ตอนที่ 160 เปิดม่านขึ้นแล้ว!
ตอนที่ 160 เปิดม่านขึ้นแล้ว!
กลางดึกเมื่อสายลมพัดแผ่วเบา ความเงียบงันปกคลุมพระราชวังอันกว้างใหญ่ ดูมผู้เดียวดายนั่งอยู่บนบัลลังก์อันเยือกเย็น พร้อมกับปลายนิ้วที่ลูบไล้พนักเก้าอี้อันงดงาม ความเย็นที่สัมผัสปลายนิ้วนั้นดูเหมือนจะเย็นกว่าโลหะบนหน้ากากที่ปกปิดใบหน้าของเขาเสียอีก
พรุ่งนี้ วันแรกของปี 2002 ดูมจะสวมมงกุฎขึ้นครองราชย์ และประกาศให้โลกรู้ว่า ลัตเรเวีย เป็นดินแดนของเขา และไม่มีใครหน้าไหนจะก้าวล้ำมาได้!
แต่ถึงอย่างนั้น . . . บัลลังก์นี้มันกลับดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก
“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง! พรุ่งนี้รื้อพระราชวังแห่งนี้ออกให้หมด ฉันไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว!” ดูมลุกขึ้นพร้อมร่ายเวทมนตร์สีเขียวเข้มกระแทกใส่บัลลังก์จนแตกเป็นเสี่ยง ๆ “หลังจากรื้อแล้ว สร้างตึกใหม่ที่นี่ และฉันจะเรียกมันว่า 'ดูมทาวเวอร์'!”
. . .
ข้ามแม่น้ำดานูบไปอีกฟาก ในยามค่ำคืนที่มืดสนิท แม็กนีโตออกมาจากบ้านพักที่ซ่อนตัวอยู่หลายวัน พร้อมกับพลังสนามแม่เหล็กที่ยกตัวเขาลอยขึ้นจากพื้นไปยังกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนที่เขาจะมองลงมาที่ผืนดินซึ่งจะกลายเป็นดินแดนของเขาในอนาคต
แผ่นดินผืนนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลนัก และยังห่างไกลจากประเทศในฝันที่เขาเคยวาดหวังไว้ แต่เขากลับเลือกที่จะประนีประนอม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาชิงชังคำว่าประนีประนอมอย่างที่สุด
เพราะไม่ยอมประนีประนอม ไม่ยอมต่อรองผลประโยชน์ใด ๆ กับมนุษย์ธรรมดา และยึดมั่นในความเชื่อว่าความแข็งแกร่งคือตัวกำหนดทุกสิ่ง เขาจึงทำให้ตัวเขาเองและบราเธอร์ฮูดออฟมิวแทนท์ของเขาตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่นี้
เขาเคยเชื่อว่าชั่วชีวิตของเขาจะไม่มีวันยอมประนีประนอมกับใคร แต่ในที่สุดเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้น
พรุ่งนี้ ประเทศแรกของโลก และเป็นประเทศแรกในประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งโดยเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์จะถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ โดยมีสายตาทั้งโลกจะจับจ้องมายังสถานที่แห่งนี้ รวมถึงผู้ที่มองมนุษย์กลายพันธุ์เป็นภัยคุกคาม!
“พร้อมหรือยัง?” เอริคปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบที่ด้านหลัง พร้อมหิ้วกล่องใบใหญ่ติดมือมาด้วย “อีกไม่กี่วันต่อจากนี้ ต้องสนุกแน่”
“ไม่มีอะไรต้องเตรียมอีกแล้ว ทุกอย่างที่ต้องทำได้ทำไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าแล้วล่ะ” แม็กนีโตหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทีปล่อยวางราวกับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่
“โอ้? ฉันไม่คิดเลยว่าแม็กนีโตจะเชื่อในพระเจ้าด้วย หรือว่านายจะเป็นแม็กนีโตตัวปลอม?” เอริคกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
แม็กนีโตแค่นเสียงเย็นเยือก “ฉันไม่เคยเชื่อในพระเจ้าอยู่แล้ว! วันพรุ่งนี้เราจะต้องสำเร็จแน่นอน!”
เอริคหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นกล่องในมือให้ “ถือดี ๆ นะ นี่คืออาวุธที่อันตรายที่สุดในโลก!”
แม็กนีโตรับกล่องด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม “ขอบใจ!”
“พวกเรายังจำเป็นต้องมีพิธีรีตองด้วยเหรอ?”
. . .
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อแสงอาทิตย์แรกของปี 2002 สาดส่องลงสู่พื้นดิน พระราชวังเก่าแก่หลายร้อยปีก็ระเบิดเสียงดังสนั่น ประกาศจุดจบของสถานที่แห่งนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ พร้อมทั้งประกาศการขึ้นครองอำนาจของราชาผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์ลัตเรเวีย
ภาพประวัติศาสตร์นี้ได้ถูกถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต ทุกสายตาที่จับจ้องดูมต่างตะลึงงัน ไม่ว่าจะเป็นริชาร์ด ศัตรูคู่แค้นของเขา ซูซาน อดีตคู่รักที่ทรยศเขา อาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นในมหาวิทยาลัยของเขา FBI และ CIA ที่เคยหมายหัวเขา รวมถึงหน่วยชิลด์ที่จับตาดูอยู่ตลอดเวลา
แต่ถึงอย่างนั้น ลัตเรเวียก็เป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียงห้าแสนคน ซึ่งเล็กกว่าหลายเมืองของประเทศใหญ่ ๆ ทำให้ความสนใจจากโลกยังคงมีจำกัดอยู่บ้างเล็กน้อย
จนกระทั่งในวันเดียวกันนั้นเอง บนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำดานูบ ประเทศใหม่ก็ได้ประกาศการก่อตั้งขึ้นมาอีกหนึ่งประเทศ นั่นก็คือ ยูโทเปีย ดินแดนของมนุษย์กลายพันธุ์!
ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็ตื่นตระหนก เสียงวิจารณ์ดังกระหึ่ม และมีคนกว่าร้อยละเก้าสิบที่คิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่น มนุษย์กลายพันธุ์ซึ่งอันตรายและน่าหวาดกลัวเช่นนี้ จะตั้งประเทศได้อย่างไร? มันช่างเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ!
และยิ่งไปกว่านั้น ราชาของพวกเขาก็คือ แม็กนีโต (แม็ก ไอเซนฮาร์ท) ผู้เคยก่ออาชญากรรมมหันต์ในหลายประเทศ และเป็นที่ต้องการตัวจากนานาชาติ!
“นี่เป็นแผนชั่วของมนุษย์กลายพันธุ์!”
“พวกมันต้องการยึดครองโลก!”
“พวกมันควรถูกกำจัดไปตั้งนานแล้ว!”
“ไม่จริง! รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้! นี่เป็นแผนสมคบคิดของพวกมัน!”
“ทุกท่าน เราไม่สามารถปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปได้อีกแล้ว! หากพวกเขาสร้างประเทศสำเร็จ ปัญหามนุษย์กลายพันธุ์จะกลายเป็นประเด็นระดับนานาชาติ และพวกเขาจะยิ่งอันตรายมากขึ้น!”
ทหารวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบผู้พันกองทัพสหรัฐฯ ทุบโต๊ะตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวกราดจนข้อนิ้วแดงช้ำ แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้สังเกตหรือใส่ใจเลย
ที่นี่คือห้องประชุมลับในทำเนียบขาว บรรดาผู้ที่ร่วมประชุมล้วนมีตำแหน่งสูงกว่าผู้พันคนนี้ รวมถึงนายพลรอสส์ที่นั่งตัวตรงในท่าทีเคร่งขรึม การแสดงออกของผู้พันที่ขาดการควบคุมนี้ แสดงให้เห็นว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเขามากเพียงใด
“ผู้พันสไตรค์เกอร์ ผมคิดว่าคุณอาจจะกังวลมากเกินไป” รองประธานาธิบดีซึ่งนั่งอยู่ข้างประธานาธิบดี เหลือบมองผู้พันสไตรค์เกอร์ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตามหลักสากล ดินแดนที่มีข้อพิพาท หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครอบครองโดยปฏิบัติการจริงเกิน 100 ปี หรือรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยสูญเสียการควบคุมพื้นที่นั้นเป็นระยะเวลาเกิน 100 ปี ดินแดนดังกล่าวถึงจะสามารถประกาศอิสรภาพได้ ผมคิดว่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ติดอยู่ระหว่างเซอร์เบียและโคโซโว อาจจะไม่ได้อยู่ดีกินดีไปกว่าที่พวกเขาเคยอยู่ในสหรัฐฯ หรอก”
“ท่านรองประธานาธิบดี ท่านประเมินพวกมนุษย์กลายพันธุ์ต่ำเกินไป! ทั้งพ่อและภรรยาของผมถูกฆ่าโดยฝีมือของพวกมัน ผมใช้เวลาทั้งชีวิตต่อกรกับพวกนี้ ไม่มีใครรู้จักพวกมันดีไปกว่าผม!” สไตรค์เกอร์พยายามควบคุมอารมณ์ แต่เส้นเลือดที่ปูดขึ้นบนหน้าผากก็แสดงให้เห็นถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ภายในของเขาได้เป็นอย่างดี “พวกมันมีวิธีทำให้มนุษย์ยอมศิโรราบ!”
“ศิโรราบ?” นายพลรอสส์แค่นหัวเราะ “พวกมันจะควบคุมโลกทั้งใบได้อย่างนั้นเหรอ? สไตรค์เกอร์ เท่าที่ผมรู้ ลูกชายคุณเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ใช่ไหม? แถมยังเป็นพวกที่สามารถควบคุมจิตสำนึกของมนุษย์ได้ด้วย!”
ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องประชุมก็เริ่มวุ่นวายขึ้นทันที เหล่าข้าราชการระดับสูงที่ร่วมประชุมต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดระแวง เพราะสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกเปิดเผยความลับในหัวสมอง ทำให้พวกเขาหันไปพูดคุยกันเบา ๆ แต่สายตาที่มองผู้พันสไตรค์เกอร์ก็เริ่มแฝงความไม่ไว้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
สไตรค์เกอร์หยุดหายใจไปชั่วครู่ก่อนหันมองนายพลรอสส์ด้วยสายตาคมกริบ เขาสูดลมหายใจลึกแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ใช่ครับ ทุกท่าน ลูกชายของผม พวกมันเรียกเขาว่า ‘จอมภาพลวงตา’ เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่สามารถสร้างภาพลวงตาในสมองมนุษย์ได้! และภรรยาของผม . . . เธอก็ตายเพราะฝีมือเขา!”
เสียงพูดคุยในห้องประชุมเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ผู้เข้าร่วมประชุมต่างเริ่มซุบซิบกันด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ
“แต่!” สไตรค์เกอร์ตะโกนเสียงดังดึงความสนใจของทุกคนกลับมา “ตอนนี้ผมไม่มีลูกชายอีกต่อไปแล้ว! สิ่งที่ผมมีเหลืออยู่ก็คือ อาวุธ X หมายเลข 143!”
น้ำเสียงเยือกเย็นและเด็ดขาดของเขาทำให้ทุกคนสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนที่ทหารคนหนึ่งจะเปิดวิดีโอเกี่ยวกับอาวุธ X ขึ้นบนจอภาพ ทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมต่างตะลึงเมื่อเห็นว่า สไตรค์เกอร์ถึงกับเปลี่ยนลูกชายของตัวเองให้กลายเป็นอาวุธสงคราม ดังนั้นสายตาของทุกคนที่มองเขาจึงเริ่มเปลี่ยนไปทันที
“พอได้แล้ว วันนี้ขอจบการประชุมแค่นี้” ในที่สุดประธานาธิบดีที่นั่งเงียบมาตลอดก็ลุกขึ้นยืน และกล่าวคำสั่งสุดท้าย “ผู้พันสไตรค์เกอร์ คุณสามารถไปยุโรปได้ แต่การกระทำของคุณจะไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลสหรัฐฯ นับจากที่คุณก้าวข้ามพรมแดนประเทศ คุณและทหารของคุณจะสูญเสียสถานะพลเมืองอเมริกันโดยอัตโนมัติ!”
ทุกคนในห้องประชุมพากันปิดปากเงียบ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ประธานาธิบดีพูดแม้แต่น้อย แม้แต่รองประธานาธิบดีและนายพลรอสส์ก็เงียบสนิท และหันไปจ้องลายบนโต๊ะอย่างตั้งใจ
สไตรค์เกอร์มองไปรอบ ๆ ห้อง สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน และไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะทำความเคารพประธานาธิบดีแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป
ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตู เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างขาของเขา
“ผู้พันสไตรค์เกอร์ ผมคิดว่าผมสามารถช่วยคุณได้!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …