บทที่ 1 เปิดหัวมาก็เป็นหนี้!
บทที่ 1 เปิดหัวมาก็เป็นหนี้!
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกเจ็ดวัน หากไม่ใช้หนี้ ก็ส่งสาวน้อยข้างกายเจ้าเมืองมา มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยม! พวกข้าจะสังหารหมู่ทุกคนในเมืองหวังข่ง ให้ชาวเมืองทั้งหมดฝังเป็นสหายเจ้า!”
นอกเมืองหวังข่ง ทหารม้ากลุ่มหนึ่งทิ้งคำขู่ไว้ ก่อนจะหันหลังควบม้าจากไป
ภายในจวนเจ้าเมือง
ซูจี้เหนียนกำลังนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงได้เป็นลมไป ในขณะกำลังเล่นกับเจดีย์ทองแดงเล็กๆ ที่ซื้อมาจากข้างถนน จากนั้นพอตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าตนเองข้ามโลกมายังสถานที่ที่เรียกว่าทวีปทะเลดาราเสียแล้ว
ยิ่งกว่านั้นยังข้ามโลกมาอยู่ในร่างของคนชื่อเดียวกัน แถมยังกลายเป็นเจ้าเมืองเมืองหวังข่งอีกต่างหาก!?
แต่ทว่า เขาได้เป็นเจ้าเมืองก็เป็นเจ้าเมืองไปเถอะ อย่าว่าจะมีทรัพย์สมบัติ สาวงามมากมาย หรือมีผู้คนเคารพนับถือเต็มเมืองเลย แม้แต่หนี้สินก็ยังมากมายก่ายกอง!
เพราะมีบิดาที่ติดการพนันเป็นชีวิตจิตใจ ก่อหนี้สินไว้มหาศาล ก่อนจะทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้เขา แล้วจากโลกนี้ไป พอตำแหน่งเจ้าเมืองตกเป็นของซูจี้เหนียน หนี้สินทั้งหลายจึงตกมาอยู่ที่เขาโดยปริยาย
กลุ่มโจรหมาป่าทมิฬเป็นกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ พวกมันมีทหารม้าที่ดุร้าย เทียบเท่ากับกองทัพขนาดเล็ก
ส่วนเมืองหวังข่งเล่า?
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเมืองหวังข่ง(เมืองว่าง) นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ชาวเมืองบางส่วนก็อพยพหนีภัย แม้แต่กองกำลังพิทักษ์เมืองก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน
คลังสมบัติในเมืองว่างเปล่า เกิดภัยพิบัติซ้ำเติม ทำให้ชาวเมืองเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ตอนนี้หลายคนกำลังจะอดตาย ซูจี้เหนียนรู้สึกว่าตนเองเพิ่งข้ามโลกมา ตำแหน่งเจ้าเมืองก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน
แต่ยังดีหน่อย เพราะสิ่งที่ข้ามโลกมาพร้อมกับซูจี้เหนียนก็คือเจดีย์ทองแดงเล็กๆ นี้ มันห้อยอยู่ที่คอของเขา ซูจี้เหนียนศึกษาอยู่นาน ก่อนจะพบว่าจิตสำนึกของตนเองสามารถเข้าไปในเจดีย์นี้ได้
ภายในเจดีย์นี้ซุกซ่อนดินแดนสามพันโลก ตั้งแต่ดินแดนระดับล่างไปจนถึงดินแดนระดับสูง แบ่งออกเป็นหลายชั้น หากเปิดออกก็สามารถซื้อสิ่งของภายในนั้นได้
แต่เมื่อซูจี้เหนียนต้องการเปิดชั้นแรก ก็พบว่าต้องใช้เหรียญทองสิบเหรียญในการเปิด
ในตอนนี้ เหรียญทองสิบเหรียญ ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับซูจี้เหนียน!
“บัดซบ! ทำไมอะไรๆ ก็ต้องใช้เงิน!” ซูจี้เหนียนอดไม่ได้ที่จะสบถ ในชาติที่แล้วเขาก็ต้องกังวลเรื่องเงินเสมอ ไม่คิดว่าหลังจากข้ามโลกมาแล้ว ชีวิตก็ยังคงเหมือนเดิม
แต่ซูจี้เหนียนก็ยังคงต้องการหาวิธีเปิดเจดีย์นี้ หากเปิดใช้งานมันได้ บางทีอาจจะมีวิธีรับมือกับกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬ
“ท่านเจ้าเมือง”
ในเวลานี้ บ่าวรับใช้ชราผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา เขาเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของจวนเจ้าเมือง ชื่อว่าหลินฝู สีหน้าของหลินฝูดูไม่สู้ดีนัก เขาพูดกับซูจี้เหนียนว่า “คนของกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬบอกว่า ให้เวลาอีกเจ็ดวัน”
“ไม่ต้องบอกหรอก ข้าได้ยินหมดแล้ว พวกมันบอกว่าจะให้ใช้หนี้หรือไม่ก็ส่งซูเยว่ไป ใช่หรือไม่”
ซูจี้เหนียนส่ายหน้า เสียงดังขนาดนั้น อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ชาวเมืองทั้งเมืองก็คงได้ยิน
“ใช่”
หลินฝูตอบรับ
ซูเยว่เป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับซูจี้เหนียนตั้งแต่ยังเด็ก ในความทรงจำของซูจี้เหนียน ซูเยว่เป็นเหมือนน้องสาวของเขา นางเป็นคนใจดี และมีฝีมือดี นางเคยเป็นหัวหน้าองครักษ์ของเมืองหวังข่งมาก่อน ต่อมาถูกบิดาของซูจี้เหนียนมอบหมายให้มาเป็นองครักษ์ประจำตัวของซูจี้เหนียน
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งซูเยว่ไป คนของกลุ่มโจรหมาป่าทมิฬคงเพียงแค่หมายตาความงามของซูเยว่ และต้องการจะจับตัวนางไปเป็นนางบำเรอเท่านั้น
“แล้วซูเยว่อยู่ที่ไหน?”
คิดถึงตรงนี้ ซูจี้เหนียนกลับไม่เห็นซูเยว่
“ซูเยว่เข้าป่าไปแล้ว ช่วงนี้เมืองขาดแคลนอาหาร ซูเยว่จึงอยากลองดูว่าจะล่าสัตว์อะไรได้บ้าง เพื่อนำกลับมาบรรเทาความเดือดร้อนของชาวเมือง” หลินฝูรีบตอบ
“นังด็กโง่นี่!”
ซูจี้เหนียนยิ้มอย่างขมขื่น ชาวเมืองมีมากมายขนาดนั้น ต่อให้นางล่าสัตว์ได้มากแค่ไหน มันก็คงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนทั้งเมืองได้หรอก
“ลุงฝู” ซูจี้เหนียนกัดฟันแน่น มองไปที่หลินฝู ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เมืองของเราไม่ใช่ว่ามีหอการค้าอยู่แห่งหนึ่ง ที่ชื่อว่าหอการค้าเฉียนอวิ๋น(พันเมฆา) หรอกหรือ? ท่านคิดว่าเราสามารถใช้ชื่อของจวนเจ้าเมืองไปขอยืมอาหารจากพวกเขามาบ้างได้หรือไม่? เพื่อให้แน่ใจว่าชาวเมืองจะมีอาหารกิน นอกจากนี้ก็…”
“ท่านเจ้าเมือง อย่าคิดเลย”
หลินฝูยิ้มอย่างขมขื่น “จวนเจ้าเมืองของเราไม่มีความน่าเชื่อถือ ในหอการค้าเฉียนอวิ๋นอีกต่อไปแล้ว
หอการค้าเฉียนอวิ๋นจะไม่ให้เรายืมอาหาร เพราะพวกเขารู้ว่าจวนเจ้าเมืองของเราไม่มีทางใช้หนี้คืนได้”
“แล้วเรายังมีเงินเหลือเท่าไหร่? หรือว่าเรายังมีอาหารเหลืออยู่บ้างไหม?”
ซูจี้เหนียนถามอย่างยากลำบาก
“เงินเหลือไม่มากแล้ว แม้จะนำไปซื้ออาหารทั้งหมด ก็ไม่พอให้พวกเขากินได้แม้แต่มื้อเดียว ส่วนอาหาร เรามีมากพอสำหรับแค่พวกเราเอง แม้ว่าเราจะมีนาข้าวอยู่ผืนหนึ่ง แต่อาหารที่ปลูกในนาก็ไม่พอให้กิน”
ขณะที่หลินฝูกำลังจะถามเพิ่มเติม ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามา คนผู้นี้เป็นองครักษ์ของเมืองหวังข่ง เขารีบร้อนพูดว่า “แย่แล้วๆ นาข้าวผืนสุดท้ายของเราถูกแมลงมารร้ายทำลายไปแล้ว!”
“อะไรนะ!”
หลินฝูตกใจมาก “รีบให้คนไปจับมันสิ”
“ไม่ทันแล้วขอรับ ไม่รู้ว่าแมลงมารร้ายพวกนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่เราไปจับ มันก็สายไปเสียแล้ว”
องครักษ์พูดอย่างเหนื่อยหอบ
“แมลงมารร้ายคืออะไร?”
ซูจี้เหนียนมองไปที่คนทั้งสองด้วยความสงสัย ฟังดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
“แมลงมารร้ายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก” หลินฝูพูดอย่างโกรธเคือง “นาข้าวของเราเกือบทั้งหมดถูกพวกมันทำลาย”
“ท่านเจ้าเมือง นี่คือแมลงมารร้าย ข้าเพิ่งจับมาได้ครึ่งถัง แต่ในนามีเยอะมาก จับไม่หมดจริงๆ”
องครักษ์หยิบถังไม้ใบหนึ่งออกมา วางไว้บนพื้น ซูจี้เหนียนมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าแมลงมารร้ายที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ แต่แล้วดวงตาของซูจี้เหนียนก็เบิกกว้าง!
“กุ้งเครย์ฟิช!”
แมลงมารร้ายที่ว่านี้ไม่ใช่กุ้งเครย์ฟิชหรอกหรือ?
ซูจี้เหนียนถึงกับตะลึง โลกนี้มีกุ้งเครย์ฟิชด้วย แถมยังตัวใหญ่กว่ากุ้งเครย์ฟิชบนโลกอีก มันดูแข็งแรงมาก
ซูจี้เหนียนอดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกาย กุ้งเครย์ฟิชผัดหม่าล่า กุ้งเครย์ฟิชผัดกระเทียม บนโลกถือเป็นอาหารชั้นเลิศ แต่ที่นี่กลับถูกมองว่าเป็นแมลง?
“กุ้งเครย์ฟิชอะไร?”
หลินฝูและองครักษ์มองซูจี้เหนียนด้วยความงุนงง
“ข้าคิดว่า ข้าอาจจะคิดหาวิธีแก้ไขวิกฤตของเมืองหวังข่งได้แล้ว”
ซูจี้เหนียนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ช่วยข้าหาของบางอย่างมาหน่อย” ซูจี้เหนียนวาดรูปของบางอย่างลงบนกระดาษ และสิ่งที่ซูจี้เหนียนวาดคือพริกล่าเจียวกับพริกเหมาเจียว แม้ว่าซูจี้เหนียนจะมาโลกนี้ได้เพียงสองวัน แต่ระดับความเจริญของโลกนี้ยังต่ำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอาหาร เขาแทบจะกินไม่ได้เลย นอกจากต้มน้ำไม่ก็ย่างไฟ โรยด้วยเกลือเม็ดหยาบๆ ที่มีรสขมจัด ซูจี้เหนียนแทบจะทนไม่ไหว ตอนนี้เมื่อเห็นกุ้งเครย์ฟิชมากมาย น้ำลายของซูจี้เหนียนก็ไหลออกมา
ไม่มีใครสามารถต้านทานความเย้ายวนของกุ้งเครย์ฟิชได้หรอก ใช่ไหม?
ซูจี้เหนียนเชื่อมั่นในเรื่องนี้!
ซูจี้เหนียนลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง ล้างกุ้งเครย์ฟิชเหล่านี้อย่างดี และยังเอาเส้นดำออกเพื่อไม่ให้เสียรสชาติ กุ้งเครย์ฟิชที่นี่มีเนื้อแน่นกว่าบนโลก ในสายตาของซูจี้เหนียน นี่คือกุ้งเครย์ฟิชชั้นเลิศ!
ส่วนปัญหาเรื่องเกลือที่นี่มีรสขม ซูจี้เหนียนก็นำเกลือเม็ดทั้งหมดมาบดให้ละเอียด แล้วนำไปคั่วในกระทะเหล็ก แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ได้รสชาติที่ดีเหมือนเกลือบริสุทธิ์บนโลก แต่ก็ดีกว่าเดิมมาก
ไม่นาน คนที่ถูกส่งไปหาพริกล่าเจียวกับพริกเหมาเจียวก็กลับมาแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าเมืองต้องการพืชชนิดนี้ไปทำอะไร พืชชนิดนี้มีมาก แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะกินไม่ได้ พืชชนิดนี้มีพิษร้ายแรง
พริกล่าเจียวเมื่อกินเข้าไปจะทำให้ปากแสบร้อน ส่วนพริกเหมาเจียวเม็ดเล็กๆ นี้ เคยมีคนกินเข้าไปแล้ว รู้สึกเหมือนปากชาไปหมด แม้แต่พูดก็ลำบาก
(พริกทั้งสองชนิดให้คิดถึงพริกหม่าล่านะคะ)
“เอาล่ะ รีบเอามาให้ข้า เร็วเข้า!”
เมื่อนำของเข้าไปในครัว พวกเขาก็ได้ยินเสียงผัดดังมาจากข้างใน สักพักใหญ่ คนที่รออยู่หน้าครัวก็อดไม่ได้ที่จะสูดดม
กลิ่นอะไรเนี่ย!?
ช่างหอมยิ่งนัก!
แม้แต่หลินฝูก็อดไม่ได้ที่จะทำท่าสูดดม กลิ่นนี้ช่างเย้ายวนใจจริงๆ เขาอายุมากขนาดนี้ เคยติดตามเจ้าเมืองคนก่อนไปร่วมงานเลี้ยงที่อื่นๆ มาก็มาก แต่เขาก็ไม่เคยได้กลิ่นหอมเย้ายวนใจเช่นนี้มาก่อน!
บนโต๊ะในห้องหนังสือของซูจี้เหนียน มีกุ้งเครย์ฟิชผัดหม่าล่าสีแดงสดวางอยู่ กลิ่นหอมฟุ้ง เย้ายวนใจจนแทบอดใจไม่ไหว!
“ลุงฝู ลองชิมดูสิ”
ซูจี้เหนียนมองไปที่หลินฝูแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม