บทที่ 360 พลังแห่งเทียนตี้เสวียนหวง สร้างโลก(ต้น-กลาง-ปลาย)
###
ความปรารถนาในตำแหน่งเทพ และความไม่อยากห่างเหินจากมู่หลิน ทำให้ตระกูลฉู่เริ่มลงมือดำเนินการ
ในขณะเดียวกัน อ๋องเหลียงเองก็เริ่มดำเนินการเช่นกัน
แต่การตัดสินใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความลังเล เมื่อเห็นการแสดงของมู่หลิน… เขายิ่งลังเลมากขึ้นไปอีก
จะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะเรือบินข้ามฟ้านั้นมีมูลค่ามากเกินไป มันเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของวังอ๋องเหลียง
การนำสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนั้นมาเป็นสินสอด อ๋องเหลียงยังคงตัดใจไม่ได้
สุดท้าย ฟู่ป๋อได้เอ่ยคำพูดหนึ่งที่ทำให้อ๋องเหลียงตัดสินใจได้
“ได้รับการยอมรับจากตระกูลทางใต้ และมีความสามารถกดดันตระกูลทางเหนือได้อย่างแท้จริง มู่หลินในตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของมนุษยชาติ และคนเช่นเขา พันปีอาจมีเพียงหนึ่ง…
ไม่ได้ทุกยุคทุกสมัยที่จะมีอัจฉริยะที่สามารถครองยุคสมัยได้”
“นี่คือโอกาสของพวกเรา และอาจเป็นโอกาสสุดท้าย หากหลิงซาไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้ในช่วงเวลานี้ หลังจากนี้ไป หลิงซาก็อาจไม่มีโอกาสอีกเลย”
“…”
คำพูดนี้ อ๋องเหลียงไม่สามารถโต้แย้งได้
ในราชวงศ์ต้าหลิง วังอ๋องอาจมีตำแหน่งสูง แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว ตำแหน่งอ๋องก็ไม่ได้สำคัญอะไร
เพราะในโลกนี้มีอ๋องหลายสิบคน รวมทั้งอ๋องต่างเผ่าและอ๋องต่างแซ่ ซึ่งรวมกันมีจำนวนยี่สิบถึงสามสิบคน
นอกจากนี้ ในราชวงศ์ต้าหลิงยังมีตระกูลศักดินาและนิกายใหญ่ที่มีอิทธิพลเทียบเท่าหรือเหนือกว่าวังอ๋อง
ดังนั้น วังอ๋องในราชวงศ์ต้าหลิงจึงไม่ได้อยู่ในระดับสูงสุด
ยิ่งไปกว่านั้น หากมู่หลินเติบโตขึ้นเป็นผู้ฝึกตนระดับจ้าวสวรรค์ที่แท้จริง หรือแม้แต่ระดับสูงสุด วังอ๋องเหลียงอาจไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้เขาเลย
“เฮ้อ เจ้าพูดถูก เราไม่ควรรอช้าอีกแล้ว หากยังรอช้า มู่หลินย่อมหลุดลอยไปจากพวกเราอย่างแน่นอน”
---
ขณะที่ตระกูลฉู่และวังอ๋องเหลียงเริ่มลงมือ ตระกูลศักดินาอื่น ๆ ก็เริ่มดำเนินการเช่นกัน
บางตระกูลส่งทรัพยากร บางตระกูลส่งหญิงสาว และบางตระกูลส่งบุตรหลานของตนเองมาสวามิภักดิ์โดยตรง…
ในฐานะยอดอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ มู่หลินได้รับการปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมจากทุกที่
สำหรับหญิงสาวอื่น ๆ มู่หลินไม่ได้สนใจมากนัก แต่สำหรับทรัพยากรมากมาย โดยเฉพาะพลังกร้าวแกร่ง เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“ในที่สุดก็รวบรวมทรัพยากรได้ครบแล้ว เร่งหลอมรวมพลังได้เสียที การก้าวเข้าสู่ขั้นหลุดพ้นของข้าใกล้เข้ามาแล้วในอีกไม่กี่วันนี้”
เมื่อคิดเช่นนั้น มู่หลินก็ใช้ความคิดนำจิตสำนึกของตนเข้าสู่จิตใจภายในของเขา
และที่นั่น มีแผนภาพขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นฟ้าดิน บดบังท้องฟ้าไว้
นี่คือแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงของมู่หลิน
แต่สิ่งที่ต่างจากก่อนหน้านี้ก็คือ แผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวอักษรที่เขียนอยู่บนแผ่นผ้า
นอกจากตัวอักษรแล้ว ยังมีภาพวาดที่สวยงามปรากฏขึ้นในแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงด้วย
ในตำแหน่งศูนย์กลางของภาพวาดนี้ มีตำหนักราชันย์ยมทูตตั้งตระหง่านอยู่ ราชันย์ยมทูตในหมวกมงกุฎเจ็ดแฉกกำลังประทับนั่งบนตำหนักด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ทั้งสองข้างของราชันย์ยมทูตมีเทพผู้พิพากษาฝ่ายบู๊และบุ๋นยืนอยู่ ถัดลงไปด้านล่าง มีเหล่ายมทูตและแม่ทัพวิญญาณมากมาย
นอกตำหนักราชันย์ยมทูตคือเมืองเฟิงตู
เมืองที่มีสีดำขรึมและทรงพลังแห่งนี้แผ่พลังคุกคามที่น่ากลัวออกมาอย่างล้นเหลือ
ในเมืองอันเงียบขรึมและทรงพลัง กองทัพเป่ยเหวยที่สวมหน้ากากวิญญาณบนใบหน้าเดินลาดตระเวนอย่างเงียบ ๆ เพิ่มบรรยากาศอันเคร่งขรึมของเมืองเฟิงตู
เมืองใหญ่ที่ทรงอำนาจแห่งนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดของภาพวาด ในพื้นที่รอบนอก มีแม่น้ำสายลึกและน่ากลัวล้อมรอบเมืองราวกับคูน้ำ และแยกออกเป็นหลายสายที่ไหลผ่านแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริง
นอกเหนือจากแม่น้ำ ยังมีทุ่งรกร้างที่บางแห่งมีสระเลือด บางแห่งเต็มไปด้วยดอกพลับพลึงแดงอันงดงามและเย้ายวน และในบางพื้นที่คือเนินฝังศพที่เชื่อมต่อกันเป็นแนวยาว
แผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงนี้เป็นการสรุปทุกสิ่งที่มู่หลินได้ฝึกฝน และภาพต่าง ๆ ในแผนที่นี้คือการแสดงถึงวิชาต่าง ๆ ที่เขาเกี่ยวข้อง
แน่นอนว่าการที่มู่หลินมายังใจกลางของจิตใจตัวเองต่อหน้าแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น ไม่ได้มาเพื่อชมความงามเพียงอย่างเดียว
ด้วยความคิดเพียงหนึ่งเดียว จิตสำนึกของมู่หลินพุ่งเข้าสู่แผนภาพจิตวิญญาณในทันที ในเวลาไม่นาน เขาและแผนภาพก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว และเงาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในแผนภาพนั้น
หากมีใครมองไปรอบ ๆ ในแผนภาพนี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าภาพสองมิติในแผนที่กลายเป็นสามมิติ
เมื่ออยู่ในแผนภาพ มู่หลินรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวเป็นความจริง
มีเมืองใหญ่ มีตำหนักราชันย์ และกองทัพเป่ยเหวยที่ลาดตระเวนอยู่ในเมือง
ยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของทะเลดอกพลับพลึงแดง และเห็นปีศาจสีเลือดและอสูราอาศัยอยู่บนดินแดนรกร้างนอกเมืองเฟิงตู
สถานการณ์นี้ช่างเหมือนฝันและจริงในคราวเดียวกัน จนทำให้ใครก็ตามรู้สึกสับสน
แต่ทั้งหมดนี้กลับเป็นความจริง… อย่างน้อยก็ในบางส่วน
การที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะวิชาของมู่หลินสูงส่งหรือพลังของเขาไร้ขีดจำกัด แต่มันเกี่ยวข้องกับพลังกร้าวแกร่งที่เขาได้หลอมรวม
มู่หลินหลอมรวมพลังกร้าวแกร่งและพลังสังหารหลากหลายชนิด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพลังเทียนตี้เสวียนหวง
ว่ากันว่าพลังเทียนตี้เสวียนหวงคือพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงสร้างโลก เป็นพลังลึกลับที่สามารถสร้างทุกสิ่งและคืนกลับสู่สภาพเดิมได้
สำหรับคนอื่นอาจไม่สามารถใช้พลังนี้สร้างโลกได้ แต่มู่หลินทำได้
แผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงคือการรวมทุกวิชาและทุกแนวทางของมู่หลิน
ด้วยเหตุนี้ วิชา‘ภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์’จึงถูกหลอมรวมเข้าไปในแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริง
วิชานี้ช่วยให้มู่หลินสามารถสร้างภาพลวงของเมืองขึ้นมาได้ในแผนภาพ
แต่ในอดีต เมืองที่สร้างขึ้นนั้นเป็นเพียงภาพลวงที่มู่หลินจินตนาการขึ้นมาเท่านั้น แม้จะสามารถใช้พลังของดอกพลับพลึงแดงเพื่อดึงวิญญาณของผู้อื่นเข้าสู่ภาพลวงเพื่อแยกแยะความจริงจากความลวง แต่ก็ยังไม่ใช่ความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพลังเทียนตี้เสวียนหวงหลอมรวมเข้าสู่แผนภาพ มันได้กลายเป็นโครงกระดูกที่ค้ำจุนแผนภาพจิตวิญญาณ ทำให้บางส่วนของภาพลวงกลายเป็นความจริง
แต่เหตุผลที่ยังเป็นความจริงเพียงบางส่วน เป็นเพราะพลังกร้าวแกร่งของมู่หลินยังไม่สมบูรณ์พอที่จะสนับสนุนโลกทั้งใบ
การสร้างโลกในแผนภาพนี้ไม่ใช่เพียงผลจากพลังเทียนตี้เสวียนหวงเท่านั้น มันต้องอาศัยการออกแบบและองค์ประกอบเพิ่มเติม
มู่หลินใช้แนวคิดจากอดีตของเขาเพื่อสร้างภาพจิตแห่งเมืองฝังสวรรค์เป็นรากฐาน จากนั้นเขาได้ใส่พลังจากดอกพลับพลึงแดง โซ่ล่องหน ถ้วยศักดิ์สิทธิ์สีแดงเลือด และพลังอื่น ๆ ลงไป เพื่อทำให้แผนภาพสมบูรณ์และทรงพลังยิ่งขึ้น
“ตอนนี้ ข้าสามารถเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งโลกได้แล้ว แม้ว่าโลกนี้จะยังเป็นแค่แบบเรียบง่าย”
การเปลี่ยนจากภาพลวงเป็นความจริง นำมาซึ่งประโยชน์มากมายสำหรับมู่หลิน
อย่างแรก แทนที่จะต้องใช้พลังและจิตวิญญาณเพื่อรักษาภาพลวง เขาสามารถดึงพลังจากโลกที่สร้างขึ้นมาใช้ได้
เมื่อแผนภาพจิตวิญญาณสมบูรณ์ มู่หลินจะเหมือนกับพกโลกขนาดย่อมติดตัวไปด้วย และพลังของโลกนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด
อย่างที่สอง คือพลังการกดขี่ศัตรู
เมื่อเติมพลังเทียนตี้เสวียนหวงเข้าไปในแผนภาพ มู่หลินสามารถใช้แผนภาพเป็นอาวุธในศึกได้
“ในแผนภาพนี้ ทุกสิ่งคือพลังของข้า ข้าสามารถใช้พลังได้ถึงสามร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ศัตรูจะถูกขัดขวางด้วยพลังของดอกพลับพลึงแดง แม่น้ำดำ และโซ่ล่องหน ทำให้พวกเขาสูญเสียพลังไปส่วนใหญ่”
แม้ว่าแผนภาพนี้จะทรงพลัง แต่มันก็มีความเสี่ยงสูง
หากแผนภาพนี้เสียหาย มู่หลินจะสูญเสียรากฐานของเขาไป
“ดังนั้น การดึงศัตรูเข้ามาในแผนภาพอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี แต่การสร้างภาพลวงที่ได้เปรียบกลับเป็นสิ่งที่ทำได้”
ด้วยพลังเทียนตี้เสวียนหวงที่หลอมรวมเข้าไปในแผนภาพจิตวิญญาณ มู่หลินได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้สร้างโลกอย่างแท้จริง
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เมืองนี้จะกลายเป็นแก่นหลักของโลกนรกที่ข้าสร้างขึ้นในอนาคต”
......
ภายนอกแดนลับแห่งกาลเวลา มู่หลินพึงพอใจขณะชื่นชมแผนภาพจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขา พร้อมกับเร่งหลอมรวมพลังกร้าวแกร่งและพลังสังหารให้ผสานเป็นหนึ่งเดียว หยินหยางเชื่อมโยงกัน สร้างพลังเทียนตี้เสวียนหวงอย่างไม่ขาดสายและเติมเต็มเข้าไปในแผนภาพจิตวิญญาณ
ขณะเดียวกัน ในขณะที่ร่างหลักกำลังฝึกฝน มู่หลินได้ปล่อยร่างแยกออกไปจำนวนมาก
ร่างแยกเหล่านี้ บางส่วนกำลังฝึกฝนวิชา บางส่วนเดินสำรวจในแดนลับแห่งกาลเวลา ราวกับกำลังตรวจสอบบางสิ่ง
มู่หลินกำลังศึกษากฎของแดนลับแห่งกาลเวลา และครุ่นคิดว่าจะผสานบางส่วนของแดนลับนี้เข้าไปในแผนภาพจิตวิญญาณของเขาได้อย่างไร
หลังจากสร้างโลกส่วนตัวในแผนภาพจิตวิญญาณของเขาได้ มู่หลินก็รับรู้โดยสัญชาตญาณว่า โลกนี้สามารถเติบโตและขยายได้ ด้วยการดูดซับพลังงานจากช่องว่างระหว่างโลก หรือจากแดนลับที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม การกลืนแดนลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
อันดับแรก แดนลับที่ถูกกลืนจะต่อต้านโดยธรรมชาติ
ประการที่สอง แม้ว่าจะกลืนได้สำเร็จ ก็อาจทำให้การควบคุมโลกของเขาเจือจางลง
ด้วยความกังวลว่าจะเกิดปัญหา มู่หลินจึงไม่กล้าบังคับกลืนโดยตรง
เขาจึงตั้งเป้าที่จะเข้าใจกฎในแดนลับแห่งกาลเวลา และครอบครองอำนาจบางส่วนของมัน เพื่อที่แม้จะกลืนเข้าไป ก็จะไม่มีผลกระทบใด ๆ กับเขา
“แต่ความลึกลับของแดนลับแห่งกาลเวลานั้นลึกซึ้ง การจะเข้าใจทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่ายในระยะเวลาสั้น ๆ…”
ในขณะที่มู่หลินยุ่งอยู่กับการฝึกฝน และเหล่าขุนนางรวมถึงเศรษฐีต่างพยายามหาวิธีเข้าหาเขา ผู้นำของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้กำลังประชุมหารือกัน
พวกเขาพูดคุยถึงผลกระทบจากชัยชนะของมู่หลินที่มีต่อสถานการณ์ของทั้งสองฝ่าย และวางแผนว่าจะตอบโต้เช่นไร
ที่ฝั่งใต้ การประชุมยังคงจัดขึ้นในตำหนักเดิม พร้อมด้วยเหล่าผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสจากตระกูลต่าง ๆ
แต่ในครั้งนี้ ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“ดีมาก มู่หลินไม่ทำให้เราผิดหวัง เขาชนะอย่างสมบูรณ์ สถานการณ์ของเราก็พลิกกลับมาได้บางส่วน ตอนนี้ ต่อให้เราพ่ายแพ้ในศึกที่เหลือ เราก็ยังมีเหตุผลที่จะพูดต่อไปได้”
“ฮ่าฮ่า สำหรับข้า สิ่งที่น่ายินดีที่สุดคือพวกหยาบคายจากทางเหนือที่มาอย่างโอหังกลับต้องพ่ายแพ้ พวกเขาคงขายหน้ามากแน่”
“สาสมแล้ว พวกเขาหยิ่งผยอง ไม่เห็นหัวเราเลย ใครเล่าจะโชคร้ายถ้าไม่ใช่พวกเขา”
พวกเขาพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี หลังจากสถานการณ์ดีขึ้น พวกเขาก็ไม่รู้สึกกังวลมากนักกับความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้นในศึกที่เหลือ
แต่ในใจพวกเขาต่างรู้ดีว่า นอกเหนือจากมู่หลินแล้ว เหล่าศิษย์จากทางใต้ไม่มีความได้เปรียบเลยเมื่อเทียบกับศิษย์จากทางเหนือ
ความแตกต่างในความแข็งแกร่งทำให้พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ได้
ในขณะที่บางคนเริ่มยอมรับความพ่ายแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้น จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยขึ้น
“พวกท่านคิดว่า ด้วยความสามารถของมู่หลิน หากเขาลงแข่งอีกครั้ง จะสามารถเอาชนะยอดอัจฉริยะขั้นหลุดพ้นจากทางเหนือได้หรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้ห้องประชุมเงียบไปชั่วขณะ
การให้เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีต่อสู้กับยอดฝีมือวัยสามสิบถึงสี่สิบปี หากเป็นคำถามก่อนหน้านี้คงถูกตำหนิอย่างหนัก
แต่ในตอนนี้ ผู้ร่วมประชุมกลับไม่กล้าปฏิเสธโดยทันที พวกเขาต่างเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้
เพราะสิ่งมหัศจรรย์ที่มู่หลินแสดงให้เห็นนั้นมากเกินกว่าจะมองเขาเป็นคนธรรมดาได้อีกต่อไป
เมื่อพิจารณาเสร็จ พวกเขาก็ลงความเห็นว่า… มันมีโอกาสเป็นไปได้
“มู่หลินเคยเรียกพลังของร่างธรรมขั้นหลุดพ้นออกมาหลายร่าง แม้ว่าพลังของร่างธรรมเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงต้น แต่ความสามารถของมันล้วนไม่ธรรมดา หากเขาใช้จำนวนเข้าช่วย เขามีโอกาสชนะจริง ๆ”
“จริง หากมองด้วยความสามารถของมู่หลิน การจะกดขี่คู่ต่อสู้เหมือนครั้งก่อนอาจเป็นไปไม่ได้ แต่การต่อสู้อย่างสูสีถือว่ายังเป็นไปได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทุกคนในห้องประชุมต่างมีแววตาที่เปล่งประกาย
ด้วยการที่มู่หลินสามารถกู้สถานการณ์ให้กลับมาได้ในกลุ่มนักสู้รุ่นเยาว์ หากเขาสามารถชนะในกลุ่มนักสู้รุ่นกลางได้อีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในครั้งนี้จะกลายเป็นชัยชนะของพวกเขา
พวกขุนนางทางเหนือที่มาอย่างหยิ่งผยองก็จะต้องพ่ายแพ้ และแผนการของพวกเขาจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลายคนรู้สึกตื่นเต้น
แต่ไม่นานก็มีคนกล่าวเชิงตักเตือนว่า “ข้อเสนอนี้ดี แต่ลืมไปหรือไม่ว่ามู่หลินมีความสามารถ แต่เขาอาจไม่ยอมเข้าร่วมการต่อสู้อีก”
“ก่อนหน้านี้ เขาต้องการอยู่ห่างจากเรื่องราว แต่เราต้องใช้เล่ห์กลบางอย่างให้พวกเหนือเปิดศึกกับมู่หลินก่อน ถึงทำให้เขาออกมาสู้”
“แต่หลังจากศึกครั้งนั้น หากคนเหนือไม่โง่จนเกินไป พวกเขาคงไม่มาหาเรื่องมู่หลินอีก และถ้าไม่มีการยั่วยุ มู่หลินก็คงไม่ยอมออกมา…”
คำพูดนี้ทำให้หลายคนขมวดคิ้ว และบางคนเริ่มไม่พอใจในตัวมู่หลิน
“หยิ่งยโส ไม่รู้จักกาลเทศะ ต้องสั่งสอนให้รู้จักลำดับชั้นบ้าง…”
โลกนี้เต็มไปด้วยคนที่ชอบใช้อำนาจ และด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างมู่หลินกับตระกูลเหยียนและตระกูลฉู่ ทำให้เกิดปัญหากับคนที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกับสองตระกูลนี้
คนที่พูดเชิงลบในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ขัดแย้งกับตระกูลเหยียน
เขาต้องการลดความเร็วในการเติบโตของมู่หลิน
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียง “ปัง!” ดังสนั่นประตูห้องประชุมถูกผลักเปิดอย่างแรง ผู้อาวุโสจากตระกูลหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน
การประชุมที่ถูกขัดจังหวะทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิด
แต่ก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรออกมา ผู้อาวุโสที่วิ่งเข้ามาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งด่วน
“ท่านผู้นำทั้งหลาย ไม่ดีแล้ว! คนเหนือพากันนำของกำนัลจำนวนมากไปหามู่หลินแล้ว!”
“พวกเขากำลังพยายามดึงมู่หลินเข้าสู่ฝ่ายเหนือ!”
“อะไรนะ!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นในทันที เมื่อคนในห้องประชุมได้ยินข่าวนี้ พวกเขาต่างลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
พวกเขาจะไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อสถานการณ์ของฝ่ายใต้ที่เริ่มดีขึ้นเป็นเพราะมู่หลินทั้งหมด
หากเขาเปลี่ยนใจไปอยู่ฝ่ายเหนือ สถานการณ์ของพวกเขาก็จะกลับมาแย่ลงอีกครั้ง
หรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
......
หมดแล้วครับ ตอนนี้เร่งผู้แปลไม่ได้แล้ว ต้องเร่งคนเขียนแทนแล้วครับ ใกล้จะชนต้นฉบับเข้าไปทุกที ถ้าแปลตามบทต้นฉบับก็ยังเหลืออีกเป็นร้อย แต่ถ้าแปลแบบผู้แปลคือรวมตอนต้นปลายก็เหลือไม่มากนักแล้ว