ตอนที่ 72 เพื่อนสมัยเด็ก (ฟรี)
ตอนที่ 72 เพื่อนสมัยเด็ก
หลังจากที่สวี่จื้อพบกับผู้ปลุกพลังอีกกลุ่มหนึ่ง รถของเธอก็น้ำมันใกล้หมด และน่าจะขับต่อไปได้อีกไม่ไกล
ก่อนหน้านี้ เธอได้เรียนรู้วิธีดูดน้ำมันจากรถคันอื่นแล้ว และเธอก็ได้รู้ว่ารถแต่ละคันนั้นกินน้ำมันแตกต่างกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์ แค่ฟังจากปากคนอื่นนั้นยังไม่เพียงพอ
เพราะตอนนั้น เธอแค่ถามสั้นๆ ว่าจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างรถแต่ละคัน และรู้ว่าคันไหนใช้น้ำมันอะไรได้อย่างไร และเธอก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้รู้ว่าตรงฝาถังน้ำ มีการแปะป้ายระบุน้ำมันที่รถคนนั้นใช้เอาไว้อยู่
เมื่อตอนนี้เห็นว่าน้ำมันใกล้หมด สวี่จื้อก็วางแผนที่จะไปมองหาในบริเวณใกล้เคียงว่ามีรถคันไหนที่ยังมีน้ำมันเหลืออยู่บ้าง
แฟมิเลียเพียงตนเดียวที่ติดตามเธออยู่ในตอนนี้คือเสี่ยวอี้ สำหรับเสี่ยวไต้ และอีกสองตนที่เหลือ ยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมาเร็วๆ นี้ ที่พวกมันแยกตัวออกไปชั่วคราว ก็เพื่อนำทางให้ผู้รอดชีวิตที่เธอพบสามารถไปถึงย่านเมืองเก่าได้อย่างปลอดภัย
สวี่จื้อถือถังน้ำมันแบบพกพาอยู่ในมือ และคอยตรวจสอบฝาถังน้ำมันของรถแต่ละคนที่จอดอยู่ข้างทางเป็นครั้งคราวขณะเดินผ่าน ดูเหมือนเธอจะเรียนรู้ และเข้าใจสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรถจอดอยู่ใกล้ๆ มากนัก และบางคันที่สวี่จื้อพบก็ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่มากพอ เธอจึงทำได้เพียงเดินออกไปให้ไกลขึ้น
เมื่อเธอกำลังจะตรวจรถทีละคน จู่ๆ ก็มีคนมาหยุดเธอไว้
“เฮ้ สาวน้อยตรงนั้นน่ะ เธอกำลังมองหาน้ำมันอยู่เหรอ?”
สวี่จื้อซึ่งก้มหน้าอยู่เลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนขึ้นเพื่อมองไปทางต้นเสียง ในเวลาเดียวกันก็เปิดใช้งานสกิลเนตรส่องความลับอย่างเงียบๆ
เธอไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอี้ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณเตือน อีกฝ่ายก็น่าจะไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคาม
ทันทีที่เธอได้ร่างของอีกฝ่าย รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของสวี่จื้อ
เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มที่ไว้ผมยาว และแต่งตัวสบายๆ ให้ความรู้สึกย้อนยุค เขาดูเหมือนนักเรียนศิลปะ
ดวงตาของเขาใสกระจ่างเหมือนคนปกติ แต่เปลวไฟสีแดงกำลังลุกโชนอยู่ในร่างของเขา
เขาดูเหมือนคนไม่มีพิษภัยเมื่อมองแวบแรก และด้วยร่างผอมบาง ทำให้คนอื่นๆ ลดความระวังตัวลง
"ใช่ ฉันกำลังมองหาน้ำมันอยู่" สวี่จื้อหันมาประชันหน้ากับเด็กหนุ่มด้วยท่าทีหวาดระแวง และทำท่าจะถอยหลังหนี หากเขายังคงเดินเข้ามาใกล้
เมื่อสัมผัสได้ถึงความระวังตัวของสวี่จื้อ เด็กหนุ่มก็กลัวว่าเธอจะวิ่งหนีไปก่อน ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า
“ครอบครัวของผมอาศัยอยู่แถวนี้ ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้คิดร้ายอะไร แค่จะมาทักทายก็เท่านั้น อีกอย่าง ผมพอจะรู้อยู่บ้างว่ารถคันไหนพอจะมีน้ำมันอยู่ เดี๋ยวจะช่วยแนะนำให้”
“งั้นเหรอ” สวี่จื้อพยักหน้าราวกับเธอเข้าใจ แสดงท่าทีว่าเธอต้องการความช่วยเหลือจริงๆ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เด็กชายก็ชี้ไปที่รถหลายคันที่จอดอยู่
“หัวมุมตรงนั้นเป็นโรงจอดรถใต้ดิน ผมรู้ว่าในที่แห่งนั้นยังมีรถอีกหลายคันที่มีน้ำมันเหลืออยู่”
สวี่จื้อกล่าวขอบคุณ จากนั้นมองดูเขาแล้วพูดว่า “ที่ก้าวออกมาช่วยฉัน มีจุดประสงค์อะไร?”
“หรือเพราะเป็นคนใจดีเลยอยากช่วยเหลือผู้อื่น?”
เมื่อเธอพูดคำว่า ‘คนใจดี’ น้ำเสียงของเธอก็ยืดยาวขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทำให้ชัดเจนอย่างว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นจริงๆ
"วัตถุประสงค์?"
เด็กหนุ่มพูดทวนซ้ำสองคำนี้ แล้วตอบด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “จะบอกว่ามันเป็นวัตถุประสงค์บางอย่างก็ไม่ถูกนัก อย่างมากมันก็เป็นคำขอเล็กๆ น้อยๆ”
สวี่จื้อเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “คำขออะไร?”
“หลังจากทั้งเมืองถูกปิดตาย ผมกับเพื่อนมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เธอได้รับบาดเจ็บจากสัตว์กลายพันธุ์เมื่อไม่กี่วันก่อน สถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่ค่อยดีนัก ผมจึงอยากจะรู้ว่าในบริเวณใกล้เคียงมีที่ไหนบ้างที่ผู้รอดชีวิตไปรวมตัวกันอยู่ ผมจะได้พาเธอไปหาหมอ ไม่งั้นหากนานไป เธอคงจะไม่รอดเป็นแน่”
ว้าว เช่นเป็นแผนการที่แยบยลมาก
สวี่จื้อส่ายหัวไปมาในใจ ดูเหมือนเด็กหนุ่มคนนี้จะวางแผนการใหญ่ เมื่อพบชุมชนที่ผู้รอดชีวิตที่รวมตัวกัน เขาก็จะได้มีเหยื่อให้เลือกมากมาย เมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะมีเครื่องสังเวยมากเกินพอ
สำหรับเรื่องคนหาย ยากที่จะหาคนมาคอยตรวจสอบ เพราะไม่ใช่ทุกที่จะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นเหมือนกับผู้คนในการ์เด้นวิลล่าของจงหลิงฟาน จากที่เห็น หลายๆ ที่ผู้รอดชีวิตมารวมตัวอย่างหลวมๆ เท่านั้น ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันจริงๆ
สวี่จื้อแสร้งทำเป็นลังเล “ฉันพอรู้ที่แบบนั้นอยู่บ้าง แต่คงไม่อาจบอกคนที่เพิ่งพบกันได้”
“เอาตรงๆ ฉันไม่ไว้ใจนาย และฉันก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่นายพูดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เด็กชายก็พยักหน้าเพื่อแสดงท่าทีว่าเข้าใจ แล้วพูดว่า “งั้นลองไปพบเพื่อนของผมดูก่อนก็ได้ อาการของเธอไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นด้วยตาตัวเอง ก็จะรู้ว่าผมไม่ได้โกหก และเธอก็จำเป็นต้องรับได้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุดจริงๆ”
“ก็ได้ พาฉันไปดูหน่อย”
สวี่จื้อก็อยากพบเหล่าสาวกเพื่อเก็บเกี่ยวแก่นพลังเลือดอยู่แล้ว เมื่อเขาอยากเล่นเกม เธอก็ยินดีจะเล่นด้วย
เธอไม่ได้กังวลหรือกลัว ท้ายที่สุดแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นจริง เสี่ยวอี้ก็จะจัดการปัญหาเหล่านั้นให้เอง
ต่อให้อีกฝ่ายมีกำลังคนมากมายที่คิด สวี่จื้อก็มั่นใจว่าจะสามารถหนีออกมาได้ ดังนั้น เธอจึงไม่กลัวที่จะต้องเข้าไปในถ้ำเสือ
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะประหลาดใจเล็กน้อยกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดของสวี่จื้อ ท้ายที่สุดแล้ว เมืองหยุนก็ถูกปิดตายเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร หากรอดมาถึงตอนนี้ได้ก็ต้องผ่านความเป็นความตายมาไม่มากก็น้อย
ดังนั้น เขาจึงคิดว่าสวี่จื้อต้องมั่นใจในตัวเองมาก จึงไม่กังวลเกี่ยวกับการเดินตามคนแปลกหน้าไป
เขาจึงยิ้มอย่างเงียบๆ และไม่พูดอะไร เพราะสำหรับเขาถือเป็นโอกาสอันดี ความมั่นใจที่มากเกินไปมักจะนำพาความตายมาให้
เดิมที สวี่จื้อคิดว่าสิ่งที่กำลังรอเธออยู่คือ สำนักงานใหญ่ของเหล่าสาวก โดยมีสาวกรวมตัวกันอยู่ในนั้นอย่างน้อยสิบคน
แต่เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะพาเข้าไปในบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง ที่แทบจะไม่มีใครอยู่เลย เมื่อเข้าไปในห้อง เธอก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าพันแผลปิดตาเอาไว้ ใบหน้าของเธอซีดขาว และมีเลือดไหลซึมออกมาใต้ผ้าพันแผลเล็กน้อย
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของสวี่จื้อ เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจ “เห็นมั้ยว่าผมไม่ได้โกหก เธอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผม เราทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน และเธอก็ได้รับบาดเจ็บจากสัตว์กลายพันธุ์เมื่อไม่กี่วันก่อน”
“ในตอนแรก ด้วยการที่เธอเป็นผู้ปลุกพลัง ผมก็คิดว่าคงจะใช้เวลาไม่นานบาดแผลก็คงหายดี แค่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น แล้วหลังผ่านไปสองสามวัน อาการของเธอก็ยังค่อยๆ แย่ลงอีกด้วย”
“เมื่อเห็นแบบนี้ ผมก็ไม่กล้าทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว และออกไปไหนไกลเพื่อขอความช่วยเหลือ ทำให้แต่รอว่าจะมีใครผ่านมาทางนี้บ้าง ในที่สุดการรอคอยของเราก็ไม่ได้สูญเปล่า”
สำหรับเรื่องเล่าของเด็กหนุ่ม สวี่จื้อก็ไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
เพราะเปลวไฟที่ลุกโชนในร่างของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงก็เป็นสีแดงเช่นเดียวกัน
สาวกสองคนนี้พยายามหลอกลวงเธออย่างเห็นได้ชัด!
“แล้วแถวนี้ไม่มีใครที่นายสามารถขอความช่วยเหลือได้อีกแล้วเหรอ?” สวี่จื้อหันไปมองเขาแล้วถาม
เด็กชายมองดูเธอแล้วพูดด้วยความจริงใจว่า “ในวันที่เกิดภัยพิบัติ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนี้ต่างอพยพออกไป หลังจากเมืองถูกปิดตาย ผู้คนก็ค่อยๆ ตายลงเพราะความหิวโหยหรือถูกสัตว์กลายพันธุ์ฆ่า สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงผมกับเธอเพียงสองคนเท่านั้น”
สวี่จื้อมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่พร่ำบ่นอยู่ในใจ เกรงว่าที่เหลือพวกเขาเพียงสองคนก็เพราะคนอื่นๆ ถูกพวกเขาฆ่าตายไปจนหมดมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สาวกที่ยังคงสติอยู่ ส่วนใหญ่ที่เธอพบมักจะพยายามรวบรวมสาวกที่ขาดสติคนอื่นๆ และตั้งตัวเป็นผู้นำ ต่างจากเด็กหนุ่มคนนี้ที่เหมือนจะแยกตัวออกมา
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ สวี่จื้อก็ถามว่า “ขอเอาผ้าพันแผลออกได้มั้ย ฉันอยากเห็นดวงตาของเธอ”
เธออยากตรวจสอบดูสักหน่อยว่าบาดแผลที่เห็นเป็นของจริงหรือเปล่า
เด็กหนุ่มตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอน”
เมื่อสวี่จื้อเห็นว่าเขาไม่ได้มีท่าทีพิรุธใดๆ ดูเหมือนว่าดวงตาของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงจะได้รับบาดเจ็บจริงๆ
แต่แค่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะตั้งใจทำหรือเปล่า
สวี่จื้อก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วเดินไปที่ข้างเตียง เธอยื่นมือออกไปที่ด้านข้างของใบหน้าของเด็กสาว และค่อยๆ ปลดผ้าพันแผลที่ปิดตาของอีกฝ่ายออก