บทที่ 31 ตำนานของครึ่งก้าวปรมาจารย์
บทที่ 31 ตำนานของครึ่งก้าวปรมาจารย์
“ข้าติดหนี้บุญคุณไป๋ซัวซือ วันนี้ข้าจะไม่สังหารเจ้า”
ซูจี้เหนียนจ้องมองเฟิงอี๋ไห่ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไสหัวไปซะ!”
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส”
เฟิงอี๋ไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูจี้เหนียนทำได้เพียงขู่เฟิงอี๋ไห่ เขาเพิ่งจะได้ฉายาระดับทองแดง และยังคิดจะหาเงินที่นี่ เขาไม่อยากให้เฟิงอี๋ไห่สร้างความวุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงคิดแค่จะไล่เฟิงอี๋ไห่ไปเท่านั้น เพราะแม้ว่าความเร็วของเขาจะเร็วมาก แต่เขาไม่สามารถฝึกฝนได้ แม้ว่าจะให้ดาบกับเขา เขาก็ฆ่าเฟิงอี๋ไห่ไม่ได้อยู่ดี
แต่เพื่อไม่ให้เฟิงอี๋ไห่สงสัย ซูจี้เหนียนต้องหาเหตุผลปล่อยไป ดังนั้นเขาจึงกุเรื่องขึ้นมา ใช้ไป๋ซัวซือเป็นข้ออ้าง
ในเวลานี้เฟิงอี๋ไห่ก็หันหลังกลับทันที
เขาไม่มีความคิดที่จะพูดคุยกับอันเต๋อหลู่แม้แต่คำเดียว ผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้อยู่ที่นี่ ในเวลานี้บอกว่าจะปล่อยตนเองไป แต่ใครจะรู้ว่าในพริบตาถัดไปเขาจะเปลี่ยนใจหรือไม่? ดังนั้นการหนีไปโดยเร็วคือทางออกที่ดีที่สุด
เฟิงอี๋ไห่จากไปอย่างรวดเร็ว
เขตแดนสายฟ้าก็สลายไปทันที เหล่าผู้พิทักษ์หลงซานทั้งหมดต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้สึกเหมือนรอดตายมาได้
พวกเขามองไปที่ซูจี้เหนียนบนท้องฟ้า ในแววตาเต็มไปด้วยความกตัญญู ความชื่นชม และความเกรงขาม
นี่คือครึ่งก้าวปรมาจารย์!
“ใต้เท้าจ้าวโถง คนที่นำไผ่โลหิตหกลายมาคือผู้อาวุโสท่านนี้” พนักงานที่อยู่ข้างๆ รีบบอกอันเต๋อหลู่ อันเต๋อหลู่ถึงได้เข้าใจ สถานที่ที่มีไผ่โลหิตหกลายนั้นอันตรายมาก คนทั่วไปย่อมไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หากเป็นครึ่งก้าวปรมาจารย์ ก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เพราะย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสท่านนี้”
ผู้เฒ่าเสวี่ยพยักหน้าเช่นกัน
“ท่านผู้อาวุโสเหยียนอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านจะให้เกียรติลงมาให้ข้าน้อยต้อนรับหรือไม่? เพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านผู้อาวุโสช่วยเหลือโถงหลงซานสาขาเมืองว่านเซียงของพวกเราในวันนี้”
ในเวลานี้อันเต๋อหลู่ก็กุมหมัดคำนับแล้วกล่าว
“ท่านผู้อาวุโสเหยียนอ๋อง ข้าน้อยคือพ่อบ้านของตระกูลเสวี่ยแห่งเมืองหลวง มีนามว่าเสวี่ยจง ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่มอบไผ่โลหิตหกลาย หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะให้เกียรติข้าน้อยได้ต้อนรับ”
ผู้เฒ่าเสวี่ยก็รีบพูดอย่างเคารพ
พวกเขารู้ชื่อของซูจี้เหนียนจากพนักงานว่า… เหยียนอ๋อง
ซูจี้เหนียนครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้ายังมีธุระ ไว้มีโอกาสหน้าแล้วกัน”
พูดจบ ซูจี้เหนียนก็จากไป
เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ หากไปติดต่อกับคนเหล่านี้ เกรงว่าจะถูกเปิดโปง อีกอย่าง เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเขา
“ขอผู้อาวุโสเดินทางปลอดภัย”
ผู้เชี่ยวชาญของโถงหลงซานต่างกุมหมัดแล้วกล่าว
คำเชิญร่วมกันของจ้าวโถงหลงซานและพ่อบ้านตระกูลเสวี่ยกลับถูกปฏิเสธ แต่ในใจของคนทั้งสองไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเลย เพราะผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ ย่อมมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส ผู้เฒ่าเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ “หากตระกูลเสวี่ยของข้ามีผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ประจำการอยู่ ตระกูลเสวี่ยของข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”
“ผู้เฒ่าเสวี่ย ท่านได้ไผ่โลหิตหกลายมาแล้ว ยินดีด้วย”
อันเต๋อหลู่พูดด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว ข้าขอตัวก่อน” ผู้เฒ่าเสวี่ยฟังออกว่าอันเต๋อหลู่กำลังไล่เขา ผู้เฒ่าเสวี่ยไม่เข้าใจ อันเต๋อหลู่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอนาคตไกล ทำไมถึงยอมใช้ชีวิตอย่างตกต่ำเช่นนี้? ยอมอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองว่านเซียง?
และแน่นอนว่า การต่อสู้ในวันนี้
ชื่อของเหยียนอ๋องก็แพร่กระจายไปทั่วโถงหลงซาน
ไม่เพียงแต่โถงหลงซานสาขาเมืองว่านเซียง โถงหลงซานที่อื่นก็มีองค์กรข่าวสาร พวกเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองว่านเซียง ในวันนี้ มีผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งก้าวปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้น
ณ เวลานี้ กองกำลังนับไม่ถ้วนต่างค้นหาคนที่มีชื่อว่าเหยียนอ๋อง
แต่คนผู้นี้ไม่มีบันทึกใดๆ ราวกับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านอ๋อง”
ในป่าไผ่แห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งกำลังตกปลาอยู่ข้างบ่อน้ำในป่าไผ่ เขาสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ เหวี่ยงเบ็ดตกปลาอย่างไม่ใส่ใจ
และด้านหลังชายคนนี้ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ
ร่างนั้นยื่นข้อมูลให้กับชายที่กำลังตกปลา
“ครึ่งก้าวปรมาจารย์?”
ชายคนนี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปสืบมา โดยเน้นที่อาณาจักรอวี้ถัง ดูว่าเป็นสายลับของพวกเขาหรือไม่?”
“ขอรับ”
ร่างนั้นค่อยๆ ถอยห่างออกไป จากนั้นก็หายตัวไป
“หากไม่ใช่ ก็คงจะดี” ชายคนนี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พึมพำว่า “เวลาของข้าเหลือน้อยลงทุกที หากผู้พิทักษ์หลงซานมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถใช้งานได้ โอกาสสำเร็จของข้าก็จะสูงขึ้น!”
ตัวซูจี้เหนียนเองก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ เขาได้สร้างความวุ่นวายไปทั่วอาณาจักรหลิงเจี้ยน
และสมบัติที่เหลือ ซูจี้เหนียนทำได้เพียงนำไปขายยังหอการค้าเฉียนอวิ๋น ของที่ซูจี้เหนียนขายล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยาก เรื่องนี้ทำให้หอการค้าเฉียนอวิ๋นดีใจมาก หลังจากรับซื้อของทั้งหมดในราคาสูงแล้ว ยังมอบบัตรทองคำของหอการค้าเฉียนอวิ๋นให้กับซูจี้เหนียนอีกด้วย
ของในย่ามทั้งหมดขายได้หนึ่งพันสี่ร้อยกว่าเหรียญทอง
บวกกับแปดร้อยเหรียญทองที่ได้จากโถงหลงซานก่อนหน้านี้ รวมเป็นสองพันสองร้อยกว่าเหรียญทอง สำหรับซูจี้เหนียนแล้ว นี่คือการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่
“เหรียญทองพวกนี้หนักมาก หากโลกนี้มีธนบัตรก็คงจะดี”
ในเวลานี้ซูจี้เหนียนมองดูเหรียญทองจำนวนมาก พลางส่ายหน้าเบาๆ
ในโลกนี้ การขนส่งเหรียญทองจำนวนมากเช่นนี้ ทำได้เพียงจ้างคนคุ้มกัน หรือไปที่โถงหลงซานเพื่อขอให้ผู้เชี่ยวชาญคุ้มกัน ถึงตอนนั้นก็ต้องจ่ายเงินไม่น้อย เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ อาจจะถูกโจรปล้น แต่หากมีธนบัตร และมีธนาคารในทุกที่ ก็คงจะง่ายกว่านี้มาก
ซูจี้เหนียนจดจำความคิดนี้ไว้ในใจ ต่อไปหากมีโอกาส เขาต้องเปิดธนาคาร ธุรกิจที่ทำเงินมีมากมาย ธนาคารย่อมเป็นหนึ่งในนั้น!
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่มีเงินทุนมากขนาดนั้น อีกอย่าง ตอนนี้ดูเหมือนคงไม่มีใครยอมฝากเงินไว้ที่ธนาคารของเขา เพราะใครจะยอมให้คนแปลกหน้าเก็บรักษาทรัพย์สมบัติของพวกเขาล่ะ ถูกต้องไหม?
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในเมืองว่านเซียงเสร็จแล้ว ซูจี้เหนียนก็นำเงินกลับมาที่เมืองหวังข่ง
…
ค่ำคืนมาเยือน
ซูจี้เหนียนฝึกฝนเสร็จ เขารู้สึกว่าพลังภายในในร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาตระหนักว่าตนเองใกล้จะถึงขอบเขตที่สามารถปล่อยปราณยุทธ์ออกมานอกร่างกายได้แล้ว
ซูจี้เหนียนออกจากจวนเจ้าเมือง ไปที่ภูเขาด้านหลัง กองกำลังสิบสองนักษัตรกำลังฝึกฝนอย่างลับๆ ที่นี่ ซูเยว่รับผิดชอบจัดหาอาหารให้พวกเขาทุกวัน และเพื่อให้พวกเขาฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ จึงให้พวกเขากินเนื้อสัตว์เท่านั้น การกินเนื้อสัตว์สามารถเพิ่มพละกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
แม้ว่าจะเรียกว่ากองกำลังสิบสองนักษัตร แต่รวมอู่ซานเจียงแล้ว จริงๆ แล้วมีสิบสามคน
อู่ซานเจียงคือหัวหน้าของพวกเขา
ส่วนคนอื่นๆ ซูจี้เหนียนก็ตั้งชื่อให้พวกเขาตามลำดับนักษัตร
จื่อสู่(ชวด)โฉ่วหนิว(ฉลู) อิ๋นฮู่(ขาล) เหมาถู(เถาะ) (เฉิ่นหลง)มะโรง สือเซ่อ(มะเส็ง) อู๋หม่า(มะเมีย) เว่ยหยาง(มะแม) เสิ้นโหว(วอก) โหยวจี้(ระกา) ซวี่โกว(จอ) ไห่จู้(กุน)
คนทั้งสิบสองคนนี้ ล้วนเป็นคนที่อู่ซานเจียงคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน
“ใคร!?”
เมื่อซูจี้เหนียนเข้ามาใกล้ ทุกคนก็ลืมตาขึ้น!