ตอนที่แล้วบทที่ 200 เอี้ยนหงเถา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 202 การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ

บทที่ 201 โทเท็ม


บทที่ 201 โทเท็ม

ฟางจือสิงเบิกตากว้าง ขยับตัวเข้าไปใกล้พร้อมยกคบไฟขึ้นส่องแผ่นหลังของนาง

ตัวอักษรรูปคางคกปรากฏขึ้นทีละแถวบนผิวหนัง

ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

ลมหายใจแรงร้อนพ่นใส่แผ่นหลังของเอี้ยนหงเถา ทำให้นางรู้สึกคันจนต้องขยับตัวไปมา

แผ่นหลังขาวเนียนของนางโก่งขึ้นและลดลงตามจังหวะ

ทว่าการเคลื่อนไหวของนางกลับรบกวนการอ่านเนื้อหาวิชาของฟางจือสิง

เขาจึงรีบวางมือข้างหนึ่งกดที่ไหล่ และอีกข้างพยุงเอวของนางเพื่อให้นางอยู่นิ่งๆ

เอี้ยนหงเถาจึงหยุดดิ้นทันที

"ตัวอักษรจำนวนมากปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเอี้ยนหงเถา และกระจายไปทั่วจนเกือบเต็มพื้นที่"

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของวิชาการบรรลุ " ขั้นเปลี่ยนร่างเป็นอสูร " ที่สมบูรณ์นั้น ไม่ได้มีเพียงตัวอักษร แต่ยังต้องมีโทเท็มสำหรับใช้เป็นจินตภาพด้วย

ทันใดนั้น เอี้ยนหงเถาเอียงตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นหน้าท้องขาวเนียน

ตามมาด้วยภาพโทเท็มที่ปรากฏขึ้นจางๆ

ฟางจือสิงนั่งยองๆ เอียงศีรษะเพ่งมองอย่างละเอียด

คิ้วของเขาขมวดแน่นโดยไม่รู้ตัว

เพราะโทเท็มนั้นเลือนรางเหมือนภาพหมึกที่แฝงไปด้วยหมอกและฝน

ในภาพมีหมอกหนาปกคลุมอยู่

หมอกนั้นเป็นสีแดงสดไหลวนไม่หยุด

ภาพดังกล่าวทำให้ฟางจือสิงอดคิดถึงคนที่ถูกเขาโจมตีจนร่างแตกสลายกลายเป็นหมอกเลือดไม่ได้

ภายในหมอกเลือดนั้น มีร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ราวกับภูเขา มองเห็นลางๆ ว่ามีหนวดหนาและยาวหลายเส้น

แต่น่าเสียดาย รายละเอียดที่ชัดเจกว่านั้นมองไม่เห็น

ฟางจือสิงสั่งว่า "โทเท็มมันเลือนรางเกินไป ทำให้ชัดเจนหน่อย"

เอี้ยนหงเถาหันมามองด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนตอบว่า "สิ่งที่เจ้ากำลังดูอยู่นั้น เป็นเพียงสิ่งที่ข้าถ่ายทอดไว้ วิชานี้แต่เดิมก็เป็นแบบนี้"

ฟางจือสิงถาม "แล้วต้นฉบับล่ะ?"

เอี้ยนหงเถาตอบว่า "ต้นฉบับของวิชานั้นถูกเก็บไว้ในสุสาน ต่อมาเว่ยอันเฟิงขุดมันออกมา แต่เก็บรักษาไม่ดีจนเกิดการเสื่อมสภาพรุนแรง เกือบจะสูญสลาย ข้าจึงต้องถ่ายทอดวิชานี้ไว้บนร่างกายข้าเอง"

ฟางจือสิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนออกคำสั่ง "อยู่ในท่านั้นไว้ก่อน ข้าต้องใช้เวลาในการจดจำ"

"เข้าใจแล้ว เจ้าท่องจำเถอะ"

เอี้ยนหงเถายืนนิ่งไม่ขยับ

แต่ฟางจือสิงไม่จำเป็นต้องท่องจำด้วยซ้ำ เพราะเขาแค่จ้องไปที่ แผงควบคุมระบบ

ตราบใดที่วิชาที่เอี้ยนหงเถามอบให้นั้นเป็นของจริง ระบบจะสามารถวิเคราะห์เงื่อนไขการบรรลุขั้นสูงสุดออกมาได้

เพียงรอเวลาเท่านั้น

ขอแค่ให้มันเป็นของจริง...

ในตอนนี้เอง ฟางจือสิงจึงมีโอกาสได้พิจารณาเอี้ยนหงเถาอย่างละเอียด

ต้องยอมรับว่าผิวของนางงดงามราวกับน้ำแข็งและหิมะ ขาวสะอาดจนมีสีชมพูระเรื่อ ดูเนียนใสราวลูกท้อในฤดูใบไม้ผลิที่ปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง

ร่างของนางก็ยิ่งไร้ที่ติ สง่างามอ่อนช้อย

ใบหน้าของนางมีเสน่ห์ดึงดูดโดยธรรมชาติ ใบหน้าของนางงดงามราวกับหยก

คิ้วเรียวงาม ดวงตาสดใส จมูกโด่งงาม แก้มเปล่งปลั่ง และริมฝีปากแดงฉ่ำราวกับเชอร์รีเปียกน้ำ

นอกจากนั้น กลิ่นหอมที่อบอวลจากตัวนางก็น่าหลงใหลยิ่งนัก

ยิ่งฟางจือสิงมองนางมากเท่าไร ดวงตาของเขายิ่งร้อนแรง และลมหายใจยิ่งหนักหน่วงขึ้น

แต่เขาไม่ใช่คนที่จะถูกความงามล่อลวงได้ง่าย อีกทั้งเขาไม่เคยขาดแคลนผู้หญิง เขาผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วนในทุกแบบ

สำหรับเว่ยอันเฟิงที่หลงใหลในตัวเอี้ยนหงเถาอย่างไม่ลืมหูลืมตา นางอาจมีเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ ลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น

แต่สำหรับฟางจือสิง ผู้มีประสบการณ์กับหญิงงามมากมาย นางไม่ได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวเลย

"สู้ทำเรื่องสำคัญดีกว่า"

ฟางจือสิงตั้งสติให้มั่น แล้วหันไปอ่านวิชา “วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว”

เนื้อหาของวิชานั้นซับซ้อนและลึกลับอย่างที่เขาคาดไว้ ยากต่อการเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ส่วนแรกของวิชานั้นยังพอเข้าใจได้

ฟางจือสิงเข้าใจว่า “การเปลี่ยนร่างเป็นอสูร” เป็นกระบวนการที่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่ใช่เรื่องที่จะเล่นสนุกได้

เมื่อร่างกายมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ หากพลาดเพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นร่างผิดรูป หรือในกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นระเบิดร่างตายทันที

ฟางจือสิงเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปกินเวลาหลายล้านปี ผ่านการกลายพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างซ้ำๆ จนกว่าจะเหลือรอดตามธรรมชาติ

แต่การเปลี่ยนร่างเป็นอสูรกลับพยายามทำสิ่งที่ใช้เวลาหลายล้านปีให้สำเร็จในชั่วพริบตา เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง

ดังนั้น การฝึกฝนในระดับ “เก้าวัว” จึงถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้นตอนที่เรียกว่า “บทประสานสี่ท่อนของการเปลี่ยนร่างเป็นอสูร”

จากชื่อก็ชัดเจนว่า การเปลี่ยนร่างเป็นอสูรของนักรบไม่ได้เกิดขึ้นในครั้งเดียว แต่ต้องดำเนินไปตามลำดับทีละขั้นตอน

การเปลี่ยนร่างเป็นอสูรขั้นที่หนึ่ง คือการปลดปล่อยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น การเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมือหรือเท้าเพียงข้างเดียวให้เป็นอสูร

ต้องเข้าใจก่อนว่า เงื่อนไขเบื้องต้นของการเปลี่ยนร่างอสูรคือ ต้องมีพลังอย่างน้อย "เก้าวัว"

หากไม่มี ในช่วงเวลาที่ร่างกายถูกปลดปล่อย ความแข็งแกร่งของร่างกายจะไม่เพียงพอจนทำให้ร่างกายพังทลายและระเบิด

นี่คือเหตุผลว่าทำไมพลังขั้นต่ำของระดับ เก้าวัว จึงถูกกำหนดไว้ที่น้ำหนัก 90,000 ชั่ง

พลังเก้าวัว ไม่เพียงแต่เป็นเส้นแบ่งระดับพลัง แต่ยังเป็นเส้นแบ่งความปลอดภัยของชีวิตด้วย

หากสำเร็จขั้นนี้ ก็ถือว่าเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของระดับเก้าวัว

การเปลี่ยนร่างเป็นอสูรขั้นที่สอง ต้องปลดปล่อยร่างกายอย่างน้อยหนึ่งในสามของร่างทั้งหมด และพลังจะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ เก้าวัวขั้นกลาง

ขั้นที่สาม ต้องปลดปล่อยสองในสามของร่างกายทั้งหมด ซึ่งจะเข้าสู่ระดับ เก้าวัวขั้นปลาย

ขั้นที่สี่ คือการปลดปล่อยร่างกายทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าบรรลุระดับ เก้าวัวเต็มขั้น

ในระหว่างการเปลี่ยนร่างเป็นอสูรยิ่งปลดปล่อยร่างกายมากเท่าใด พลังที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

แต่ต้องพิจารณาถึงความแตกต่างในด้านพรสวรรค์ คุณภาพของวิชา และทรัพยากรของแต่ละบุคคล

ดังนั้น หลังจากการเปลี่ยนร่างเป็นอสูรระดับพลังในการต่อสู้ที่ได้รับจะไม่เหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น ซินจั้นหง และ สตรีชุดม่วง ทั้งสองคนมีลักษณะการเปลี่ยนร่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนหนึ่งกลายเป็นมนุษย์ครึ่งม้า อีกคนหนึ่งกลายเป็นค้างคาวบินได้

หากต่อสู้บนพื้นดิน ซินจั้นหงจะได้เปรียบมาก

แต่ถ้าต่อสู้บนท้องฟ้า สตรีชุดม่วงแทบจะไร้เทียมทาน

ใครแข็งแกร่งกว่าไม่สามารถตัดสินได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพรสวรรค์ในวิชาการต่อสู้จะสูงเพียงใด หรือรูปแบบการเปลี่ยนร่างเป็นอสูรจะเป็นเช่นไร พลังสูงสุดที่สามารถบรรลุได้คือ หนึ่งร้อยวัว

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครที่หลังจากปลดปล่อยร่างกายทั้งหมดแล้วสามารถมีพลังเกินกว่าหนึ่งร้อยวัวได้เลย

ขีดสุดของพลังอยู่ที่หนึ่งล้านชั่ง

ดังนั้น ระดับถัดไปจากเก้าวัวก็คือ ระดับร้อยวัว

เก้าวัวคือขั้นต่ำ ร้อยวัวคือขีดสูงสุด!

ตามโครงสร้างนี้ วิชาการเปลี่ยนร่างเป็นอสูรจึงถูกแบ่งออกเป็นสี่ชั้น ซึ่งต้องฝึกฝนทีละขั้นตอน

"วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว  " ก็เช่นกัน

ขณะกำลังครุ่นคิด...

ทันใดนั้น แสงจากแผงควบคุมระบบสว่างวาบขึ้น

ฟางจือสิงดึงสติกลับมาในทันที

[เงื่อนไขการบรรลุเต็มขั้นของ "วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว  " ชั้นที่หนึ่ง]

1.  ฝึกวิชาที่เกี่ยวข้องกับเลือดพิเศษให้ถึงขั้นห้าสัตว์เต็มขั้น (สำเร็จแล้ว)

2.  เอาชนะหรือสังหารสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกัน 72 ตัว (ยังไม่สำเร็จ)

3.  รวบรวมขาของสัตว์ประหลาดหลายขาในระดับสาม 10 ชนิด (สัตว์ที่มีขามากกว่าสี่ขาถือเป็นหลายขา, ยังไม่สำเร็จ)

4.  สังหารสัตว์ประหลาดระดับสี่ 1 ตัว หรือผู้ฝึกตนระดับเก้าวัว 1 คน (ยังไม่สำเร็จ)

5.  ใช้โทเท็มเป็นจินตภาพมากกว่า 1,000 ครั้ง (ยังไม่สำเร็จ)

6.  อาบในทะเลเลือด 1 ครั้ง (ยังไม่สำเร็จ)

7.  เก็บเลือดของหญิงสาวที่มีเลือดพิเศษ 1 คน (ยังไม่สำเร็จ)

8.  รวบรวมดอกไม้เทียนลั่ว 12 ดอก และหญ้าเปลี่ยนเลือด 36 ต้น (ยังไม่สำเร็จ)

9.  ค้างคืนในเขตหวงห้ามระดับสี่ 1 ครั้ง (ยังไม่สำเร็จ)

10. เนื้อสัตว์ประหลาดระดับสาม 100,000 จิน หรือเม็ดเนื้อระดับสามชั้นยอด 48,000 ก้อน (ยังไม่สำเร็จ)

“ฮ่า เงื่อนไขการบรรลุเต็มขั้นปรากฏแล้ว!”

ฟางจือสิงรู้สึกยินดีอย่างที่สุด จนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

"น่าทึ่งจริงๆ วิชาที่อยู่บนร่างของเอี้ยนหงเถาเป็นของจริงแทบไม่ต้องพยายามหา!"

เขาพิจารณาเงื่อนไขทั้ง 10 ข้ออย่างละเอียด

ข้อ 1 คือเงื่อนไขเบื้องต้น

ฟางจือสิงได้ฝึก “วิชาเลือดทะเลแห่งโชคชะตาอันโหดร้าย” และ “ตำราเลือดศักดิ์สิทธิ์เทียนลั่ว” มาแล้ว จึงผ่านเงื่อนไขนี้

ข้อ 2, 3, 4 เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการสังหาร

โดยเฉพาะข้อ 4 ซึ่งยากที่สุด เพราะต้องสังหารสัตว์ประหลาดระดับสี่ หรือผู้ฝึกตนระดับเก้าวัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

ข้อ 5 เกี่ยวกับการใช้โทเท็มเป็นจินตภาพ

แต่ปัญหาคือ โทเท็มบนร่างของเอี้ยนหงเถานั้นเลือนรางเกินไป จะใช้เป็นจินตภาพได้อย่างไร?

ข้อ 6 ต้องสร้างทะเลเลือด ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก หากพิจารณาว่าสามารถทำควบคู่ไปกับข้อ 2, 3 และ 4 ได้

เงื่อนไขข้อ 10 ก็สามารถทำเช่นเดียวกัน

ข้อ 7 คือการเก็บเลือดจากหญิงสาวที่มีเลือดพิเศษ

ฟางจือสิงสะดุ้งเล็กน้อย เขามองเอี้ยนหงเถา ผู้มีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับครุ่นคิดในใจ...

เงื่อนไขข้อ 8 คือการรวบรวมดอกไม้และสมุนไพรหายาก หากสามารถซื้อได้ก็ซื้อเถอะ

ส่วนข้อ 9 ค่อนข้างแปลกใหม่ ต้องค้างคืนในเขตหวงห้ามระดับสี่ ซึ่งเขาไม่เคยลองมาก่อน

ฟางจือสิงตรวจสอบเงื่อนไขการบรรลุเต็มขั้นทั้งสิบข้อซ้ำไปซ้ำมา และในที่สุดก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

“ได้เลย ข้าจำทั้งหมดได้แล้ว”

เขาดับคบไฟในมือ และถอยหลังไปสองก้าวอย่างช้าๆ

เอี้ยนหงเถาหันตัวกลับมา ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวก่อนถามว่า

“ตอนนี้เจ้าจะปล่อยข้าไปได้หรือยัง?”  ฟางจือสิงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น

“เจ้าปกป้อง ‘วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว  ’ อย่างพิถีพิถันแบบนี้ เพราะเจ้าต้องการฝึกมันใช่หรือไม่?”

เอี้ยนหงเถาตอบกลับด้วยความสงบ

“ใช่ วิชา ‘เลือดแห่งพลังชีวิต’ นั้นมีภาคต่อให้เลือกฝึกมากมายหลายสิบวิชา แต่ ‘วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว  ’ เป็นวิชาที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย”

ฟางจือสิงกล่าวต่อทันที

“ข้าดูคำอธิบายของวิชานี้แล้ว การฝึก ‘วิชาเปลี่ยนเลือดเทียนลั่ว ’ มีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่ง และยังเป็นทางลัดที่ช่วยเพิ่มพลังได้รวดเร็ว นั่นคือการหาคู่ที่มีเลือดพิเศษเพื่อฝึกฝนร่วมกัน ข้าก็พอดีตรงตามเงื่อนไขนี้”

เอี้ยนหงเถาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นนิดๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเธอรู้สึกอย่างไร

“เจ้าชิงเอาวิชาของข้าไปแล้ว ยังจะคิดจะนอนกับข้าอีกหรือ?”

ฟางจือสิงอธิบายด้วยความจริงจัง

“ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับห้าสัตว์เต็มขั้น ส่วนเจ้าอยู่แค่ระดับสองสัตว์ หากฝึกฝนร่วมกัน เจ้าจะได้ประโยชน์มากกว่า”

เอี้ยนหงเถาหัวเราะหึในลำคอ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ในโลกนี้มีผู้ชายมากมายที่ดีกว่าเจ้า คนที่เหนือกว่าเจ้าเยอะแยะ ทำไมข้าต้องเลือกเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญแค่ไหนกัน?”

ฟางจือสิงหัวเราะเยาะกลับ โดยไม่เสียเวลาโต้เถียง

“ทักษะระเบิด: เครือข่ายเลือด!”

เสียงกรอบแกรบดังขึ้น ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาเขาสูงถึงสามเมตร

ร่างกายอันกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ทรงพลัง เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความดุดัน

เอี้ยนหงเถาถึงกับหายใจสะดุด ใบหน้าสงบนิ่งของนางเผยให้เห็นความตกตะลึง

ฟางจือสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ข้าอายุ 19 ฝึก ‘ตำราเทียนลั่วโลหิตศักดิ์สิทธิ์’ และมีพลัง 200,000 ชั่ง เจ้าคิดว่าใครเหนือกว่าข้า?”

เอี้ยนหงเถาตกตะลึงจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้จากความกดดันมหาศาลที่เขาปล่อยออกมา

ทันใดนั้น สายตาของนางมองข้ามไหล่ของฟางจือสิงไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน

ฟางจือสิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนหันไปมองยอดไม้ด้านหลัง

ดวงตาทั้งสองข้างของเขากลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด กวาดมองป่าและท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างระมัดระวัง  แต่เขาไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

“ขอเวลาข้าสักหน่อย...”  เอี้ยนหงเถาพูดขึ้นทันที

“เรื่องนี้เกี่ยวกับศักดิ์ศรีของข้า ข้าต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ฟางจือสิงหันกลับมามองนางด้วยดวงตาสีเลือด ก่อนที่เอี้ยนหงเถาจะพูดเตือนอย่างจริงจัง

“เจ้าควรเข้าใจว่าการฝึกฝนร่วมกันต้องเกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เจ้าไม่สามารถบังคับข้าได้”

“แน่นอน”

ฟางจือสิงยิ้ม ก่อนที่ร่างกายของเขาจะค่อยๆ หดกลับสู่ขนาดปกติ

เอี้ยนหงเถาลุกขึ้นยืนถามว่า

“ข้ายังไม่ได้ถาม ชื่อของเจ้าคืออะไร?”

ฟางจือสิงตอบอย่างราบเรียบ

“อีกสามวัน ข้าจะมาหาเจ้าอีก หากเจ้าตกลง ให้ผูกริบบิ้นสีแดงไว้ที่หน้าต่าง หากเจ้าไม่ตกลง ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก”

พูดจบ เขาหันหลังเดินจากไป และหายตัวไปในความมืดของป่า

“คนบ้า! ยังไม่ยอมพาข้ากลับเลย!”

เอี้ยนหงเถาพูดอย่างขุ่นเคือง ก่อนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมโค้งตัวคำนับ

“ท่านอาจารย์ ท่านมาแล้ว”

ภายใต้แสงจันทร์อันเยือกเย็น หญิงสาวผมยาวปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ

นางเอียงศีรษะมองไปยังทิศทางที่ฟางจือสิงหายไปด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมกลิ่นพิษจากตัวเจ้าไม่ทำให้ชายคนนั้นหมดสติ?”

เอี้ยนหงเถาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบ

“กลิ่นกายของศิษย์มีผลเฉพาะกับคนที่จิตใจอ่อนแอและถูกความงามล่อลวง ชายผู้นั้นแทบจะไม่หวั่นไหวต่อความงามของข้าเลย”

...

ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงกระพือปีกดังขึ้น  นกพิราบส่งสารตัวหนึ่งบินเข้าสู่ หยี่เซียงไจ๋.

"ในเวลาบ่ายสามของวันนี้ เดินทางไปยังท่าเรือเฟิงซี ห่างจากเมืองใต้ 185 ลี้ เพื่อนำตัวชายหนุ่มในชุดขาวเข้ามาในเมือง และจัดให้เขาพักที่หยี่เซียงไจ๋ ชายคนนี้จะมีตราสัญลักษณ์ของตระกูลหลัวติดตัว"

ฟางจือสิงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นภารกิจที่ง่ายที่สุดที่เขาเคยได้รับ

"แค่ไปรับคนคนเดียวเท่านั้นหรือ?"

ฟางจือสิงเรียกหงเย่มาสั่งการ ให้จัดการส่ง คู่ยมทูตเยี่ยนหยาง ไปรับตัวชายหนุ่ม

พอตกเย็น คู่ยมทูตเยี่ยนหยางก็กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มในชุดขาว

เมื่อฟางจือสิงมองดูอย่างละเอียด เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากในทันที

แวบแรก เขารู้สึกว่าชายหนุ่มในชุดขาวเป็นผู้ชาย แต่เมื่อมองอีกครั้ง กลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือผู้หญิง!

"เป็นไปไม่ได้!"

บางคนดูไม่ชัดเจนว่าเป็นคนหรือสัตว์ ในขณะที่บางคนมองดูงดงามจนแยกเพศไม่ออก

ฟางจือสิงลุกขึ้น ยกมือคำนับและพูดพร้อมรอยยิ้ม

"ข้าจ้ายจู่ ฟางเม่าเฟิงเป็นเจ้าของที่นี่ ขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่?"

ชายหนุ่มในชุดขาวยิ้มเล็กน้อย ตอบทันที

"ข้าคือซือเหมียวจวิน เป็นเพียงนักพเนจรในยุทธภพ ยินดีที่ได้พบเจ้าหอหยี่"

เมื่อฟางจือสิงได้ยินเสียงของเขา ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่ก็แฝงไปด้วยเสียงทุ้มต่ำที่มีเสน่ห์ เขาจึงมองไปที่ลูกกระเดือดซึ่งเห็นรางๆ ยังคงตัดสินไม่ได้ว่าซือเหมียวจวินเป็นชายหรือหญิง

"ข้าเป็นผู้ชาย"

ซือเหมียวจวินค่อยๆ กางพัดกระดาษออก ท่าทางสง่างามเหมือนหยก พร้อมรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ข้าคือชายแท้"   ฟางจือสิงหัวเราะเสียงดัง

"ท่านเหมียวจวินช่างพูดเล่นเก่งเสียจริง"  เขาเชิญซือเหมียวจวินนั่งลงดื่มชา แล้วเริ่มสอบถาม

"ฟังจากสำเนียง ท่านน่าจะเป็นชาวเมืองชิงเหอ ใช่หรือไม่?"

ซือเหมียวจวินตอบเลี่ยงๆ  "ข้าพเนจรไปทั่ว ไม่มีที่พำนักถาวร"

ฟางจือสิงพยักหน้าและถามต่อ

"แล้วท่านเหมียวจวินมาที่เมืองนี้ด้วยจุดประสงค์ใด หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ โปรดแจ้งมาได้เลย"

ซือเหมียวจวินหัวเราะเบาๆ ตอบด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน

"เพียงแค่เดินทางมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่กล้ารบกวนเจ้าหอหยี่"

เมื่อฟางจือสิงเห็นว่าไม่อาจได้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็ไม่เซ้าซี้ต่อ และสั่งให้หงเย่จัดหาที่พักให้ซือเหมียวจวิน

...

ค่ำคืนฟางจือสิงไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่คฤหาสน์ตระกูลอู๋ตามปกติ

คราวนี้ เขาตรงไปหาอู๋หงชิวและถาม

"ที่บ้านข้ามีแขกผู้ทรงเกียรติคนหนึ่ง เขาเรียกตัวเองว่าซือเหมียวจวิน เจ้าเคยได้ยินชื่อเขาหรือไม่?"

อู๋หงชิวเลิกคิ้ว ถามกลับ

"อะไรนะ เจ้าพบตัวจริงของนางแล้วหรือ? นางงดงามไหม?"

ฟางจือสิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนพูดอย่างลังเล

"นาง...เป็นผู้หญิง?"

"ฮ่าๆ!"

อู๋หงชิวหัวเราะจนตัวโยก

"แน่นอนว่านางเป็นผู้หญิง แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่านางเป็นผู้ชายล่ะ?"

ฟางจือสิงยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับ

"นางดูไม่ชัดเจนระหว่างชายหญิง ข้าคงไม่อาจถอดกางเกงของนางเพื่อตรวจสอบได้หรอกใช่ไหม?"

"เจ้ากล้าหรือ!"  อู๋หงชิวเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง กล่าวเตือน

"ซือเหมียวจวินไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าห้ามมีความคิดไม่เหมาะสมกับนางเด็ดขาด เข้าใจไหม?"

ฟางจือสิงถามด้วยความประหลาดใจ

"ตกลงนางเป็นใครกันแน่?"

อู๋หงชิวพูดเสียงเบา  "ตอนที่เจ้าเมืองยังหนุ่ม เขาเคยมีความสัมพันธ์กับหญิงคณิกาคนหนึ่ง ซือเหมียวจวินคือลูกสาวที่เกิดจากความสัมพันธ์นั้น"

ฟางจือสิงพยักหน้าเข้าใจในทันที ซือเหมียวจวินคือบุตรสาวนอกสมรสของเจ้าเมือง

อู๋หงชิวอธิบายต่อ "ราวครึ่งเดือนก่อน เจ้าเมืองได้รับจดหมายจากหญิงคณิกาคนนั้น แจ้งว่ามีลูกสาวหนึ่งคน หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นลูกแท้ๆ เจ้าเมืองก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ แต่เนื่องจากสถานะของนางค่อนข้างพิเศษ จึงยังไม่รับเข้าบ้าน และให้นางพักอยู่กับเจ้าแทน"

ฟางจือสิงเข้าใจทันทีว่า ซือเหมียวจวินเป็นเหมือนของร้อนที่ต้องดูแลอย่างระมัดระวัง

อู๋หงชิวเห็นดังนั้น ก็พูดหยอกล้อ

"เห็นซือเหมียวจวินงดงามขนาดนั้น เจ้าคงรู้สึกกระหายขึ้นมาบ้างล่ะสิ? ไม่ต้องกังวล คืนนี้ข้าจะหาโฉมงามมาให้เจ้าเอง"

ฟางจือสิงพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

"ทุกคนในงานนี้ต่างสวมหน้ากาก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ข้าเจอสวยหรือไม่?"

"อืม จริงด้วย"

อู๋หงชิวหัวเราะ  "ก็เหมือนคำพูดเก่าๆ ว่า เมื่อปิดไฟ ทุกอย่างก็เหมือนกัน เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองนอนกับใคร นั่นก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งเหมือนกัน"

ฟางจือสิงเพียงแค่ถอนหายใจ

อู๋หงชิวปิดปากหัวเราะและกล่าว

"วางใจเถอะ ผู้หญิงที่ข้าจะแนะนำให้เจ้าล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ไม่มีใครหน้าตาขี้เหร่แน่นอน เจ้าจะไม่ผิดหวัง"   ฟางจือสิงเพียงยิ้มรับฟังอย่างไม่ใส่ใจ

...

เช้าวันต่อมา

เมื่อเขากลับมาที่ หยี่เซียงไจ๋ เขาเอ่ยถาม  "หงเย่ ซือเหมียวจวินเป็นอย่างไรบ้าง?"

หงเย่ตอบ  "ทุกอย่างปกติดี นางดูเรียบง่ายนอกจากเรื่องกินอยู่ทั่วไปแล้ว นางบอกเพียงว่านางชอบเล่นดนตรี ข้าจึงมอบพิณเก่าๆ ให้กับนางไปหนึ่งตัว"

ฟางจือสิงกล่าวทันที  "ไปซื้อพิณดีๆ มาให้นาง"

หงเย่แปลกใจ  "ท่านรู้แล้วว่านางเป็นใครหรือ?"

ฟางจือสิงก้มตัวกระซิบที่ข้างหูของหงเย่ เมื่อหงเย่ได้ยินก็ถึงกับหยุดหายใจ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

ช่วงบ่าย

พิณถูกนำมาส่ง  มันคือพิณเขียว “ลวี่ฉี่” ทั้งตัวเป็นสีดำสนิทแฝงเงาเขียวเรืองรอง ราวกับเถาวัลย์สีเขียวพันรัดอยู่บนไม้โบราณ

ฟางจือสิงถือพิณเขียวด้วยตนเองและนำไปมอบให้ซือเหมียวจวิน

"พิณที่ยอดเยี่ยม!"

ดวงตาของซือเหมียวจวินส่องประกายด้วยความยินดี นางดูชื่นชอบพิณนี้อย่างมาก นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

"ขอบคุณเจ้าหอหยี่มาก หากเช่นนั้นข้าจะบรรเลงเพลงหนึ่งให้ท่านฟังเป็นการตอบแทน ดีหรือไม่?"

ฟางจือสิงกล่าวทันที

"เป็นเกียรติอย่างยิ่ง"

ซือเหมียวจวินนั่งลงและเริ่มดีดพิณ เมื่อปลายนิ้วของนางขยับ เสียงพิณอันไพเราะราวกับธารน้ำใสก็ไหลรินออกมา

ฟางจือสิงนั่งฟังอย่างเงียบสงบ และค่อยๆ เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงพิณ

หลังจากบทเพลงจบลง เขาก็นึกถึง ซู่เหนียง ขึ้นมา

ซู่เหนียงเองก็มีฝีมือในการเล่นพิณ อีกทั้งก่อนที่ทั้งสองจะแยกจากกัน ซู่เหนียงยังมอบ ตำราบทเพลง

"กานฉางต้วน" ให้กับเขา

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ฟางจือสิงจึงหยิบตำราเพลงเล่มนั้นออกมาและส่งให้ซือเหมียวจวิน

"เพลงที่ยอดเยี่ยม!"

ซือเหมียวจวินเปิดดูอย่างคร่าวๆ และถูกเนื้อหาในตำราทำให้ประทับใจอย่างลึกซึ้ง

นางกล่าวด้วยความชื่นชม

"ผู้ที่แต่งเพลงนี้ได้ต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง"

ฟางจือสิงหัวเราะในใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าอัจฉริยะคนนั้นบัดนี้ได้กลายเป็นปีศาจและจบชีวิตอย่างอนาถแล้ว…

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด