได้ ข้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจ้าเลิกคิดเสียเถอะ ข้าจะไม่บอกเจ้าว่าข้ามาที่นี่ทำไม จะฆ่าจะแกงก็เชิญ ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น”
พูดจบ หลินเค่อก็หลับตาลง ราวกับยอมให้ซูจี้เหนียนจัดการ
ซูจี้เหนียนเห็นท่าทางของหลินเค่อ เขาก็เลิกคิ้ว หลินเค่อผู้นี้ต้องมีความลับแน่ๆ ดังนั้นซูจี้เหนียนจึงยิ้ม กล่าวว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เมืองหวังข่งของข้าก็ไม่มีคนมากนัก ข้าจะถามทหารผู้พิทักษ์ว่าพบเจ้าที่ไหน จากนั้นก็ค้นหาทีละบ้าน ย่อมต้องหาเบาะแสได้”
สิ้นเสียง สีหน้าของหลินเค่อก็เปลี่ยนไป!
“ไม่ได้!”
หลินเค่อร้องตะโกนทันที
“งั้นเจ้าก็บอกมาเถอะ ตอนนี้เจ้าพูดออกมาเองกับการที่ข้าสืบหา ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน” ซูจี้เหนียนเชิดหน้าขึ้น ปราณยุทธ์รอบกายก็แผ่ออกมา ตอนนี้ขอบเขตบ่มเพาะของซูจี้เหนียนก็ใกล้จะถึงขอบเขตที่สามารถปล่อยปราณยุทธ์ออกมานอกร่างกายได้แล้ว ปราณยุทธ์ที่หนักอึ้งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลินเค่อสามารถต้านทานได้ ในใจของหลินเค่อก็เริ่มหวาดกลัว
“ขอร้องล่ะ อย่า!”
หลินเค่อเมื่อครู่ยังเป็นชายชาตรีผู้แข็งแกร่ง แต่ในพริบตาถัดมาเขากลับร้องขอ ในแววตาของเขามีความเว้าวอน ความเว้าวอนเช่นนี้ทำให้หัวใจของซูจี้เหนียนสั่นไหว หลินเค่อผู้นี้มีความลับอะไรกันแน่? เขากำลังขอร้องอะไร?
แววตาเช่นนั้น ทำให้ซูจี้เหนียนรู้สึกเจ็บปวด
“เจ้าบอกความจริงมา ข้ารับรองว่าจะไม่ทำอะไรเจ้า”
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนก็กล่าวอย่างช้าๆ
“ขอร้องล่ะ ปล่อยข้ากับน้องสาวของข้าไปเถอะ พวกเราจะออกจากเมืองหวังข่งไป และจะไม่กลับมาอีก ขอร้องล่ะ ปล่อยพวกเราไปเถอะ” หลินเค่อพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“น้องสาวของเจ้า?”
ซูจี้เหนียนตกใจ หลินเค่อกับน้องสาอยู่ที่เมืองหวังข่งงั้นหรือ?
น้องสาวของหลินเค่อ น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณใช่ไหม?
ในเมืองหวังข่งมีเผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณด้วย? ทำไมเขาถึงไม่รู้?
“ข้ากับน้องสาวถูกขุนนางคนหนึ่งทำร้าย พวกเราจึงหนีออกมา ระหว่างทางน้องสาวของข้าป่วยหนัก ข้าไม่มีทางเลือก จึงได้แต่นำนางมาซ่อนไว้ที่เมืองหวังข่ง ตอนกลางวันข้าจะออกไปล่าสัตว์ หาของกินให้นาง ตอนกลางคืนก็มาเฝ้าอยู่เป็นสหายกับนาง หวังว่านางจะหายดี แต่อาการป่วยของน้องสาวข้ากลับทรุดหนักลง ขอร้องล่ะ ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ”
หลินเค่อรีบกล่าว “น้องสาวของข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าหวังว่าในช่วงเวลาที่เหลือ ข้าจะได้อยู่กับนาง ขอท่านเจ้าเมืองเมตตาด้วย”
ซูจี้เหนียนขมวดคิ้ว จึงกล่าวว่า “พาข้าไปหาน้องสาวของเจ้า”
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
สีหน้าของหลินเค่อเปลี่ยนไป เขาคิดว่าซูจี้เหนียนจะทำร้ายน้องสาวของเขา เรื่องนี้ทำให้หลินเค่อรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย
“พาข้าไปหาน้องสาวของเจ้า บางทีนางอาจจะยังมีทางรอด หากช้า เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว!” ซูจี้เหนียนพูดอย่างเกรี้ยวกราด “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากข้าต้องการทำร้ายเจ้ากับน้องสาวของเจ้า ข้าจะเสียเวลามาพูดมากกับเจ้าที่นี่หรือ? ข้าแค่สั่งการ ก็สามารถหาตัวน้องสาวของเจ้าได้ในพริบตา ไม่ต้องพูดมาก รีบพาข้าไป!”
หลินเค่อได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล รู้สึกว่าสิ่งที่ซูจี้เหนียนพูดนั้นถูกต้อง เขาเป็นถึงเจ้าเมือง หากต้องการหา ย่อมต้องหาเจอแน่นอน
ดังนั้นหลินเค่อจึงกัดฟัน ตัดสินใจเชื่อใจซูจี้เหนียนสักครั้ง
หลินเค่อรีบพาซูจี้เหนียนไปหาน้องสาวของเขา… หลินหลิงเอ๋อร์
สุดท้าย ภายใต้การนำทางของหลินเค่อ ซูจี้เหนียนและหลินเค่อก็พบน้องสาวของหลินเค่อในห้องใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง นางก็เป็นเผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่านางจะเป็นภูตวิญญาณเลือดบริสุทธิ์ ตอนนี้นางมีลมหายใจรวยรินแล้ว
“ร้อนมาก”
ซูจี้เหนียนเอามือแตะหน้าผากของหลินหลิงเอ๋อร์ เขามั่นใจว่าหลินหลิงเอ๋อร์เป็นไข้ และเป็นไข้สูงมาก หากปล่อยไว้เช่นนี้ นางอาจจะตายได้
“พากลับไปเถอะ”
ซูจี้เหนียนให้หลินเค่ออุ้มหลินหลิงเอ๋อร์กลับไปที่จวนเจ้าเมือง
ซูจี้เหนียนซื้อยาลดไข้และยาแก้อักเสบมาจากเจดีย์มิติ ป้อนให้หลินหลิงเอ๋อร์กิน หลังจากกินยาแล้ว หลินหลิงเอ๋อร์ก็นอนหลับไปอย่างเงียบๆ
“ใต้เท้าเจ้าเมือง เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเค่อถามอย่างร้อนใจ
“ไม่เป็นไรแล้ว กินยาอีกสองสามวัน ดูแลเรื่องอาหารการกินให้นาง นางก็ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกังวล” ซูจี้เหนียนกล่าว
“เช่นนั้นก็ดี”
หลินเค่อได้ยินซูจี้เหนียนพูดเช่นนี้ เขาก็โล่งใจ เพราะหลินเค่อพบว่าสีหน้าของหลินหลิงเอ๋อร์ดูดีขึ้นมาก
แสดงว่าสิ่งที่ซูจี้เหนียนพูดนั้นเป็นความจริง
“ใต้เท้าเจ้าเมืองมีพระคุณอย่างยิ่ง หลินเค่อไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร” ในเวลานี้หลินเค่อก็คุกเข่าลงต่อหน้าซูจี้เหนียน ซูจี้เหนียนมองดูหลินเค่อ กล่าวว่า “หลังจากน้องสาวของเจ้าหายดีแล้ว พวกเจ้าจะไปที่ไหน? มีที่ไปหรือไม่?”
“เอ่อ…”
หลินเค่อไม่คิดว่าซูจี้เหนียนจะถามเช่นนี้ จึงส่ายหน้า
“ข้ากลับไปที่เผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณไม่ได้แล้ว ตอนที่ข้านำน้องสาวออกมาจากเผ่า ข้าได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเผ่าพันธุ์ภูตวิญญาณไปแล้ว” หลินเค่อกล่าวอย่างหนักใจ “ต่อไป ข้าคงจะพาน้องสาวเดินทางไปทั่วหล้า”
“อยู่ที่นี่เถอะ อยู่ที่เมืองหวังข่งของข้า”
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนก็พูดขึ้น